ตอนที่ 594
ภารกิจนอกแดน ไปไหน
รากวิญญาณสามสาย ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นสาม!
เหล่าลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่อาจหาคำเปรียบเปรยที่เหมาะสมมาบรรยายความรู้สึกในใจของตัวเองในขณะนี้ได้
ส่วนเหล่าลูกศิษย์หญิงที่สนับสนุนเซียนสุ่ยแววตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป สายตาเริ่มวนเวียนอยู่บนตัวมู่ชิงเกอ
‘ความจริง เขาดูเหมือนไม่เลวเลยนะ’
‘เขาดูเหมือนแข็งแกร่งมากเลย’
‘ที่สำคัญที่สุดคือ เขาหล่อมากเลย’
‘รูปหล่อสุดยอดไม่มีใครเทียบเทียมอย่างแท้จริง’
บนเวทีประลองพลังกฎบัญญัติสายไฟกับพลังกฎบัญญัติสายน้ำกำลังโรมรันพันตูกันอย่าง ดุเดือด
จะว่าไปแล้ว ขั้นพลังของมู่ชิงเกอนั้นไม่เท่าเซียนสุ่ย ระดับของบัญญัติอาคมก็ห่างชั้นกัน ยากที่จะต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่พลังโจมตีของกฎบัญญัติสายไฟเหนือกว่าสายน้ำมากมายนัก อีกทั้งน้ำไฟก็เป็นคู่ปรับกันด้วย บวกกับมู่ชิงเกอมีปัญญาเทวะที่แข็งแกร่งยิ่งนักผลลัพธ์จึงกลายเป็นแบบนี้
ริมฝีปากเซียนสุ่ยเม้มจนเป็นเส้นตรง สีหน้าน่าเกลียดมาก
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาประเมินมู่ชิงเกอไว้สูงมากแล้ว แต่ไม่นึกว่าก็ยังตํ่าเกินไปอยู่ดี นอกจากเขาจะมีรากวิญญาณสายฟ้ากับรากวิญญาณไม้แล้ว ยังมีรากวิญญาณไฟอีกด้วย
เวลานี้พลังกฎบัญญัตินํ้าคุมจมลอยดูเหมือนจะไม่สามารถเอาชนะได้เสียแล้ว เซียนสุ่ยถอนพลังกฎบัญญัติกลับทันที ขณะที่พลังกฎบัญญัติสายไฟพุ่งเข้ามานั้นก็รีบใช้บัญญัติอาคมสายน้ำอีกหนึ่งอาคม
บัญญัติอาคมสายนํ้านี้เป็นสิ่งที่เขารับรู้ได้ในครึ่งปีนี้
เดิมที เขานึกว่าในการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ต้องใช้ แต่สุดท้ายแล้วยังต้องใช้อยู่ดี
“ปลาวาฬกลืนช้าง…”
เซียนสุ่ยตะโกนชื่อบัญญัติอาคมออกมา
ทันใดนั้น พลังกฎบัญญัติสายน้ำในดินแดนฮ่วนเยวี่ยทั้งหมดก็แทบจะถูกเขาเรียกมาทั้งหมด เบื้องหน้าเขากลายเป็นปลาวาฬยักษ์ที่สามารถกลืนฟ้าปิดตะวัน พุ่งเข้ามาทางมู่ชิงเกอ
มันไม่สนใจกฎบัญญัติสายไฟพุ่งเข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรง
วิชาเผาแยกฟ้าดินของมู่ชิงเกอเมื่ออยู่ต่อหน้ามันดูช่างกระจ้อยร่อยนัก
แต่นัยน์ตามู่ชิงเกอกลับไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย นางควบคุมพลังกฎบัญญัติเปลี่ยนบัญญัติอาคมสายไฟให้กลายเป็นมังกรไฟห้าตัวรัดพันปลาวาฬยักษ์เอาไว้
ปลาวาฬยักษ์เมื่อถูกมังกรไฟรัดไว้ก็หยุดลงตรงหน้ามู่ชิงเกอ มันคำรามอย่างโกรธแค้นพยายามดิ้นรน
“ตาข่ายฟ้าดิน” เวลานี้เองเบื้องหน้ามู่ชิงเกอ พลังกฎบัญญัติสายฟ้ารวมตัวกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ครอบปลาวาฬยักษ์เอาไว้
“เป็นไปได้อย่างไร!” เซียนสุ่ยเบิกตากว้างด้วยความตะลึง มองภาพนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้!
