ตอนที่ 522
สิทธิ์แห่งเทพ! สิทธิ์แห่งเทพ!
“รู้ว่าที่นี่มีสุสานที่ถูกปกป้อง หากไม่ไปสำรวจสักหน่อย ในใจก็คงจะรู้สึกเสียดายไปตลอดแน่” จีเหยาฮั่วหรี่ตาเอ่ยออกมา
อิ๋งเจ๋อกลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรามาเพื่อหาสิทธิ์แห่งเทพที่เข้ากับธาตุของพวกเรา อย่าทำเรื่องที่ไม่มีประโยชน์’
“พวกเราต่างมีธาตุที่แตกต่างกัน หากต้องหาไปทีละอันจะเสียเวลาเกินไป” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย
“เช่นนั้นก็แยกกันหาของใครของมันเถอะ ให้ที่นี่เป็นใจกลางวงกลม เคลื่อนไหวตามใจชอบ ในขอบเขตเป็นวงกลมสิบลี้หากว่าเจอกับอันตรายก็ขอความช่วยเหลือ ทุกคนจะได้สามารถช่วยเหลือกันได้ หลังจากค้นหาที่นี่เสร็จแล้วก็ค่อยเข้าไปลึกขึ้น”มู่ชิงเกอเอ่ย
“อืม”
“นี่เป็นวิธีที่ไม่เลว”
“เอาแบบนี้แหละ”
ข้อเสนอของนางได้รับการยอมรับจากทุกคน
“พวกเราช่วยกันหาได้หากเจอสิทธิ์แห่งเทพที่เข้ากับธาตุของคนอื่นๆ ก็สามารถแจ้งอีกฝ่าย เช่นนั้นก็จะเร็วขึ้นหน่อย” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยเพิ่มเติม
“ดี เช่นนั้นก็เริ่มเถอะ” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ธาตุของซีเซียนเสวี่ยคือนํ้า จีเหยาฮั่วคือลม อิ๋งเจ๋อคือพละกำลัง สามารถเข้าได้กับดิน เหยาชิงไห่คือไม้ เว่ยมั่วลี่คือทอง ห้าคนนี้แต่ละคนต่างมีธาตุเพียงชนิดเดียว
“ชิงเกอละ เป็นไฟไม้หรือว่าทอง”
ธาตุของคนอื่นๆ ล้วนแต่มองออกได้ภายในชั่วแวบเดียว มีแค่ของมู่ชิงเกอที่ทุกด้านของนางโดดเด่นจนเกินไปทำให้ยากที่จะรู้ได้ว่ารากวิญญาณของนางนั้นเป็นธาตุอะไร
มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยกับพวกเขาว่า “สิทธิ์แห่งเทพที่ข้าต้องการหาไม่อยู่แถวนี้แน่นอน”
“ไม่อยู่แถวนี้หรือ” เหยาชิงไห่เอ่ยอย่างประหลาดใจ มู่ชิงเกอพยักหน้า
ซือมั่วเองก็ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสุสานเทพ แต่เขาเป็นจอมมาร สิ่งที่รู้ก็ต้องมากกว่าคนอื่นๆ ในโลกแห่งยุคกลางแน่นอน สิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นและสิทธิ์แห่งเทพเจ็ดสีล้วนแต่ไม่ใช่สิทธิ์แห่งเทพธรรมดา เขาจึงได้แนะนำสถานที่ที่มีโอกาสจะพบมาให้มู่ชิงเกอรู้ก่อน ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องไปค้นหาตามสถานที่เหล่านั้น
ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หากเจ้ารู้ว่าสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะกับเจ้านั้นอยู่ตรงไหนก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่กับพวกเราหรอก”
นางกังวลใจว่ามู่ชิงเกอจะเอาแต่ห่วงพวกตนจนทำให้เรื่องของตนเองล่าช้าไป
แต่มู่ชิงเกอกลับสายหน้าเอ่ยว่า “ข้าก็ต้องหาสิทธิ์แห่งเทพอื่นๆ เช่นกัน”
อย่างน้อยนางก็ต้องหาสิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษตระกูลซาง
“เซียนเสวี่ย ชิงเกอจะต้องมีแผนการของตนเองอย่างแน่นอนพวกเราอย่าคิดมากไปเลยรีบตามหาสิทธิ์แห่งเทพถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ” จีเหยาฮั่วเอ่ย
ทั้งหกคนเดินเข้าไปในสุสานเทพโดยอ้อมพื้นที่เลือดมังกรไป
ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นหลุมฝังศพของใคร พวกเขาก็จะไม่เข้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ แน่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้หาดูรอบๆ เพราะภายในสุสานเทพมีไม่รู้ตั้งกี่คนที่เข้ามา สิทธิ์แห่งเทพที่อยู่รอบนอกล้วนแต่ยังคงอยู่นั่นก็ย่อมหมายถึงว่าคนที่เข้ามานั้นไม่สนใจพวกมัน
ด้งนั้นพวกเขาจำเป็นต้องเข้าไปลึกๆ ต่อพยายามเข้าไปใกล้กับใจกลางให้มากที่สุด
“ในบันทึกของตำหนักเทพระบุไว้ว่าคนที่มีพลังแข็งแกร่งในเผ่าเทพจะถูกฝังไว้ใกล้กับใจกลาง” ซีเซียนเสวี่ยพูดประโยคนี้ขึ้นข้างกายมู่ชิงเกอ
คำพูดที่ดูไม่ตั้งใจนี้ทำให้ดวงตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายวาววาบ
ทันใดนั้นในใจของนางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นั้นก็คือสิทธิ์แห่งเทพสองชนิดที่นางต้องการหาอาจจะอยู่ที่ใจกลางทั้งหมด
คิดแล้วนางก็หันไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า “พวกเราไม่ต้องอยู่ที่รอบนอกแล้ว ไปที่ใจกลางโดยตรงเลยเถอะ”
ทั้งห้าคนพยักหน้า พวกเขาเองก็คิดเช่นนี้เช่นกัน
ในเมื่อต้องหาสิทธิ์แห่งเทพ อีกทั้งสิทธิ์แห่งเทพก็เกี่ยวพันถึงพรสวรรค์ในการฝึกปรือตอนที่พวกเขาเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารในอนาคต แน่นอนว่าจะต้องเลือกที่ดีที่สุด
สุสานเทพนั้นใหญ่มาก ใหญ่จนดูเหมือนไร้ขอบเขต
รอบด้านมีเสาที่คํ้าฟ้าอยู่เต็มไปหมด โลงศพที่วางอยู่บนนั้นแผ่กระจายพลังอันแข็งแกร่งออกมา รับรู้ได้เลยว่าคนที่ถูกฝังอยู่ที่นี่นั้นเคยแข็งแกร่งเพียงใด
“สิทธิ์แห่งเทพ! ฮ่าๆๆๆๆๆ…ในที่สุดข้าก็หาสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะกับข้าพบ แล้ว!”
ทันใดนั้นบริเวณที่ไกลออกไปก็มีเสียงยินดีบ้าคลั่งดังขึ้นมา
ทั้งหกคนหยุดฝีเท้า หันไปมองบริเวณที่มีเสียงดังออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย
“ยังมีคนเร็วกว่าพวกเราอีกหรือ” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อฉายแวววาววาบ “จะต้องเป็นเหล่าปีศาจเฒ่าอย่างแน่นอน”
“ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับพวกเขา พวกเราหาของพวกเรา” เหยาชิงไห่เอ่ย
ซีเซียนเสวี่ยคอยมองดูเข็มทิศไปตลอดเส้นทาง ในตอนนี้เองนางก็เอ่ยกับทุกคนว่า “ที่นี่ยังอยู่ที่ชายขอบไม่ใช่ใจกลาง”
“พวกเราเดินต่อเถอะ มีคนอื่นเข้ามาแล้วระมัดระวังด้วย” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งแล้วก็เร่งความเร็ว
ทั้งหกคนเดินเข้าไปด้านในต่อ เสาหินเริ่มน้อยลง ระเบียงทางเดินก็น้อยลง หลุมฝังศพที่นี่ไม่ได้ห้อยอยู่บนเสาหินอีกต่อไป แต่วางเป็นชั้นๆ ไว้ในถํ้าบนผนังภูเขา
บรรยากาศนี้คล้ายกับการฝังศพบนหน้าผาที่มู่ชิงเกอเคยเห็นในชาติก่อน
“สิทธิ์แห่งเทพสามารถใช้จิตวิญญาณสัมผัสดูได้หากว่าพบที่เหมาะสมแล้ว สามารถเก็บเข้าไปในจิตวิญญาณ จากนั้นค่อยหลอมรวม” จีเหยาฮั่วพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง
เว่ยมั่วลี่กวาดตามองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับไป
จีเหยาฮั่วถูกเขามองจึงรู้สึกแปลกๆ เขาลากอิ๋งเจ๋อเข้ามาถามว่า “เขาหมายความว่าอย่างไรน่ะ”
อิ๋งเจ๋อมองเขาแล้วถามกลับว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”
พูดจบเขาก็เดินหน้าต่อไป จีเหยาฮั่วยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้ามึนงง ชี้นิ้วใส่จมูกของตนเองแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าหรือ ข้าหมายความว่าอะไรอะไรกัน”
