Skip to content

พลิกปฐพี 514

ตอนที่ 514

เข้าสุสาน

ภายในเมืองเทียนคงยังคงมีคนเข้าออกอย่างคึกคัก

แต่หากมองดูอย่างละเอียดก็จะพบว่า ช่วงนี้มีคนมาจากภาคอื่นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งกลิ่นอายพลังรอบกายของแต่ละคนก็ล้วนแต่ดูแข็งแกร่ง

ภายในโรงนํ้าชาแห่งหนึ่งบนถนนในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งมีคนนั่งอยู่สี่คน

ในสี่คนนี้มีผู้ชายสามคนผู้หญิงหนึ่งคน แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับเสมือนถือผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้นำ

พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสี่คนในห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิง มู่ชิงเกอ จีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อ เหยาชิงไห่นั่นเอง

มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างหน้าต่าง มองลอดช่องว่างของหน้าต่างออกไปที่ด้านนอก

ภายในห้องมีเสียงชงชาดังแว่วมา

เหยาชิงไห่ยกกาชาขึ้นมารินชาที่เพิ่งชงเสร็จให้ทุกคน เขารินไปพร้อมกับพูดว่า “สุสานเทพใกล้จะเปิดแล้ว คนทั้งห้าภาคก็มากันพอสมควรแล้ว”

“ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงผู้กล้ารุ่นเยาว์เท่านั้น แต่ยังมีปีศาจเฒ่าที่เร้นกายอยู่ในหุบเขาอีก ข้าได้รวบรวมข้อมูลจากภาคตะวันตก ปีศาจเฒ่าราศีธนู อีกาทองสามเท้า ผู้เฒ่าเหนือมังกรน่าจะปรากฎตัวทั้งหมด”

มู่ชิงเกอมองไปที่อิ๋งเจ๋อ

จีเหยาฮั่วโพล่งออกมาว่า “อีกาทองสามเท้ายังไม่ตายงั้นหรือ ร้อยปีก่อนไม่ใช่ว่ากันว่าถูกผู้แข็งแกร่งฆ่าตายไปแล้วมิใช่หรือ”

“แสดงว่าเป็นเรื่องเท็จ” อิ๋งเจ๋อค่อยๆ ส่ายหน้า

“ข้าก็ได้ยินมาว่าเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งก็จะมาด้วย การเดินทางไปสุสานเทพในครั้งนี้คงจะคึกคักมากทีเดียวเชียว” จีเหยาฮั่วเอ่ย

คนที่พวกเขาพูดถึงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงในโลกแห่งยุคกลางที่เร้นกายจากโลกไปนานแล้ว ส่วนมากล้วนแต่เป็นพวกที่แยกตัวฝึกปรือเพียงลำพัง มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางไม่รู้จักคนเหล่านี้

เวลานี้เองก็มีนกอินทรีส่งสารตัวหนึ่งบินลงมาจากกลางอากาศ มันพุ่งเข้ามายังรอยแยกหน้าต่างราวกับรู้ว่ามู่ชิงเกออยู่ตำแหน่งไหน

เมื่อมู่ชิงเกอเห็นนกอินทรีตัวนั้นแล้วก็หรี่ตาลงแต่ก็ไม่ได้เบี่ยงหลบ เห็นได้ชัดว่านางรู้จักนกอินทรีตัวนี้

“นั้นอะไรน่ะ!” จีเหยาฮั่วเห็นนกอินทรีจึงเอ่ยถามอย่างสนใจ

ตอนนี้เอง นกอินทรีก็บินลงมาเกาะที่แขนของมู่ชิงเกอ มันจิกแขนเสื้อของมู่ชิงเกออย่างสนิทสนม มู่ชิงเกอหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากเท้าของมัน

เมื่อของถูกเอาไปแล้ว นกอินทรีก็กระพือปีกบินกลับไปทางเดิม

จีเหยาฮั่วรีบเดินเข้ามาพลางเอ่ยถามว่า “นกอินทรีจากที่ไหนมาส่งสาส์นให้เจ้าน่ะ”

มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันที นางเปิดสาส์นที่ได้มาจากนกอินทรี ด้านบนสาส์นประทับผนึกแบบพิเศษเอาไว้หากเป็นคนที่ไม่รู้วิธีการคลายผนึกและฝืนเปิดออก ข้อมูลก็จะถูกเผาทำลายในทันที

ข่าวกรองนี้ถูกส่งมาให้มู่ชิงเกอ นางก็ต้องรู้วิธีถอนผนึกอยู่แล้ว เมื่อผนึกถูกคลายออก กระดาษก็กลายเป็นกระดาษปกติทั่วไป เมื่อนางเปิดออกก็เห็นรายชื่อคนรวมถึงคำอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับคนเหล่านั้นเต็มไปหมด

“ให้ตายเถอะ! ใครร้ายกาจถึงขนาดนี้ ถึงได้เอารายละเอียดของคนที่จะไปสุสานเทพในครั้งนี้มาจนหมดได้!” จีเหยาฮั่วยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอจึงมองเห็นเนื้อหาภายในกระดาษ เขาอดพูดอย่างตกตะลึงไม่ได้

ประโยคนี้ของเขาดึงดูดความสนใจของอิ๋งเจ๋อและเหยาชิงไห่ในทันที

ทั้งสองคนยืนขึ้น เดินไปที่ข้างหน้าต่างยืนล้อมมู่ชิงเกอเอาไว้ มองไปที่กระดาษในมือนาง

บนนั้นบันทึกชื่อคนจากทั้งห้าภาคที่จะเข้าไปแย่งชิงสิทธิ์แห่งเทพในสุสานเทพเอาไว้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่รายชื่อทั้งหมด มีเพียงแค่บรรดาคนที่ควรค่าให้จับตามองเท่านั้น คนที่อิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วพูดถึงเมื่อครู่ก็อยู่ในนี้ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้นนอกจากชื่อของพวกเขาแล้วก็ยังมีรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอก รวมถึงข้อมูลระดับพลัง กระบวนท่าและนิสัยคร่าวๆ อีกด้วย

เช่นอีกาทองสามเท้า…

ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอยังคิดว่านี่เป็นร่างแปลงของสัตว์อสูร แต่หลังจากดูคำแนะนำด้านบนแล้วถึงได้รู้ว่าอีกาทองสามเท้าเป็นชื่อเรียกของปีศาจเฒ่าที่มีชื่อเสียงเมื่อสามร้อยปีก่อน

ที่เรียกเขาว่าอีกาทองสามเท้าก็เพราะเท้าข้างหนึ่งของเขาพิการโดยกำเนิด จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าพยุงเดิน ในตอนที่เขายังหนุ่มได้กลืนอีกาทองลงไป จึงได้รับสืบทอดรากวิญญาณเพลิงของอีกาทองมาด้วยความบังเอิญ เปลี่ยนเป็นรากวิญญาณเพลิงเทียม จากนั้นก็ฝึกปรือพลังอย่างก้าวกระโดดจนกลายมาเป็นยอดฝีมือเลื่องชื่อ แต่เขามีนิสัยดุร้ายและชอบฆ่าคน ทำอะไรตามใจ จะปล่อยเพลิงเผาทุกอย่างที่ไม่เข้าตา มีชื่อเสียงเลวร้ายมาก

หนึ่งร้อยปีก่อนเคยมียอดฝึมืออยากจะกำจัดภัยร้ายให้ใต้หล้า จึงได้มีข่าวว่าอีกาทองสามเท้าตายเล่าลือกันออกมา แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าอีกาทองสามเท้าจะใชวิธีจั๊กจั่นลอกคราบ ตัวเขานั้นหนีไปไกลนานแล้ว แต่ว่าครั้งนั้นเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจึงต้องกักตนบำเพ็ญถึงร้อยปี สุดท้ายถึงค่อยหวนกลับมาอีกครั้ง

