ตอนที่ 515
เพิ่มข้าอีกคน
“สุสานเทพเปิดแล้ว คนที่จะเข้าสุสานให้รีบมาที่ตำหนักเทพ!”
เสียงอันเข้มงวดดังขึ้นบนท้องฟ้าของเมืองเทียนคง สะท้อนไปทั่วทั้งเมือง ราวกับจะกระจายข่าวสารนี้ไปให้ทั่วทุกมุม
พวกมู่ชิงเกอสี่คนที่ยืนอยู่บนถนนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านบนเหมือนคนอื่นๆ
ในตอนที่เสียงนี้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม นางจึงเลิกคิ้วขึ้นหัวเราะเอ่ยว่า “กะทันหันจริงๆ!”
จีเหยาฮั่วยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรพวกเราก็เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จะเข้าไปเร็วหรือช้าอย่างไรก็ต้องเข้าไปอยู่ดี”
“ไปเถอะ” อิ๋งเจ๋อยิ่งเด็ดขาดกว่า
ท่าทางอดใจไม่ไหวนี้ของเขาทั้งสามคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ล้วนแต่รับรู้ได้
ทั้งสี่คนเดินไปทางตำหนักเทพ มู่ชิงเกอส่งข่าวเรื่องที่นางจะเข้าไปในสุสานเทพกลับไปที่พักเพื่อแจ้งแก่พวกมู่เฟิง และองครักษ์เขี้ยวมังกร เมื่อนางไปแล้วแผนการฝึกฝนของมู่เฟิงก็จะเริ่มต้นขึ้น
“สุสานเทพเปิดแล้ว! ไปเถอะ!”
“ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว!”
“เร็วเข้า! เวลาเปิดของสุสานเทพนั้นไม่แน่นอน หากพวกเราพลาดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน”
บนถนนเริ่มสับสนอลหม่านขึ้นมา คนจำนวนนับไม่ถ้วนจากทุกทิศทางของเมืองเทียนคง เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพที่อยู่ใจกลางเมืองทันที
โรงนํ้าชาก่อนหน้านี้ หลังจากผ่านความเงียบสงบมาแล้ว ก็วุ่นวายราวกับนํ้าเดือด ทุกคนพากันแย่งกันพุ่งตัวออกไป แม้แต่ชายวัยกลางคนที่ถกเถียงกับสาวน้อยก็วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้นไม่สนใจสาวน้อยและชายชราอีก
สาวน้อยมองปู่ของตนเอง แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านปู่พวกเราจะทำอย่างไรดี”
ดวงตาของชายชราวูบไหวเล็กน้อย เขายืนขึ้นอย่างงกเงิ่น สาวน้อยรีบประคองมือของเขาพาเขาเดินไปที่ประตู
ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือตำหนักเทพ
หากเทียบกับคนอื่นที่ก้าวไปอย่างเร่งรีบแล้ว พวกเขาปู่หลานดูช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด
แต่ความช้านั้นกลับเป็นเพียงความรู้สึกที่เห็นทางสายตาเท่านั้น ในความเป็นจริงทุกก้าวที่ย่างลงไปชายชราจะพาสาวน้อยขยับไปข้างหน้านับสิบหมี่*[1]เลยทีเดียว
ถ้าในตอนนี้มีคนสังเกตเห็นก็คงจะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดาอีกต่อไป แต่น่าเสียดายที่สายตาของทุกคนในเมืองเทียนคงตอนนี้ล้วนแต่ถูกข่าวการเปิดของสุสานเทพดึงดูดไปจนหมด จะมีใครมาสนใจปู่หลานที่ภายนอกดูธรรมดาๆ คู่นี้เล่า
อีกมุมหนึ่งของเมืองเทียนคง เมื่อเสียงที่ดุดันนี้ดังขึ้น หานฉายไฉ่ก็วางกาเหล้าในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“ในที่สุดสุสานเทพก็เปิดแล้ว ศึกนองเลือดจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” นัยน์ตาเรียวยาวของเขาหรี่เล็กลง เอ่ยพึมพำออกมา
นอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาอย่างเร่งรีบ
คนที่มาชันเข่าเดียวลงหน้าประตูแล้วเอ่ยว่า “ประมุขน้อย เวลาเปิดของสุสานเทพไม่แน่นอน โปรดรีบไปเถิดขอรับ”
หานฉายไฉ่พยักหน้า “สั่งคนอื่นๆ ให้เตรียมออกเดินทาง”
เรื่องเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในทุกๆ ที่พักของแต่ละกองกำลัง
กองกำลังต่างๆ พากันมุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพ
สุสานเทพเป็นโอกาสเดียวที่จะเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ผ่านมาเนิ่นนานถึงค่อยเปิดขึ้นเป็นครั้งแรก นี่เป็นการมอบความหวังใหม่ให้แก่บรรดาผู้บำเพ็ญในโลกแห่งยุคกลาง บรรดาคนที่มีสายเลือดเก่าแก่ ตระกูลบรรพกาลที่มีสายเลือดของเผ่าเทพต่างก็พากันส่งผู้มี ความสามารถโดดเด่นในตระกูลมาเพื่อจะใช้โอกาสนี้กลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ส่วนบรรดาคนที่ไม่มีสายเลือดโบราณของเผ่าเทพก็มาเพื่อร่วมความคึกคักเช่นกัน
เพราะพวกเขาสามารถแย่งเอาสิทธิ์แห่งเทพมาก่อน จากนั้นก็แย่งเอารากวิญญาณมาเปลี่ยนเป็นประตูสวรรค์ได้!