เหยาชิงไห่เดินไปที่ข้างกายเขา ตบไหล่เขาแล้วเอ่ยว่า “เว่ยมั่วลี่เพียงแค่แปลกใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้พูดเรื่องที่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วน่ะ”
จีเหยาฮั่วชะงักไป
เหยาชิงไห่เดินผ่านข้างกายเขาไปข้างหน้า
ครู่หนึ่งเขาก็ได้สติกลับมาจึงตะโกนใส่กลุ่มคนด้านหน้าว่า “ข้าก็แค่ทบทวนเท่านั้นจะเป็นอะไรไปเล่า จำเป็นต้องใช้สายตาดูแคลนมองข้าเช่นนั้นเลยหรือ”
ไม่มีใครสนใจเสียงร้องด้านหลัง
ซีเซียนเสวี่ยเดินไปที่ข้างกายมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับนางว่า “ประตูสิบสองบานแสดงถึงพื้นที่สิบสองพื้นที่ พวกเราเดินไปยังใจกลางเรื่อยๆ ก็จะพบเจอคนมากขึ้นเรื่อยๆ รุ่นเยาว์นั้นไม่น่ากลัว แต่เหล่าปีศาจเฒ่านั้น พวกเราต้องระมัดระวัง หากว่าพบเจอพวกเขา…ชิงเกอ เจ้าคิดหรือยังว่าจะทำอย่างไร”
เมื่อคำพูดของนางจบลง มู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้าลง
ซีเซียนเสวี่ยสงสัยกำลังคิดจะเอ่ยปากกลับถูกมู่ชิงเกอยกมือขึ้นห้าม
“เหมือนด้านหน้าจะมีเสียงการต่อสู้” เหยาชิงไห่ยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
“ข้าจะไปดูเอง” เว่ยมั่วลี่แบกดาบหนักขึ้นแล้วพูดเสนอตัว
มู่ชิงเกอมองไปทางเหยาชิงไห่ ฝ่ายหลังเข้าใจในทันทีรีบเอ่ยกับเว่ยมั่วลี่ว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
พูดแล้วทั้งสองคนก็ออกจากกลุ่มไปยังทิศทางที่มีเสียงต่อสู้ดังมา
ที่ไม่ให้เว่ยมั่วลี่เคลื่อนไหวเพียงลำพังก็เพราะมู่ชิงเกอรู้สึกว่าจากการกระทำของเว่ยมั่วลี่ที่ผ่านมาไม่แน่ว่าจะจดจำสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่ได้
มีเหยาชิงไห่อยู่ข้างกาย เขารู้จักรุ่นเยาว์ในโลกแห่งยุคกลางเป็นอย่างดี ทั้งเขายังเคยอ่านข้อมูลที่หานฉายไฉ่ส่งมา ดังนั้นน่าจะจดจำสถานะของอีกฝ่ายได้
ทั้งสองคนไปด้วยกันก็ถือว่าได้ดูแลกันและกัน
หลังจากใช้สายตาส่งพวกเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็หันกลับไปเอ่ยกับสามคนที่เหลือว่า “หากพบกับคนธรรมดา อาศัยความสามารถของพวกเราคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่หากพบกับเหล่าปีศาจเฒ่าที่ผ่านเคราะห์อัสนีหนึ่งครั้งหรือมากกว่าแล้วอาจจะต้องใช้สติปัญญาเข้าช่วย”
“ใช้สติปัญญาอย่างไร ปีศาจเฒ่าราศีธนูก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกภูเขาค่ายกลขังเอาไว้ เกรงว่าพวกเราคงไม่ใช่คู่มือของเขา” จีเหยาฮั่วเกาหัวเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด ครู่หนึ่งนางก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ เมื่อเข้ามาในสุสานเทพก็ต้องพบกับปีศาจเฒ่าแน่นอนว่าจะต้องมีการเตรียมการมาก่อนแน่ ตระกูลของพวกเจ้ามอบอะไรไว้ให้พวกเจ้ารักษาชีวิตบ้าง”
จีเหยาฮั่วยิ้ม หยิบม้วนภาพออกมาจากถุงซวีหมีของตนเอง “นี่เป็นสมบัติที่ตาเฒ่าบ้านข้ามอบให้ ว่ากันว่าเป็นของที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกตระกูลเป็นผู้ทิ้งเอาไว้ให้หากพบเจอกับอันตรายก็ให้เปิดออกแล้วจะกลายเป็นขอบเขตหนึ่งที่สามารถเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเองทำให้คนอื่นจับสัมผัสไม่ได้นอกจากตนเองจะปิดม้วนภาพลงเอง แต่ข้อเสียคือทุกๆ ร้อยปีจะใช้ได้เพียงสามครั้งเท่านั้น”
มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วก็มองอิ๋งเจ๋อ อิ๋งเจ๋อหยิบหยกพกชิ้นหนึ่งออกมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เมื่อบีบมันให้แตก ข้าสามารถหนีไปได้ไกลถึงพันลี้”
“ตระกูลข้ามอบของลํ้าค่าที่สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาให้ข้าชิ้นหนึ่ง ตำหนักเทพเองก็มอบของลํ้าค่าให้ข้าชิ้นหนึ่ง” ซีเซียนเสวี่ยเอามุกหนึ่งลูกและถุงผ้าปักหนึ่งใบออกมา
นางอธิบายให้ทั้งสามคนฟังว่า “มุกนี้สามารถคุ้มครองข้าไว้ด้านในแล้วหลบหนีออกไปจากจุดเดิมได้ ส่วนถั่วทองภายในถุงนี้สามารถสาดถั่วเป็นทหารได้”
“สาดถั่วเป็นทหาร!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างตกตะลึง
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า “ที่จริงแล้วก็คือวิชาหุ่นเชิดชนิดหนึ่ง หากว่าพบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าสามารถเรียกหุ่ เชิดออกมาช่วยต่อสู้ได้ แต่ถั่วเหล่านี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ครั้งหนึ่งข้าสามารถสาดออกไปได้แค่สามเม็ด ถั่วด้านในนั้นมีไม่ถึงยี่สิบเม็ด หุ่นเชิดที่เรียกออกมามีพลังอยู่ระดับข้ามผ่านขั้นแรกเริ่ม หากว่าพบเจอกับปีศาจเฒ่าที่ผ่านเคราะห์อัสนีสองครั้งหรือสามครั้งแล้วเกรงว่าคงจะมีประโยช,นไม่มากนัก”
มู่ชิงเกอพยักหน้า มองทั้งสามคนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อทุกคนก็ต่างก็มีวิธีในการรักษาชีวิตตนเอง หากว่าพบเจอศัตรูที่สู้ไม่ไหว พวกเราก็แยกย้ายกันหนี ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาตรงๆ หากว่าพลัดหลงกันแล้วก็ไปพบกันที่ใจกลางสุสาน”
พวกเขาเข้ามาที่นี่ก็เพื่อสิทธิ์แห่งเทพ ไม่ได้มาประลองเป็นตายกับเหล่าปีศาจเฒ่า สู้ไม่ชนะก็ถอย รอจนเสร็จภารกิจหลักแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะอีกครั้ง
“ดี!”
“ดี!”
“อิม!”
ทั้งสาม คนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
สำหรับเหยาชิงไห่และเว่ยมั่วลี่นั้นพวกเขาเองก็ไม่กังวลใจ สองคนนั้นเองก็คงมีวิธีรักษาชีวิตของตนเองเหมือนกับพวกเขาแน่ รอจนพวกเขากลับมาแล้ว ค่อยบอกเรื่องที่ตกลงกันไว้กับพวกเขาอีกที
“พวกเราต้องพยายามหลีกเลี่ยงการประมือกับปีศาจเฒ่า” มู่ชิงเกอกำชับมาหนึ่งประโยค หากมีเวลาพอ นางก็จะไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้เวลามีน้อย นางต้องหาสิทธิ์แห่งเทพฮุ้นตุ้นแล้วก็สิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษตระกูลซางให้เจอ ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปพัวพันกับเหล่าปีศาจเฒ่าอีก
เหยาชิงไห่และเว่ยมั่วลี่กลับมาแล้ว เว่ยมั่วลี่นั้นดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร แต่สีหน้าของเหยาชิงไห่กลับไม่ค่อยน่าดูนัก
“เป็นเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่ง!” เหยาชิงไห่นั้นไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ จดจำคนที่ต่อสู้อยู่ด้านหน้าได้
“เป็นพวกเขาสองคนเองหรือ!” จีเหยาฮั่วเอ่ย
“เทียนหลัวจวิน หลินเสวียนเฟิ่ง…” มู่ชิงเกอคิดไปถึงเนื้อหาบนสาส์นของหานฉายไฉ่อย่างละเอียด