“ในนี้ยังเขียนไว้อีกว่าหลังจากอีกาทองสามเท้าออกมาแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือฆ่าล้างศัตรูในครั้งนั้นของเขาทั้งตระกูล! นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้รับข่าวอะไรเลย” จีเหยาฮั่วพูดอย่างแปลกใจ

อิ๋งเจ๋อกลับพูดว่า “เทียบกับเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่ข้าสนมากกว่าก็คือระดับพลังของเขา ในครั้งนั้นเขาถูกคนไล่ล่าจนต้องแกล้งตายหลบหนีไป มาตอนนี้เขากลับสามารถฆ่าศัตรูล้างตระกูลได้ เห็นได้ชัดว่าในร้อยปีนี้ระดับพลังของเขาสูงขึ้นอีกแล้ว”

เหยาชิงไห่ชี้ไปที่ตัวอักษรด้านบนแล้วเอ่ยว่า “บนนี้คาดเดาว่าระดับพลังของอีกาทองสามเท้าอาจจะผ่านเคราะห์อัสนีไปครั้งหนึ่ง เข้าสู่ระดับข้ามผ่านครั้งที่สองแล้ว”

ภายในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ

ยอดฝีมือจากทุกสารทิศออกมาเคลื่อนไหว หากจะพูดว่าไม่มีความกดดันเลยสักนิดก็คงเป็นไปไม่ได้

ทั้งสี่คนนิ่งเงียบ มู่ชิงเกอเก็บรายชื่อเข้าไปในช่องว่างของตนเองเงียบๆ นางเงยหน้ามองทั้งสามคน แล้วเอ่ยว่า “พวกเราเองก็อย่าดูถูกตัวเองจนเกินไป ในบรรดาผู้กล้ารุ่นเยาว์นั้น พวกเรามีโอกาสชนะสูงมาก ถึงแม้จะพบปีศาจเฒ่าเหล่านั้น แต่หากไม่ต่อสู้กันสักครั้งแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะแพ้หรือชนะ”

คำพูดของนางมอบความกล้าให้ทั้งสามคน

พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้า

“ใช่แล้ว ชิงเกอ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าใครส่งข่าวมาให้เจ้า” จีเหยาฮั่วสนใจเรื่องนี้มาก

มู่ชิงเกอยิ้ม พูดว่า “เพื่อนเก่าคนหนึ่งน่ะ”

เมื่อนางพูดเช่นนี้ จีเหยาฮั่วก็เข้าใจ และไม่ซักไซ้ต่ออีก

เรื่องที่มู่ชิงเกออยากจะพูดก็ย่อมพูดออกมาเอง ส่วนเรื่องที่ไม่อยากจะพูดถามไปก็ไม่มีประโยชน์จุดนี้คนที่คุ้นเคยกับนางแล้วก็จะรู้เอง

ดังนั้นในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องเกี่ยวกับมู่ชิงเกอและซือมั่วก็ต้องสงบใจเอาไว้เพราะเวลาไม่เหมาะสม

นกอินทรีบินออกไปจากที่พักของมู่ชิงเกอไปที่อีกมุมหนึ่งของเมืองเทียนคง

สุดท้ายมันก็บินร่อนลงไปบนกรอบหน้าต่างของหอสรรพสิ่ง

หอสรรพสิ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลกแห่งยุคกลาง มีแค่ขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันเท่านั้น นี่เป็นแก่นของตระกูลหาน และก็เป็นเส้นชีวิตของพวกเขา

หานฉายไฉ่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง เขายกมือขึ้นลูบขนเหลือบเงาบนตัวนกอินทรี นัยน์ตาเรียวยาวไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ไม่นาน ที่ด้านหลังเขาก็มีคนเดินเข้ามาแล้วเอ่ยรายงานด้วยความเคารพว่า “ประมุขน้อย คนของภาคเหนือมากันครบแล้วขอรับ”

พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหานฉายไฉ่แวบหนึ่ง

หานฉายไฉ่พยักหน้า มุมปากขยับเล็กน้อยคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เอ่ยกับตนเองว่า “การเข้าสู่สุสานเทพจัดกลุ่มตามภาค เดิมทีผู้นำของผู้กล้ารุ่นใหม่ภาคเหนือไม่ควรตกมาถึงข้า น่าจะเป็นคนของตระกูลจีผู้นั้นมากกว่า คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะถอนตัวไปเอง ทำให้ข้าได้ผลประโยชน์นี้มา”

คนที่อยู่ด้านหลังเขารีบเอ่ยว่า “นี่เป็นโอกาสดีของประมุขน้อยที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาผู้กล้ารุ่นเยาว์ของแต่ละตระกูลในภาคเหนือ”

หานฉายไฉ่พยักหน้า ทันใดนั้นนัยน์ตาเรียวยาวของเขา ก็ฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “ผู้นำของผู้กล้ารุ่นเยาว์ในภาคอื่นๆ เล่า สืบหาออกมาได้หรือยังว่าเป็นใครกันบ้าง”

คนที่มาเอ่ยรายงานว่า “ภาคใต้คือประมุขน้อยตระกูลเยี่ยน เยี่ยนอู๋เหิน ภาคตะวันตกคือประมุขน้อยตระกูลหรง หรงเหยียนเทียน ภาคเหนือคือท่าน ภาคตะวันออกคือประมุขน้อยตระกูลอวี้ อวี้หม่านโหลว ภาคกลางคือธิดาเทพซี ซีเซียนเสวี่ย”

นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ฉายแวววาววาบ คิดอย่างละเอียดในใจรอบหนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะขี้เล่นขึ้นมา ลอบเอ่ยในใจว่า ‘ดูแล้วห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิง ผู้นำที่หายไปเหล่านั้น ตอนนี้คงจะรวมตัวกันอยู่ข้างกายเจ้าหมดแล้วสินะ’

ส่วน ‘เจ้า’ คนนี้เป็นใครนั้น ในใจของเขารู้ดี

“ผู้กล้ารุ่นเยาว์แบ่งกลุ่มตามภาค เข้าไปในสุสานเทพพร้อมกันและช่วยเหลือกัน เหล่าปีศาจเฒ่าส่วนมากมักจะเดินทางเพียงลำพัง สรุปแล้วหลังจากที่พวกเราเข้าไปก็ให้ทำตามแผนการที่วางเอาไว้ ตามหาสิทธิ์แห่งเทพก่อน หากเจอคนมาหาเรื่องพวกเราค่อยลงมือจัดการ” เหยาชิงไห่เสนอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยว่า “ก่อนที่จะเข้าไปในสุสานเทพ ทุกการวางแผนก็เป็นแค่เพียงการวางแผนคร่าวๆ ทุกอย่างรอให้เข้าไปในสุสานเทพแล้วค่อยว่ากันใหม่”

หลังจากพูดจบ ทั้งสี่คนก็ตัดสินใจจากไป

เวลานี้เองในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งก็เป็นที่รวบรวมของแขกทั้งห้าภาค ภายในนั้นไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ที่มาเพื่อสุสานเทพ

มีหนึ่งโต๊ะที่ดูเหมือนว่ากำลังโต้เถียงกันอยู่ ข้างๆ ชายชราคนหนึ่งมีสาวน้อยนางหนึ่งกำลังถกเถียงกับชายวัยกลางคนด้วยความโมโห “เจ้ามีความสามารถอะไรกัน? เหตุใดเจ้าสามารถไปสุสานเทพได้ แต่ข้ากับท่านปู่ไม่สามารถไปได้”

ชายวัยกลางคนคนนั้นเยาะเย้ยขึ้นมา “ท่านปู่ของเจ้าขาหนึ่งก็ก้าวเข้าไปในโลงแล้ว ยังคิดจะเข้าไปสุสานเทพเพื่อแย่งสิทธิ์แห่งเทพอีก ไม่สู้ใช้โอกาสในครั้งนี้หาที่ฝัง

ศพให้แก่ตัวเองเถอะ!”

คำพูดของเขาเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นจากรอบทิศ

ชายชราคนนั้นดูสงบนิ่งมากราวกับว่าทุกอย่างรอบกาย ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด

แต่หญิงสาวกลับโมโหจนหน้าแดง แต่ก็เถียงไม่ได้จึงได้แต่พูดด้วยความโมโหว่า “เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล!”

“ข้าพูดเหลวไหล ข้าพูดเหลวไหลตรงไหนกัน อีกอย่าง สาวน้อย เจ้าคิดว่าระดับพลังของตนเองนี้เพิ่งจะมีระดับเท่าไหร่กัน? ยังกล้าบุกเข้าไปในสุสานเทพอีกงั้นหรือ?

เจ้าคิดว่าตนเองเป็นพวกอันดับต้นๆ บนทำเนียบชิงอิงหรือไร? หรือคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าเมืองมู่หรือ! ระวังจะตายอยู่ในนั้นต้องสูญเสียชีวิตวัยเยาว์อันสดใสไปนา” ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างดูแคลน

“ทำเนียบชิงอิงอะไร เจ้าเมืองมู่อะไร! ข้าไม่รู้จัก!” หญิงสาวพูดด้วยความโมโห

คำพูดของนางทำให้ทุกคนประหลาดใจ ในกลุ่มคนมีคนอดหัวเราะเยาะไม่ได้ “เจ้าคนโลกแคบจากไหนกัน ไม่รู้จักทำเนียบชิงอิงก็แล้วไป แม้แต่เจ้าเมืองมู่ก็ยังไม่รู้จักอีก”

“เจ้าเมืองมู่อะไรกัน ร้ายกาจขนาดนั้นเลยงั้นหรือ” สาวน้อยเอ่ยอย่างไม่ยินยอม

ทันใดนั้นนางก็พบว่าบรรดาคนที่หัวเราะเยาะนางมาตลอด จู่ๆ ก็เงียบลงกะทันหัน

นางรู้สึกงงเล็กน้อย มองไปยังท่านปู่ของตนเองก็กลับพบว่าเขาเบิกตากว้างจ้องมองไปที่บันได

สาวน้อยหันมองไปอย่างสงสัยแล้วก็พบว่ามีคนสี่คนกำลังเดินลงมาจากบันได หนึ่งในสี่คนนั้นมีสาวงามในชุดแดงเดินอยู่ด้านหน้าสุด นางยังไม่เคยพบเจอผู้หญิงคนไหนงดงามเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นจึงอดมองตาค้างไม่ได้ ส่วนผู้ชายสามคนด้านหลังของนาง ก็ล้วนแต่หล่อเหลาโดดเด่นไม่ธรรมดา

การปรากฎตัวของทั้งสี่คนทำให้โรงนํ้าชาที่คึกคักวุ่นวายเปลี่ยนเป็นเงียบสงบขึ้นมา

หลังจากพวกเขาเดินออกไปจากโรงนํ้าชาแล้ว ข้างกายสาวน้อยก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้น “เห็นหรือยัง นั่นก็คืออันดับหนึ่ง อันดับสาม อันดับสี่และอันดับห้าของทำเนียบชิงอิง ส่วนคนที่เจ้าพูดว่าไม่ได้ร้ายกาจอะไรอย่างเจ้าเมืองมู่ก็คือหญิงสาวที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด นางก็คืออันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิง อันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในโลกแห่งยุคกลาง!”

นัยน์ตาอันสดใสของสาวน้อยเบิกกว้างขึ้น

ในตอนนี้เอง นางยังไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของท่านปู่ก็มีเสียงสายหนึ่งดังลงมาจากฟ้า

“สุสานเทพเปิดแล้ว คนที่จะเข้าไปในสุสานให้รีบมาที่ตำหนักเทพ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version