ตอนที่ 525
ตกเข้าไปในสุสาน
ภายในทะเลเพลิงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
มู่ชิงเกอตามสวี่สวี่เข้ามาในหลุมเพลิง แล้วก็พบว่าด้านในนี้นอกจากชั้นทะเลเพลิงด้านนอกชั้นเดียวแล้ว ด้านล่างทะเลเพลิงนั้นก็เป็นแค่หุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเท่านั้น
ภายในหุบเหวลึกแฝงไอความเย็นยะเยือกเสียดกระดูกเอาไว้ซึ่งไม่เข้ากับทะเลเพลิงด้านบนเลย
ห่างจากตัวนางออกไปไม่ไกลก็คือสวี่สวี่ที่ถูกกระแทกจนสลบไป ในตอนที่นางตกลงไปในทะเลเพลิงนั้น บนร่างน่าจะพกของวิเศษรักษาชีวิตบางอย่างเอาไว้จึงสามารถช่วยนางให้รอดพ้นมาได้ แต่เปลวไฟก็แผดเผาจนอาการสาหัสไม่น้อย
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดุดัน พุ่งไปหาสวี่สวี่
เมื่อเข้าไปใกล้แล้ว นางก็คว้าเสื้อบนไหล่ของสวี่สวี่ดึงนางมาที่ตรงหน้าของตนเอง มู่ชิงเกอใช้พลังจิตประคองร่างกายตนเองหันกายลอยขึ้นไปยังปากหลุม
แต่ในตอนที่พวกนางกำลังจะทะลุชั้นทะเลเพลิงนั่นเอง เปลวไฟสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใส่มู่ชิงเกอ ภายใต้สถานการณ์คับขัน มู่ชิงเกอใช้พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ห่อหุ้มร่างของสวี่สวี่แล้วออกแรงส่งนางออกไป ส่วนตนเองก็ถูกเปลวเพลิงโจมตีจนตกลงไปยังส่วนลึกของหุบเหว
บนพื้นดิน การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
แต่เทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้เฒ่าเหนือมังกรจึงถูกเขาทุบตีเสียจนสะบักสะบอม พวกจีเหยาฮั่วห้าคนดูการต่อสู้ของทั้งสามคนแล้วก็รู้สึกว่าผู้เฒ่าเหนือมังกรจงใจทรมานพวกเขา ถึงไม่ยอมให้พวกเขาตายไปง่ายๆ ในตอนนี้เอง สวี่สวี่ก็ถูกโยนออกมา ในตอนที่นางถูกโยนออกมาและปรากฎตัวขึ้นบนปากหลุมนั้น เหยาชิงไห่ก็ยื่นมือออกไปรับตัวนางมาอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าเหนือมังกรสังเกตสถานการณ์ทางปากหลุมมาโดยตลอด เมื่อเห็นหลานสาวของตนเองออกมาแล้วก็ไม่ได้เสียเวลาอีก ใช้ไม้เท้าหัวมังกรในมือฟาดศีรษะของเทียนหลัวจวินจนแตกและก็พลิกมือเข้าโจมตีทำลายตันเถียนของหลินเสวียนเฟิ่ง ฆ่าคนทั้งสองในทันที
คนสองคนที่มีชื่อเสียงมานาน สองปีศาจเฒ่าที่ยากจะแยกแยะบุญคุณความแค้นก็ได้ตายลงในสุสานเทพด้วยเงื้อมมือของผู้เฒ่าเหนือมังกรเช่นนี้เอง
การต่อสู้นี้ทำให้พวกจีเหยาฮั่วยากที่จะสงบใจลงได้
การต่อสู้เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาห้าคนจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้