สองคนนี้ถือเป็นผู้มีความสามารถในยุคเดียวกัน อีกทั้งยังเกิดอยู่ภาคเหนือทั้งสองคน เสือสองตัวอยู่ถํ้าเดียวกันไม่ได้ในช่วยวัยรุ่นนั้นทั้งสองก็แข่งขันเปรียบเทียบกันมาโดยตลอด ทั้งยังไม่ชอบหน้ากัน ความแค้นลํ้าลึกตอนนี้ เมื่อพบเจอกันในสุสานเทพก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต่อสู้กัน
“รู้สาเหตุที่พวกเขาต่อสู้กันหรือไม่’’ มู่ชิงเกอเอ่ยถามเหยาชิงไห่
“สิทธิ์แห่งเทพ!” เหยาชิงไห่เอยอย่างมั่นใจ “ดูเหมือนหลินเสวียนเพิ่งจะพบสิทธิ์แห่งเทพที่เหมาะสมอันหนึ่ง แต่ถูกเทียนหลัวจวินขวางไว้กลางทาง ธาตุของสิทธิ์แห่งเทพนั้นไม่เหมาะกับเทียนหลัวจวินเลย ที่เขาจงใจแย่งชิงก็เพราะความแค้นส่วนตัว ดังนั้นหลินเสวียนเฟิ่งเลยโกรธและต่อสู้กับเขา”
“มีสองคนนี้อยู่ข้างหน้าแล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีเล่า อ้อมไปหรือ” จีเหยาฮั่วเอ่ย
“หลินเสวียนเฟิ่งและเทียนหลัวจวินนี้ล้วนแต่ผ่านเคราะห์อัสนีมาแล้วสองครั้ง” เหยาชิงไห่เองก็มองมาที่มู่ชิงเกอ รอคอยการตัดสินใจของนาง
“เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้ว” มู่ชิงเกอกลับเงยหน้ามองไปด้านหน้า เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เคร่งขรึม
เมื่อเสียงของนางจบลง เสียงของการต่อสู้ก็ชัดเจนขึ้น ทั้งยังมีเสียงระเบิดดังขึ้นในบางครั้งอีกด้วย ฟังดูแล้วเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก
เงาร่างของคนสองคนเองก็ใกล้เข้ามาและมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของทั้งหกคน
เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเพิ่งต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ ไอพลังตกลงไปทั่วทุกทิศทาง มีบ้างที่พลังไปโดนเกราะป้องกันแสงบนระเบียงทางเดินและมีบ้างที่ตกลงบนพื้น ทำให้พื้นดินส่งกลิ่นเหม็นฉุนออกมา
“ให้ตายเถอะ! เหตุใดถึงต่อสู้มาถึงตรงนี้ได้!” จีเหยาฮั่วเอ่ยด่าไป ในใจก็ลอบคิดว่าช่างโชคร้ายเสียจริง
ทั้งห้าคนมองมาที่มู่ชิงเกอ นางยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน พลางเอ่ยเสียงตํ่าว่า “ใช้ความไม่เปลี่ยนแปลงรับมือการเปลี่ยนแปลง เตรียมถอย!”
พูดให้ชัดเจนก็คือตอนนี้ไม่สามารถเคลื่อนกำลังได้ หากว่าตกลงสู่ทางตันก็ให้จากไปในทันที อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้’
“อืม!”
ทั้งห้าล้วนเข้าใจในความหมายของนาง พากันยืนอยู่ที่เดิมอย่างระมัดระวังและเตรียมพร้อม
แต่ตอนนี้เองหนึ่งในสองคนที่เข้ามาใกล้ เทียนหลัวจวินก็มองมาทางพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีดุร้ายว่า “พวกเด็กน้อยรุ่นหลัง หากไม่อยากตายก็ทำลายสิทธิ์แห่งเทพที่เจ้านกยูงเฒ่าหมายตาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“สุนัขเฒ่า เจ้ากล้าหรือ!” เสียงของหสินเสวียนส่งดังมาตาม “หากพวกเจ้ากล้าแตะ ข้าก็จะให้พวกเจ้าตายไร้ที่ฝัง!”
ตอนนี้หกคนที่ยืนอยู่ที่เดิมถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงกลางระหว่างหลินเสวียนเฟิ่งและเทียนหลัวจวินนั้นมีผลึกเปล่งประกายของสิทธิ์แห่งเทพอยู่ ดูเหมือนสิทธิ์แห่งเทพนั้นจะถูกดึงดูดจากหลินเสวียนเฟิ่ง คิดจะพุ่งไปหาเขา แต่ก็ถูกเทียนหลัวจวินดึงไว้หมดหนทางหนี…