ตอนที่ 583
รุดหน้ารวดเร็วปานเทพ
คำพูดของซวนอิ่งทำให้มู่ชิงเกอทำอะไรไม่ถูก
เดิมเพราะนางไม่อยากเดือดร้อน กลับกลายเป็นเดือดร้อนหนักขึ้นอีก
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เวลานี้เองซวนเฉียงก็เดินเข้ามา สายตาเย็นเฉียบกวาดไปที่น้องสาวตัวเองกับมู่ชิงเกอ
ที่ทำให้มู่ชิงเกอออกจะประหลาดใจคือสายตาที่ซวนเฉียงมองดูนางนั้นราวกับไม่เคยรู้จักนางมาก่อน
นี่ทำให้มู่ชิงเกอยิ่งสงสัยหนักขึ้น หญิงสาวที่เย็นชาราวนํ้าแข็งนางนี้เป็นคนเดียวกับที่นางเห็นข้างบึงเปลี่ยวชัดๆ ทั้งคู่ยังได้คุยกันบ้าง ทำไมผ่านไปเพียงสองวันก็ราวกับจำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด
‘หรือว่า บ้านพวกนางยังมีพี่น้องอีกคนที่เหมือนกันราวกับแกะ’ มู่ชิงเกออดที่จะคิดไปไกลไม่ได้
เวลานี้ย่อมไม่ใช่เวลามาสืบสาวราวเรื่อง
มู่ชิงเกอเอ่ยปากว่า “เรื่องเมื่อวานเป็นการเข้าใจผิด ข้าเพียงเรียกศิษย์พี่ตามมารยาทเท่านั้น ไม่รู้ ว่าทำไมแม่นางจึงได้เข้าใจผิดมากมายเช่นนั้น”
นางต้องเริ่มที่ชี้แจงความสัมพันธ์กับซวนอิ่งให้เข้าใจก่อน
ไม่เช่นนั้นเรื่องที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหิมะจะโดนนางบรรยายจนเละเทะกลับดำเป็นขาวไปเสียหมด
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร” ซวนอิ่งกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ
เวลานี้ การที่พวกเขาจับกลุ่มกันก็เริ่มทำให้ผู้คนเข้ามาล้อมวงดูแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต่างเป็นลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ย ทุกคนต่างสวยงามราวกับเป็นชาวฟ้า ทำให้ผู้คนชื่นชมอย่างมาก
มู่ชิงเกอพูดอย่างขบขันว่า “ความจริงเป็นเช่นนั้นเอง เจอท่านจึงเรียกว่าศิษย์พี่ หากเป็นการแสด ว่ามีใจต่อท่าน เช่นนั้นข้ามิต้องมีใจกับลูกศิษย์หญิงทั้งหมดของดินแดนฮ่วนเยวี่ยหรือ ขออภัยด้วย ข้าไม่เคยมีความคิดนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อวานที่ท่านเข้าใจผิด ข้าก็ได้อธิบายแล้ว เพียงแต่แม่นางไม่ได้สนใจเท่านั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” ถงเถิงผงกศีรษะอย่างเข้าใจต้นสายปลายเหตุ
ฟังมาตั้งนาน เขาพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ที่แท้ก็เพราะมีหญิงสาวจะมาติดพันลูกพี่ของเขานี่เอง
“ข้าว่าศิษย์พี่คนนี้ เห็นทีจะเห็นว่าลูกพี่ข้ารูปโฉมงดงามปานดอกไม้จึงแกล้งใส่ความลูกพี่ข้าแล้วถือโอกาสตามตอแยมากกว่า” ถงเถิงพูดไม่ถนอมนํ้าใจกันเลยสักนิด
“เจ้าพูดพล่ามอะไร เขาเองต่างหากที่สนใจข้า”
“พอแล้ว!” ซวนเฉียงตวาดหยุดการถกเถียงของทั้งสองฝ่าย
ซวนอิ่งทำหน้าโกรธขึ้งมองถงเถิงอย่างไม่พอใจ แต่ไม่กล้าขัดคำพูดพี่สาว ต้องสงบปากสงบคำไป
ส่วนถงเถิงก็เฝ้าอยู่ข้างมู่ชิงเกออย่างผู้มีชัย ทั้งยังยักคิ้วท้าทายซวนอิ่ง
“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปได้” ซวนเฉียงกวาดตาเฉยเมยไปทางมู่ชิงเกอ