หลังจากฆ่าเทียนหลัวจวินและหลินเสวียนเฟิ่งแล้ว ผู้ เฒ่าเหนือมังกรก็รีบพุ่งมาที่ตรงหน้าของสวี่สวี่ ความเร็วนั้นไม่เหมือนคนแก่ที่หลังโค้งงอและอ่อนแอเลย
“สวี่สวี่!” ผู้เฒ่าเหนือมังกรเอ่ยอย่างร้อนใจ
เหยาชิงไห่เอายาให้สวี่สวี่กินไม่นานนางก็ฟื้นขึ้นมา “ท่านปู่…”
เมื่อได้เห็นหน้าคนที่คุ้นเคยอีกครั้ง สวี่สวี่ก็อดสูดจมูกซบลงในอ้อมอกของผู้เฒ่าเหนือมังกรไม่ได้ ผู้เฒ่าเหนือมังกรเองก็ลูบหลังของนาง เอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว มีปู่อยู่ ไม่เป็นไรแล้ว”
ท่าทางเช่นนี้ดูไม่เหมือนผู้เฒ่าที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นเมื่อครู่นี้เลย ภาพปู่หลานสองคนปลอบโยนกันทำให้พวกจีเหยาฮั่วห้าคนรู้สึกไม่สบายใจ
พวกเขายืนอยู่ด้านข้าง มองฉากนี้อย่างเย็นชา ในใจกังวลถึงความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ แม้ว่าการเห็นสวี่สวี่จะทำให้พวกเขาแน่ใจว่ามู่ชิงเกอยังไม่ตาย แต่เมื่อยังไม่เห็นตัวนาง พวกเขาก็ยากที่จะสงบใจลงได้
“ผู้อาวุโส ชีวิตของหลานสาวท่านนั้นใช้ชีวิตของชิงเกอแลกมา” ผ่านไปครู่หนึ่ง จีเหยาฮั่วก็เอ่ยออกมาอย่างอดไม่อยู่
สวี่สวี่หยุดร้องไห้มองพวกเขาด้วยนัยน์ตาที่มีนํ้าตาเอ่อคลอ ส่วนผู้เฒ่าเหนือมังกรก็สงบอารมณ์ลงแล้วเอ่ยกับทั้งห้าคนว่า “ในเมื่อเด็กน้อยคนนั้นสามารถโยนสวี่สวี่ขึ้นมาได้ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร เรื่องที่ข้ารับปากนางเอาไว้ ก็จะไม่คืนคำ นับแต่นี้ไปข้าจะเดินทางไปกับพวกเจ้า จนกว่าจะพบเด็กน้อยคนนั้นค่อยว่ากันใหม่”
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้น นางมองไปรอบด้านแล้วก็ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า
ที่นี่เหมือนเป็นสุสานอีกแห่งหนึ่ง
มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ มองเห็นป้ายหลุมฝังศพจำนวนไม่น้อย สุสานที่นี่ล้วนแต่เป็นหลุมฝังศพและป้ายไม่ได้ต่างจากที่อยู่ด้านนอกมากนัก
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไปก็พบว่าท้องฟ้าของที่นี่ดูเหมือนเป็นปากรูอันหนึ่ง มองเห็นเพียงท้องฟ้ารูปวงกลม ส่วนดินที่นี่ก็เป็นดินสีแดง รอบด้านเหมือนถูกล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงที่แฝงมาด้วยกลิ่นอายความร้อน หลุมศพที่อยู่ที่นี่มีไม่มากนัก นับดูแล้วมีประมาณยี่สิบสามสิบหลุม
มู่ชิงเกอดมกลิ่น จมูกของนางได้กลิ่นกำมะถัน ทำให้รู้สึกอึดดัดมาก
‘เปลวไฟเหล่านั้นดูเหมือนจะต่างออกไป’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ ร่างกายของนางถูกหยวนหยวนปรับเปลี่ยนให้เป็นร่างของพญาเพลิง ทั้งยังมีรากวิญญาณเพลิง พูดกันว่า ไม่กลัวไฟ แต่เปลวไฟเมื่อครู่กลับเป็นดั่งอำนาจสวรรค์ ทำให้นางไม่อาจเข้าใกล้ได้ ดูเหมือนเปลวไฟนั้นจะสามารถทะลุผ่านพลังป้องกันของนางได้อย่างง่ายดาย หากเป็นคนธรรมดาลงมา เกรงว่าคงจะถูกเผาจนไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านจริงๆ
“ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ปลอดภัย” มู่ชิงเกอสงบนิ่งมาก นางเอ่ยกับตัวเองหนึ่งประโยคพลางเดินไปทางหลุมฝังศพเหล่านั้น
ที่นี่เงียบสงบมาก เหมือนจะไม่มีใครมาเยือนนานแล้ว
ความคิดหนึ่งวาบผ่านสมองของมู่ชิงเกอ นางชะงักหลุดหัวเราะและส่ายหน้า เอ่ยในใจว่า ‘สุสานเทพไม่ได้เปิดมานานแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่มีใครเคยมา’
แต่ในใจของนางก็รู้สึกแปลกใจ
นางแปลกใจว่าเหตุใดสุสานแห่งนี้ถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้ อากาศที่สูดดมเข้าไปราวกับจะลุกไหม้ขึ้นมาได้อย่างนั้น
มู่ชิงเกอเดินเข้าไปยังป้ายหลุมฝังศพที่ใกล้ที่สุดแล้วอ่านเนื้อหาบนป้าย
“แผ่นดินเทพสมุทรตะวันตก หลุมฝังศพเจ้าแห่งเพลิงจู้สิง” มู่ชิงเกออ่านเนื้อหาบนป้าย “เจ้าแห่งเพลิงจู้สิง สิบขวบทะลวงขอบเขตสู่ขั้นจิตวิญญาณชั้นหก พรสวรรค์ เป็นที่ประจักษ์…”
บนป้ายเป็นชีวประวัติของคนในหลุม
หลังจากอ่านจบแล้วมู่ชิงเกอก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าใครถูกฝังอยู่ด้านใน
ตรงกลางป้าย ในช่องที่ใส่สิทธิ์แห่งเทพนั้นว่างเปล่า บนนั้นยังมีฝุ่นสีแดงอยู่เต็มไปหมด
มู่ชิงเกอยื่นมือไปเช็ดเบาๆ ที่ช่องนั้น ฝุ่นสีแดงแฝงไปด้วยกลิ่นอายความร้อนติดอยู่บนปลายนิ้วของนาง มู่ชิงเกอเช็ดปลายนิ้วเอาฝุ่นสีแดงเหล่านั้นออก พึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ดูท่าคงมีคนเอาสิทธิ์แห่งเทพของเขาไปเมื่อนานมาแล้ว”
ไม่ได้หยุดอยู่ที่หลุมฝังศพนี้นานนัก นางเดินต่อไปข้างหน้า
เมื่อเดินไปถึงหน้าป้ายหลุมศพอันที่สอง นางอ่านเนื้อหาบนป้าย “แผ่นดินเทพสมุทรใต้หลุมฝังศพจักรพรรดิเพลิง…”
ป้ายอันที่สาม
“แผ่นดินเทพสมุทรเหนือ หลุมฝังศพเจ้าแห่งเพลิง…”
ป้ายอันที่สี่
“แผ่นดินเทพสมุทรเหนือ หลุมฝังศพเทพเพลิง…”
ป้ายอันที่ห้า…ป้ายอันที่หก…
พริบตาเดียวมู่ชิงเกอก็ได้เดินผ่านป้ายหลุมฝังศพมานับสิบอันแล้ว เนื้อหาบนป้าย ชื่อของผู้ตายทำให้นางเกิดการคาดเดาอย่างหนึ่งขึ้นมา
“หรือสุสานแห่งนี้จะเป็นสุสานสำหรับผู้มีความสามารถ ด้านเปลวเพลิงบนแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรโดยเฉพาะ” มู่ชิงเกอคาดเดา
บางหลุมฝังศพนั้นมีสิทธิ์แห่งเทพบางอันถูกเอาไปแล้ว และมีบางสิทธิ์แห่งเทพยังอยู่
แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้แตะต้อง