ดังนั้นพวกเขาเองก็มาด้วยเช่นกัน
มู่ชิงเกอไม่ให้คนของตระกูลซางเข้าร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย เหตุผลแรกคือรุ่นเยาว์ของตระกูลซางในรุ่นนี้ไม่มีคนที่โดดเด่น ส่วนผู้อาวุโสหลายคนก็ต้องดูแลตระกูล สองก็คือเพียงแค่นางสามารถหาสิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษตระกูลซางพบแล้วกลายเป็นเทพบรรพบุรุษ ก็จะสามารถปลุกสายเลือดตระกูลซางให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้หลังจากตระกูลซางรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสเข้าไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอีกหรือ สรุปก็คือหลังจากพิจารณาดูแล้ว มู่ชิงเกอกับซางซุ่นหวางจึงตัดสินใจไม่ให้ตระกูลซางเข้าร่วมความคึกคักนี้ มู่ชิงเกอจะเป็นคนใช้ชื่อของตระกูลซางเข้าสู่สุสานเทพเอง
ทั้งสี่คนมาถึงนอกตำหนักเทพ เมื่อมองขึ้นไปบนหอคอยตำหนักเทพและเห็นนํ้าวนขนาดใหญ่ก็อดชะงักฝีเท้าไม่ได้
นํ้าวนนั้นมีขนาดใหญ่มาก หอคอยตำหนักเทพชี้ไปยังใจกลางของมัน สีของนํ้าวนเป็นสีดำม่วง ด้านในราวกับแสงดาวอันงดงาม ดูลึกลับและอันตราย
นํ้าวนหมุนวนอย่างรวดเร็ว กดลงมายังพื้นดินอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศรอบตำหนักเทพก็เหมือนถูกพลังอันแข็งแกร่งทำให้สั่นคลอน
“นั่นเป็นทางเข้าสุสานเทพงั้นหรือ” จีเหยาฮั่วพูดอย่างตกตะลึง
เหยาชิงไห่พึมพำว่า “ตามบันทึกบอกว่าตำหนักเทพทำได้เพียงคำนวณเวลาที่ประตูสุสานเทพจะเปิดได้คร่าวๆ เท่านั้น ส่วนเวลาเปิดที่แน่ชัดและเปิดแล้วจะปิดเมื่อไหร่นั้นล้วนแต่ไม่รู้”
“หลังจากพวกเราเข้าไปแล้วจะออกมาได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยถาม
อิ๋งเจ๋อมองนางแล้วเอ่ยว่า “สามารถอยู่ภายในสุสานเทพได้เพียงสามเดือนเท่านั้น หลังจากสามเดือนแล้วหากยังไม่ตายอยู่ในนั้นก็จะถูกสุ่มโยนออกมา”
“สุ่มเหรอ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว สุ่มหมายถึงตำแหน่งไม่แน่นอน เพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีจากตำหนักเทพนางยังให้ไป๋สี่และโห่วมาคอยรับ แต่หากเป็นเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไร
“แต่ถึงจะเป็นแบบสุ่มก็ล้วนอยู่ในอาณาเขตของเมืองเทียนคง จะไม่ตกไปที่อื่น” อิ๋งเจ๋อเสริมอีกประโยค
นี่ทำให้มู่ชิงเกอโล่งใจ ลอบเอ่ยในใจว่า ‘ยังดี เพียงแค่อยู่ในอาณาเขตเมืองเทียนคง นางก็มีวิธีติดต่อพวกไป๋สี่ได้’
คนข้างกายของพวกเขาค่อยๆ มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่แตกต่างจากที่อื่นก็คือกลุ่มคนที่มุ่งหน้ามายังตำหนักเทพล้วนแต่แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ อย่างเห็นได้ชัด เหมือนมู่ชิงเกอจะมองเห็นเงาร่างของหานฉายไฉ่ท่ามกลางฝูงชน แต่ระยะไกลเกินไปนางจึงไม่แน่ใจและก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปทักทาย อีกฝ่ายก็มองไม่เห็นนาง
ซีเซียนเสวี่ยเองก็พาผู้กล้าของภาคกลางออกมาปรากฎตัว นางอยู่ห่างจากพวกของมู่ชิงเกอไปไม่ไกลนัก ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ละสายตาออก