“สามารถปล่อยบัญญัติอาคมที่สองทั้งๆ ที่บัญญัติอาคมแรกยังไม่สลายไปออกมาได้ ทั้งยังเป็น บัญญัติอาคมต่างสายกันด้วย”
“เขาเป็นใครแน่ ทำไมกฎเกณฑ์ทุกอย่างถึงไร้ผลกับตัวเขา”
พวกเขาตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอน่ากลัวเพียงไร อีกทั้งในเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ก็มีวิธีการแบ่งแยกปัญญาเทวะออกมาควบคุมสิ่งอื่นได้อยู่
แต่นี่ยังไม่จบ
ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงกันนั้นเอง มู่ชิงเกอก็ร้องเสียงดัง “กรงขังหมื่นไม้!”
พลังกฎบัญญัติสายไม้หมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นกรงขังสีเขียวขังปลาวาฬยักษ์ไว้ข้างใน
ทั้งมังกรไฟพัวพันตาข่ายสายฟ้าครอบคลุมกรงไม้คุมขัง อาคมสายนํ้าของเซียนสุ่ยถูกผูกมัดจนกระดิกตัวไม่ได้
เวลานี้ภายใต้เสียงฮือฮาของทุกคน มุมปากของมู่ชิงเกอก็ผุดรอยยิ้มประหลาดพลางเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ระเบิด!”
บึ้ม
พลังกฎบัญญัติสี่สายเข้าปะทะกันจนระเบิดขึ้นมา
ความจริง มู่ชิงเกอระเบิดเฉพาะกฎบัญญัติสามสายของนาง แต่ก็ทำให้พลังกฎบัญญัติสายนํ้าของเซียนสุ่ยระเบิดไปด้วย
เวทีประลองบนยอดเขา ทุกแห่งหนล้วนมีสิ่งปรักหักพังที่ถูกพลังกฎบัญญัติที่ระเบิดแล้วทำลายลงไป
พลังทำลายที่ยิ่งใหญ่นี้สั่นสะเทือนที่แห่งนี้ไปทั้งแถบ
ท้องฟ้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยระเบิดออกเป็นแสงสีตระการตาทำให้ทั่วแดนฮ่วนเยวี่ยสว่างขึ้นมา แวบหนึ่ง
“อา…”
“อา…”
เหล่าลูกศิษย์ดินแดนฮ่วนเยวี่ยบนเขาเล็กลอยถูกพลังกฎบัญญัติที่กระจายออกกระแทกจนหงายหลัง บาดเจ็บกันเล็กน้อย
ที่ยังดีหน่อยคงมีเพียงกลุ่มสิบลูกศิษย์ใหญ่เท่านั้น
ขณะที่พลังกฎบัญญัติระเบิดหลีเฉาใช้บัญญัติอาคมสายทองรวมตัวเป็นที่ครอบป้องกันอยู่เบื้องหน้าเขาเล็กลอยของพวกเขาได้ทันเวลาจึงสามารถสกัดพลังกฎบัญญัติส่วนใหญ่เอาไว้ได้
บนเวทีประลองเละเทะไปหมด
เซียนสุ่ยไม่ทันได้คาดคิดจึงโดนทำร้ายจากพลังกฎบัญญัติจนถอยกรูดไปอย่างหมดรูป เสื้อผ้าขาดวิ่นหลุดลุ่ย แม้แต่ผิวหนังที่มือกับใบหน้าก็ถูกพลังกฎบัญญัติบาดจนเป็นแผลเลือดซิบๆ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะยืนได้มั่นคงก็เห็นแสงสีเงินพุ่งมาตรงหน้า
ตามติดด้วยปลายแหลมของทวนจ่ออยู่ที่คอหอยของเขา เพียงอีกครึ่งเฟื้นก็จะทิ่มผ่านผิวหนังทะลุลำคอเอาชีวิตเขาได้แล้ว
พลังกฎบัญญัติค่อยๆ สงบลง
เมื่อหมอกควันจางหาย เหล่าลูกศิษย์มองไปยังเวทีประลองอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่เห็นก็คือ ฉากมู่ชิงเกอมือกำทวนหลิงหลงจ่อที่คอหอยเซียนสุ่ย
รอบบริเวณเงียบสนิท
ตอนจบนี้เหนือความคาดหมายไปมาก ที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอก็เกินจากการจินตนาการของพวกเขาไปมาก พวกที่ก่อนนั้นเคยคิดหวังว่าจะเล่นงานมู่ชิงเกอ เวลานี้ต่างพยายามลดการคงอยู่ของตนลง อยากเรียกคำพูดทั้งหมดกลับคืนมา
การต่อสู้ครั้งนี้สะท้านฟ้าสะเทือนดินปลุกเร้าใจผู้คนทั้งหมด
ใครจะกล้าพูดว่าใช้วิธีสกปรกอีก
เซียนสุ่ยยิ้มอย่างโล่งใจ หลุบตาลงบอกมู่ชิงเกอว่า “ข้าแพ้อีกแล้ว”
มู่ชิงเกอเก็บทวนหลิงหลงคืน เสียงกังวานชัดใสของทวนกลายเป็นปลอกนิ้วมือที่สวยงามสวมอยู่ที่นิ้วชี้ขวาของนาง