อาการหยิ่งยโสของนางทำให้ถงเถิงไม่พอใจ
แต่มู่ชิงเกอกลับผงกศีรษะ ใช้สายตาบอกถงเถิง ลากเขาหันตัวจากไป
ทั้งคู่แยกไปอย่างเร็ว ซวนอิ่งรู้สึกเสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแค่มองมู่ชิงเกอจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
จนกระทั้งไม่เห็นตัวแล้วนางจึงถามพี่สาวอย่างขุ่นใจว่า “ท่านพี่ ทำไมให้เขาไปง่ายๆ เช่นนี้ ข้ายังไม่ทันถามชื่อแซ่เขาเลย”
“เจ้ายังทำขายหน้าไม่พออีกหรือ” ซวนเฉียงมองนางด้วยสายตาเย็นเฉียบ แววตามีแต่อาการตำหนิ
ซวนอิ่งกัดริมฝีปาก ก้มศีรษะลง ความโกรธลดลงไปไม่น้อย
ซวนเฉียงพูดต่อว่า “ข้ารู้จักนิสัยเจ้าดี ปกติก่อเรื่องที่เมืองบนบ้างคนยังพอยอมเจ้าได้เพราะเห็นแก่ข้า แต่เวลานี้เจ้ายังคิดทำเรื่องขายหน้าที่เมืองล่างอีกหรือ”
“ข้าทำที่ไหน” ซวนอิ่งโวยวายคิดจะตอบโต้
ซวนเฉียงสั่นศีรษะ “คนเมื่อครู่นี้ เห็นชัดว่าเขาไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เจ้ายังจะยุ่งให้ได้ ยังจะว่า ไม่ทำขายหน้าอีก”
“เขาไม่ชอบข้า แล้วข้าชอบเขาไม่ได้หรือ อีกอย่างหนึ่ง ข้าก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรสักหน่อย ก็แค่อยากรู้จักชื่อเขาเท่านั้น” ซวนอิ่งตอบโต้
“จะรู้จักชื่อเขาไปทำไม” ซวนเฉียงพูดอย่างรำคาญ
ทันใดนั้น ซวนอิ่งก็มองไปทางสวีปิงที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดแล้วถามว่า “สวีปิง เจ้าจะต้องรู้จักเขาใช่ไหม เมื่อครู่ข้าเห็นเขามองมาทางเจ้า”
คำพูดนางทำให้ซวนเฉียงหันไป สายตาเย็นเยียบตกไปที่ตัวสวีปิง
สวีปิงชะงัก ก้มศีรษะประสานสองมือทันที พูดกับซวนเฉียงด้วยความเคารพสุดแสนว่า “สวีปิง ไม่กล้าปกปิด ข้ารู้จักคนผู้นี้จริง เขาบินขึ้นจากบ่อบินพร้อมข้าในวันเดียวกัน ศิษย์พี่จวงซานพาไปส่งเข้าเสี่ยวเทียนอี้ แต่ว่าดูเขาออกจากเสี่ยวเทียนอี้ช้ามาก ไม่กี่วันก่อนเพิ่งผ่านการทดสอบแล้วเข้ามาในดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้”
“ไม่กี่วันก่อนเพิ่งทดสอบ…” สายตาซวนเฉียงกลอกไปมาพึมพำในลำคอ ทันใดนั้นแววตานางก็วาววับถามว่า “เขาชื่ออะไร”
สวีปิงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ คล้ายสงสัยที่ซวนเฉียงถามชื่อผู้ชายก่อน
ซวนอิ่งเองก็ประหลาดใจ ถามตรงๆ ว่า “ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านก็ชอบเขาแล้วหรอกนะ”
ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางจะทำให้ซวนเฉียงจ้องซวนอิ่งด้วยแววตาเคร่งเครียด “หุบปาก! ที่ข้า บำเพ็ญคือวิถีลืมรัก ไม่เกิดจิตปฏิพัทธ์กับใคร หากเกิดขึ้นจะต้องถูกแรงสะท้อนกลับ เจ้าจะแช่งข้าให้ข้าตายเร็วหรือ”
ซวนอิ่งตกใจจนคอหด ไม่กล้าพูดมากอีก
ตำหนิซวนอิ่งแล้ว ซวนเฉียงจึงอธิบายเรียบๆ ว่า “ไม่กี่วันก่อน ในดินแดนเกิดเหตุการณ์ประหลาด ทำให้ราชาเทวะเกิดสนใจ” พูดแล้วสายตาก็ย้ายไปอยู่ ที่ตัวสวีปิงอีก
สวีปิงรีบบอกว่า “เขาชื่อมู่ชิงเกอ”