‘ชิงเกอ ซีเซียนเสวี่ยบอกหรือยังว่าจะไปรวมตัวกันที่ไหน’ จีเหยาฮั่วเองก็มองเห็นซีเซียนเสวี่ยเช่นกันจึงถ่ายทอดเสียงมาถาม
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับแล้วตอบว่า ‘ประตูสุสานบานที่สอง’
จีเหยาฮั่วรู้แล้วก็พยักหน้า ไม่ได้ถามต่ออีก
มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่เข้ามารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่พบกับบรรดาคนที่มีลักษณะตรงกับข้อมูลของหานฉายไฉ่ นางก็จะมองหลายครั้งหน่อย จากนั้นก็เบนสายตาออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความสามารถในการจดจำของนาง มองเพียงแค่ รอบเดียวก็จดจำเนื้อหาด้านในได้หมดแล้ว ในระหว่างที่รอนางก็มองดูกลุ่มคนแล้วเทียบกับข้อมูลในหัว คนจำนวนหนึ่งในสามบนข้อมูลปรากฎขึ้นในสายตาและสมองของนางอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายบางอย่างกำลังจับจ้องตนเองอยู่
ภายในกลิ่นอายนั้นแฝงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้มีเจตนาร้าย
นางหรี่ตาลง หันมองไปคิดจะหาเจ้าของกลิ่นอายนี้ แต่ในตอนที่นางจับสัมผัสได้นั้นเจ้าของกลิ่นอายก็ราวกับจะรู้ว่านางรู้สึกตัวแล้วจึงเก็บกลิ่นอายและเร้นกายหายไปในกลุ่มคน
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เม้มริมฝีปากแน่น
แม้ว่าในกลิ่นอายเมื่อครู่จะไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝงแต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนดี
มีคนจับจ้องตนเองอยู่ในตอนนี้!
มู่ชิงเกอเตือนตนเองในใจให้ระมัดระวัง ห้ามมาตายน้ำตื้นเด็ดขาด
“เว่ยมั่วลี่หรือ” จีเหยาฮั่วเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
เว่ยมั่วลี่?
มู่ชิงเกอหยุดความคิดลง เงยหน้ามองคนที่เดินมาหาพวกเขาทั้งสี่คน
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าไร้อารมณ์ เครื่องหน้าคมคายเด่นชัด กอดดาบหนักเดินเข้ามา หากไม่ใช่เว่ยมั่วลี่แล้วจะยังเป็นใครได้อีก?
เขาเดินตรงดิ่งมาทางนี้
หลังจากเหล่าคนที่ขวางทางรับรูได้ถึงกลิ่นอายของเขานั้นก็พากันเปิดทางให้ทั้งยังเผยท่าทางหวาดกลัวออกมาอีกด้วย
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เว่ยมั่วลี่มีอิทธิพลต่อจิตใจของคนเหล่านั้นขนาดนี้เชียวหรือ”
เหยาชิงไห่เอ่ยเสียงเบาว่า “เว่ยมั่วลี่มีชื่อเสียงมานาน ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงมาตลอด สำหรับคนรุ่นเยาว์แล้วก็ต้องเกิดความเกรงกลัวขึ้นบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าปีศาจเฒ่าเกรงว่าคงไม่พอ”
ในระหว่างที่พูดเว่ยมั่วลี่ก็ได้เดินมาถึงตรงหน้าของทั้งสี่คนแล้ว
ห้าผู้แข็งแกร่งบนทำเนียบชิงอิงรวมตัวกัน ชั่วขณะนั้นก็ดึงดูดสายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิงในรอบนี้ยังเป็นสาวงามคนหนึ่ง ผู้หญิงที่สามารถทำให้ผู้ชายในใต้หล้าไร้ความโดดเด่นไปได้
“รีบดูเร็ว! ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าบนทำเนียบชิงอิงรวมตัวอยู่ด้วยกันแล้ว!”