เพราะสิทธิ์แห่งเทพเหล่านี้ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของนาง ส่วนสิทธิ์แห่งเทพที่นางจะหาให้พวกเหมยจื่อจ้ง ตอนที่นางเห็นสุสานแห่งนี้แล้วนางก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ
“ในเมื่อเป็นสุสานที่เอาไว้ฝังผู้ฝึกปรือด้านเปลวเพลิงโดยเฉพาะ เช่นนั้นก็อาจจะมีสุสานที่เอาไว้ฝังอาจารย์ปรุงยาโดยเฉพาะเช่นกันใช่หรือไม่” มู่ชิงเกอรู้สึกว่า พวกเหมยจื่อจ้งนั้นเป็นอาจารย์ปรุงยา จะให้ดีที่สุดก็ต้องหาสิทธิ์แห่งเทพของอาจารย์ปรุงยา เช่นนั้นความเหมาะสมถึงจะสูงมากขึ้น
ทันใดนั้น ตอนที่มู่ชิงเกอเดินผ่านหลุมฝังศพอันหนึ่งก็รู้สึกว่าสายเลือดเกิดพลังดึงดูดขึ้นทำให้นางหยุดฝีเท้าลง นางขมวดคิ้วขึ้น รับรู้ถึงความรู้สึกที่ส่งมาจากสายเลือด พลังดึงดูดชนิดนี้ทำให้นางหันหน้ากลับไปมองบนป้ายหลุมศพข้างกาย ป้ายหลุมศพอันนั้นอยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่บนนั้นเขียนอักษรไว้แถวหนึ่งว่า ‘แผ่นดินเทพสมุทรตะวันตก หลุมฝังศพจอมเทพซาง ใช้เพลิงสวรรค์หลอมศาสตรา จอมเทพถามหม้อหลอมสี่สมุทรยอมสยบ’
“ซาง? หลอมศาสตรา?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนนางจะเข้าใจแล้วว่าพลังดึงดูดจากสายเลือดนั้นมาจากไหน
“หรือที่นี่จะเป็นสุสานของเทพบรรพบุรุษตระกูลซาง?” มู่ชิงเกอไม่อยากเชื่อ เพราะนี่มันบังเอิญเกินไป หากว่านางไม่ได้ตกลงมาที่นี่ก็เกรงว่าจะพลาดสุสานนี้ไป
เมื่อได้มายืนอยู่ที่นี่ นางก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นางถูกเปลวเพลิงขัดขวางจนตกลงมาที่นี่นั้นจะเป็นเพราะเทพบรรพบุรุษตระกูลซางมีจิตวิญญาณจึงจงใจทำเช่นนี้หรือ ไม่
“สิทธิ์แห่งเทพ!” สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังช่องกลางป้ายหลุมศพ
ในช่องอันนั้นมีสิทธิ์แห่งเทพของเจ้าของหลุมฝังศพวางอยู่อย่างเงียบสงบ ท่ามกลางแสงสว่างเปล่งประกายสีแดงเลือดสายหนึ่ง แสงสว่างอ่อนๆ โอบคลุมป้ายหลุมฝังศพแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์
มู่ชิงเกอยกมือขึ้น ยื่นมือออกไป ค่อยๆ แตะลงบนสิทธิ์แห่งเทพอันนั้น
เพิ่งจะสัมผัส สิทธิ์แห่งเทพอันนั้นก็ส่องแสงออกมาแวบหนึ่ง จากนั้นสีแดงเลือดที่อยู่ในสิทธิ์แห่งเทพอันนั้นก็แทรกออกมาจากสิทธิ์แห่งเทพเข้าไปในนิ้วมือของมู่ชิงเกอ ไหลตามแขนของนางเข้าไปหลอมรวมกับสายเลือดของนาง
ฉากนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถอนมือกลับ เพราะนางรู้สึกได้ว่าภายในเส้นสายสีแดงเลือดนั้นแฝงไปด้วยความสงบและความสนิทสนม
‘รุ่นหลังของข้า ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!’