“มู่หรือ” ซวนเฉียงหรี่ตา แววตาเปล่งประกายออกมาเล็กน้อย เตือนซวนอิ่งว่า “ต่อไปห้ามไปหาเขาอีก ห้ามไม่ให้มีการติดต่อใดๆ กับเขา หากไม่เชื่อ ข้าจะทำสองขาของเจ้าให้พิการด้วยมือของข้าเองแล้วล่ามโซ่เจ้าไว้ในตำหนักข้า”
“เพราะอะไร” ซวนอิ่งพูดอย่างไม่พอใจ
ซวนเฉียงสูดลมหายใจลึก หรี่ตาพูดเรียบๆ ว่า “เพราะแซ่ของเขาเป็นแซ่ต้องห้ามในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรอย่างไรเล่า”
คำตอบของนางทำให้ซวนอิ่งชะงัก ตาดำของสวีปิงก็หดลงเล็กน้อย
อีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเกอกับถงเถิงก็ไหลไปตามคลื่นมนุษย์ เดินไปจนไกล
ถงเถิงถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ลูกพี่ หญิงสาวคนนั้นบ้าชัดๆ นึกอยากตามตอแยท่าน ทำไมจึงไม่ ให้ข้าสั่งสอนนางสักหน่อยเล่า”
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ “อย่าก่อเรื่อง”
นางมาดินแดนฮ่วนเยวี่ยเพื่อบำเพ็ญ เรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับนางทั้งสิ้น เวลานี้ที่สำคัญมากที่สุดคือต้องบำเพ็ญให้มาก เพื่อทะลุถึงขั้นถํ้าวิญญาณในเร็ววันแล้วไปท้าสู้กับสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า เมื่อได้ฐานะนี้มาแล้วก็จะได้สะดวกในการเคลื่อนไหวระหว่างแผ่นดินเทพต่างๆ ใน ภายหลัง อีกทั้ง นอกจากนี้แล้วนางยังมีอีกหนึ่งวัตถุประสงค์ นั่นคือ ชักนำมู่เทียนอินเข้ามา
แผ่นดินเทพกว้างใหญ่เกินไป เวลานี้นางไม่มีคนให้ใช้สอยได้ในมือ ทั้งไม่สามารถมัวแต่รอข่าวจากซือมั่ว นางไม่รู้ว่ามู่เทียนอินอยู่ที่แผ่นดินเทพไหนและไม่รู้ว่าเวลานี้เขาเป็นเช่นไร จึงทำได้เพียงให้ชื่อตัวเองดังระบือลือลั่นในแผ่นดินเทพตะวันออก เพื่อดึงดูดให้มู่เทียนอินมาหานาง จากนั้น ทั้งคู่จะได้สะสางบุญคุณความแค้นที่ติดค้างกันมานานหลายปีเสียที
“หากทีหลังนางยังมาพัวพัน แล้วท่านจะทำอย่างไร” ถงเถิงถาม
มู่ชิงเกอบอกเรียบๆ ว่า “หากหลบไม่พ้นจริงๆ ก็ได้แต่รายงานเรื่องนี้ให้ศิษย์พี่จวงซานทราบ ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยนี้คงจะมีใครสามารถจัดการได้บ้าง”
พูดจบ นางก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่ออีก นางเดินเล่นกับถงเถิงอีกสักพักก็หาภัตตาคารหนึ่งเพื่อซื้ออาหารแล้วกลับเมืองบนไปยังถํ้าของตัวเอง
สุรานั้นถงเถิงขโมยมาจากที่เก็บสุราของซูหมิงเมื่อครั้งที่ออกจากเทียนหยาจวี
มองดูบนโต๊ะนอกจากอาหารที่ซื้อมากับสุราหอมกรุ่นที่ขโมยมาแล้วก็ยังมีกองถั่วอยู่ด้วย มู่ชิงเกอก็ถามคำถามที่อยากรู้มานานว่า “เจ้านำถั่วจากเบื้องล่างมาเท่าไรกัน เจ้าชอบถั่วมากขนาดไหนกันเนี่ย”
ถงเถิงหัวเราะแหะๆ “นำมาเท่าไรข้าเองก็ไม่ได้นับ แต่น่าจะพอกินสักพันปีได้ ส่วนชอบกินแค่ไหน…” รอยยิ้มบนใบหน้าเขาลดลงบอกมู่ชิงเกอว่า “ขณะที่ข้ายังเล็ก เคยถูกปล่อยทิ้งไว้ในป่าให้หากินเอง ก็เพราะถั่วนี้ช่วยชีวิตข้า ทำให้ข้าไม่อดตาย ของอย่างเดียวกินหลายๆ ปีเข้าก็จะเบื่อ แต่ข้ากลับรู้สึกว่า ยิ่งกินนานข้าก็ยิ่งชอบรสชาติถั่วนี้ ตอนที่บินขึ้นมาข้าไม่ได้นำอะไรมาด้วยมีแต่ถั่วนี้”