“น่าตื่นเต้นเกินไปแล้ว! ล้วนแต่เป็นแบบอย่างของข้า!”
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าห้าผู้แข็งแกร่งบนทำเนียบชิงอิงจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ก่อนหน้านี้ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยไปมาหาสู่กัน คิดไม่ถึงว่าระหว่างพวกเขาจะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้”
“เจ้านี่มันโลกแคบนัก! ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเมืองมู่เป็นน้องสาวบุญธรรมที่ประมุขน้อยจีใช้ความหน้าด้านบังคับรับมา ส่วนประมุขน้อยจีกับประมุขน้อยอิ๋งก็มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันไม่เลว ประมุขน้อยอิ๋งกับเจ้าเมืองมู่ก็ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองมู่กับ ประมุขน้อยเหยาก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ของสำนักวิถีโอสถ ถือได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทั้งยังเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถด้วยกัน จะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน”
“เฮือก! หากพูดเช่นนี้แล้ว อย่างนั้นสาเหตุที่พวกเขาสามารถมารวมตัวอยู่ด้วยกันได้ก็ล้วนแต่เป็นเพราะเจ้าเมืองมู่น่ะสิ!”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“นั่นมันคุณชายใหญ่เว่ยนี่”
“เรื่องนี้…เมื่อสี่ปีก่อนที่ริมแม่นํ้ารั่ว ดูเหมือนมีคนได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่เว่ยเคยพูดกับเจ้าเมืองมู่ว่าต้องการขอบคุณที่นางช่วยชีวิต”
“หา”
ผู้คนพากันสับสนวุ่นวาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงมีคนถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าเมืองมู่ ช่างเป็นเหมือนปีศาจเหนือฟ้าจริงๆ พวกเราดูสิ แต่ก่อนข้ายังคิดว่าสาวงามที่สุดในโลกนี้ก็คือธิดาเทพซี มาตอนนี้ได้เห็นเจ้าเมืองมู่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าธิดาเทพซีดูหม่นหมองลงหลายส่วนเชียว”
“ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน!”
“ข้าก็เช่นกัน!”
“พวกเจ้าบอกว่าเจ้าเมืองมู่คนนั้นร้ายกาจมากงั้นหรือ” สาวน้อยคนหนึ่งเบียดเข้ามาในกลุ่มคนแล้วเอ่ยถามอย่างสนใจ
คนที่กำลังพูดคุยกันเห็นว่านางเป็นเด็กคนหนึ่งจึงไม่ได้ว่าอะไร แต่เอ่ยกับนางว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเมืองมู่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงดงามแต่ยังเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ เป็นอาจารย์ ลอมศาสตราระดับมหาเทพ เจ้าว่าร้ายกาจหรือไม่เล่า?”
สาวน้อยคนนั้นได้ฟังดวงตาก็เป็นประกายวาววับ ถอนหายใจเอ่ยว่า “นางร้ายกาจถึงขนาดนี้เชียวหรือ ดูแล้วอายุก็ไม่ได้มากกว่าข้าสักเท่าไหร่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาวก็มีคนจำนวนไม่น้อยหลุดหัวเราะออกมา
พวกเขาคิดในใจว่า ‘ใช่แล้ว! ที่เจ้าเมืองมู่ดูร้ายกาจฝืนชะตาฟ้า เช่นนี้ก็เป็นเพราะนางอายุยังน้อยแต่กลับทำเรื่องที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้จนสำเร็จอย่างไรเล่า’
เสียงพูดคุยรอบด้านดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เองเว่ยมั่วลี่ เดินมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอและใช้น้ำเสียงแน่วแน่ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธเอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องการเข้าร่วมกับพวกเจ้า”
*หมี่ คือ เมตร