ทันใดนั้นก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้นในหัวของนาง
มู่ชิงเกอชะงัก ตอบในใจว่า ‘เทพบรรพบุรุษตระกูลซางหรือ’
‘ไม่ผิด สายเลือดที่ข้าทิ้งเอาไว้ ก็คือตระกูลซางที่มีพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรา’ เสียงนั้นเอ่ยตอบ
แต่มู่ชิงเกอกลับเข้าใจแล้ว
นางเข้าใจว่าคนที่กำลังพูดกับนางนั้นไม่ใช่เทพบรรพบุรุษตระกูลซางที่แท้จริง แต่เป็นกลิ่นอายสีแดงเลือดสายนั้น นั่นน่าจะเป็นชิ้นส่วนวิญญาณที่เทพบรรพบุรุษตระกูลซางทิ้งเอาไว้ในสิทธิ์แห่งเทพของตนเอง เพื่อสั่งเสียชนรุ่นหลัง
“เด็กน้อย เจ้าชื่อว่าอะไร” เสียงนั้นเอ่ยขึ้น
‘มู่ชิงเกอ’ มู่ชิงเกอตอบ
‘มู่หรือ’ เสียงนั้นแปลกใจเล็กน้อย แล้วก็เข้าใจในทันที หัวเราะเอ่ยว่า ‘คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ข้าสิ้นสลายไปแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ได้รับสืบทอดสายเลือดของข้าจะเป็นลูกหลานนอกแซ่ แต่ก็เอาเถอะ ก็เป็นเพียงแค่แซ่หนึ่งเท่านั้น’
‘เจ้ามาเพื่อสิทธิ์แห่งเทพของข้างั้นหรือ’ เสียงนั้นเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า ‘ไม่ผิด ข้ารับปากกับบรรดาผู้อาวุโสบรรพบุรุษตระกูลซางเอาไว้ว่าต้องหาสิทธิ์แห่งเทพของท่านให้พบ แล้วกระตุ้นสายเลือดของตระกูลซางขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง’
‘ดี! มีปณิธาน!’ เสียงนั้นเอ่ย
‘เขา’ หยุดลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า ‘สิทธิ์แห่งเทพนั้นเจ้าเอาไปเถอะ สายเลือดของเจ้าเข้มข้นมาก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถกระตุ้นสายเลือดของตระกูลซางได้ ยังมีอีกอย่าง ข้ามีของขวัญบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารให้เจ้าหนึ่งชิ้นรอเจ้าเข้าไปแล้วก็อย่าลืมไปเอาด้วยเล่า’
เมื่อเสียงนั้นพูดจบ แผนที่ของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแผ่นหนึ่งก็ปรากฎขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ สะท้อนอยู่ในความทรงจำของนาง
‘นี่คืออะไรหรือ’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
แต่เสียงนั้นกลับไม่ตอบคำถามของนางอีก แต่กลับพูดว่า ‘จำไว้ว่าเมื่อถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว ให้ระวังราชา…เส้า…’
ราชาเส้าอะไร?
อะไรคือราชาเส้า?
เหตุใดต้องระวังด้วย นั่นเป็นกลุ่มหนึ่งหรือว่าบุคคล
คำพูดของเทพบรรพบุรุษตระกูลซางคลุมเครือไม่ชัดเจน เหมือนว่าคำบางคำถูกกลืนไป เหลือเพียงแค่เบาะแสคลุมเครืออย่างหนึ่งให้มู่ชิงเกอ ในสมองนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่มีใครตอบนางอีก