วันนี้ ทั้งมู่ชิงเกอกับถงเถิงต่างไม่ได้ไปหอเคล็ดวิชา เดินเล่นมาครึ่งวัน ดื่มกินอีกครึ่งวัน ตกกลางคืน มู่ชิงเกอก็นำถงเถิงที่ดื่มจนเมามายไปส่งที่ถํ้าเขาเอง หลังจัดการกลิ่นสุราในตัวแล้วก็ไปบ้านเล็กบนเขา
ระยะเวลาต่อมา มู่ชิงเกอไม่ได้เจอซวนอิ่งอีก ทุกวันจะอยู่ที่หอเคล็ดวิชาช่วงกลางวัน กลางคืนอยู่ที่บ้านเล็กบนเขา บำเพ็ญภายใต้การชี้แนะของผู้เฒ่าลึกลับ วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบ สุขสบายดี
ระหว่างนั้น จวงซานทำตามที่เขาว่า ทุกสิบวันจะมาสำรวจผลความก้าวหน้าของพวกเขา สำหรับผลความก้าวหน้าของถงเถิงนั้นเขาแสดงความดีใจอย่างมาก ส่วนมู่ชิงเกอ เขาเองก็ไม่ได้ระแคะระคายว่าการบำเพ็ญของนางไม่ใช่วิชาที่เขาสอน
ความจริงแล้ว วิชาบำเพ็ญพลังเทพนั้น ดูจากภายนอกไม่สามารถเห็นความแตกต่างได้เลยแม้แต่น้อย
โดยไม่รู้ตัว มู่ชิงเกอก็ได้บำเพ็ญติดต่อกันมาถึงหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว นางไปบ้านเล็กบนเขาทุกคืน ทุกครั้งบำเพ็ญจนถึงเช้าแล้วจึงกลับมาทางเดิม
นอกจากปัญหาการบำเพ็ญแล้ว นางกับผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงก็ไม่ได้คุยกันเรื่องอื่นอีก
ดังนั้นจนถึงปัจจุบัน นางยังไม่รู้เลยว่า ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาช่วยนางบำเพ็ญนั้นเป็นใคร มีฐานะอะไรในดินแดนฮ่วนเยวี่ย
“อืม ไม่เลวไม่เลว ไม่เลวจริงๆ” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงมองมู่ชิงเกอที่เพิ่งออกจากการบำเพ็ญ เกิดรอยยิ้มที่หว่างคิ้ว
มู่ชิงเกอพ่นลมเสียออกมา นางทำความเคารพผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงเช่นเดียวกับเมื่อก่อน แล้วจึงพูดว่า “ระยะนี้ ข้าเริ่มสัมผัสได้ถึงสิ่งกีดขวาง แต่ข้าอยากทดลองกดพลังเทพลงเรื่อยๆ เพื่อดูว่า เวลาทะลวงขอบเขตแล้วจะมีผลอะไรเกิดขึ้น”
“ความก้าวหน้าของเจ้าทำให้ข้าตกใจมากจริงๆ ถึงแม้ระดับขั้นในแผ่นดินเทพมารจะมีเพียงสามขั้น แต่ทุกขั้นล้วนซอยออกเป็นเก้าขั้น การเลื่อนขึ้นแต่ละขั้นนั้นไม่ใช่ของง่าย ยิ่งสูงขึ้นยิ่งยาก โดยปกติคนที่พรสวรรค์ค่อนข้างดี จากขั้นจิตวิญญาณขั้นเจ็ดผ่านเข้าขั้นแปดเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงสองปี แต่เจ้าใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่งก็สามารถสัมผัสสิ่งกีดขวางได้แล้ว ความเร็วเท่ากับสิบเท่าของคนธรรมดาเลย” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพูดอย่างสะท้อนใจ
เมื่อเขายิ่งได้รู้จักกับมู่ชิงเกอก็ยิ่งชื่นชอบในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ดี ทั้งยังฉลาด แข็งแกร่ง ไม่ได้หยิ่งยโสโอหัง เนื่องจากพรสวรรค์ของตัวเอง กลับมีความอดทน ทนรับความลำบากได้
คนที่มีพรสวรรค์ ไม่ยโสโอหัง ไม่ใจร้อนด่วนได้ ทั้งยังสามารถรับความลำบากได้อย่างเหนือมนุษย์ นั้นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากที่สุด