“ขอบคุณที่ออมมือ” มู่ชิงเกอพูด
เซียนสุ่ยสั่นศีรษะช้าๆ “ข้าไม่ได้ออมมือ ข้าทุ่มสุดแรงแล้ว ใช้แม้กระทั่งบัญญัติอาคมก้นหีบ แต่ก็ยังชนะเจ้าไม่ได้ เจ้าเหมาะที่จะเป็นสามน้อยฮ่วนเยวี่ยแล้ว”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เวลานี้ หากนางบอกว่า ความจริงข้าไม่ได้สนใจ สามน้อย สิบลูกศิษย์ใหญ่หน้าตำหนักอะไรนั่น เพื่อดำเนินแผนการในภายหลังข้าจึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็เกรงว่าจะทำให้คนนึกว่านางแกล้งเยาะเย้ย
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้วันนี้เป็นไปตามเป้าหมายนางแล้ว
สามารถตัดความคิดของเซียนสุ่ยลงและยังสามารถต่อสู้กับเขาอย่างยุติธรรมอย่างที่สัญญาเอาไว้ ทั้งเป็นการอุดปากคนทั้งหมด สกัดผู้คนที่คิดหวังจะเอาเปรียบนางในการท้าประลองต่อไป
ชนะแล้ว?
ชนะแล้ว?
การต่อสู้ของดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่เคยต้องใช้กรรมการ แพ้ชนะทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ
ครั้งนี้เหล่าลูกศิษย์ต่างยอมรับโดยดุษณี
ถงเถิงได้สติกลับมาจากความตะลึงโบกทั้งสองมือด้วยความตื่นเต้นแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ลูกพี่เก่งกล้า ลูกพี่เก่งกล้า”
“สามน้อย!”
“สามน้อย!”
“สามน้อย…ฮ่วนเยวี่ย! สามน้อย!”
สามน้อยฮ่วนเยวี่ย คำเรียกนี้มีให้สองคนที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง คนหนึ่งคืออดีต อีกคนคือปัจจุบัน เวลานี้ เหล่าลูกศิษย์ต่างพร้อมใจกันตะโกนเรียก ส่วนตะโกนเรียกใครนั้น ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ
หลีเฉาถอนใจพูดอย่างสะท้อนใจว่า “ทีนี้ คงไม่มีใครว่าอะไรอีกแล้ว”
“สามน้อยฮ่วนเยวี่ย สมดังชื่อ” จวงซานยิ้มพูดแล้วมองดูคนข้างๆ
ไม่ว่าใครต่างก็นึกไม่ถึงว่า มู่ชิงเกอใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยหมดจด ไม่เหลือภัยซ่อนเร้นแม้แต่นิดเดียว
อย่างไรก็ตาม วิธีที่นางใช้กลับทั้งเรียบง่ายและรุนแรง
นั่นคือใช้ความแข็งแกร่งตบหน้าคน
ในโลกที่บูชาความแข็งแกร่ง ไม่ว่าแผนการชั่วร้ายใดๆ แผนการยอดเยี่ยมเพียงไหนต่างเทียบไม่ได้กับการทำให้คนตกตะลึงจากการใช้ความแข็งแกร่งมาให้คำตอบแก่ผู้คน
วิธีการที่เรียบง่ายและรุนแรงนี้กลับสามารถทำให้สำเร็จได้ยากมากที่สุด
แต่มู่ชิงเกอก็ทำได้
นี่เป็นเพราะนางโชคดีหรือ มีเพียงคนที่เคยเห็นสิ่งที่นางทำตลอดมาเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่เพราะนางโชคดี แต่เป็นการแสดงความสามารถครั้งแรกจากการบากบั่นนับไม่ถ้วนก่อนหน้านั้น
ขณะที่นางเกิดใหม่จากหลินชวน นางก็ผ่านการทดสอบครั้งแรกแล้วค่อยๆ สะสมพลัง เดินไปทีละก้าว สุดท้ายแล้วนางก็มาถึงแผ่นดินที่ลึกลับแล้วเริ่มแสดงความสามารถที่ฝืนกฎแห่งฟ้าครั้งแรกออกมา
ความเร็วการบำเพ็ญที่ทำให้คนหวาดกลัวนั้นก็เพราะสิทธิ์แห่งเทพที่นางแย่งชิงมา เคล็ดวิชาเทวะที่นางบำเพ็ญและจิตใจที่แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนของนาง ไม่ใช่เพราะโชคช่วยเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่จบลง รอยแผลจาการต่อสู้ที่เหลืออยู่ในเวทีประลองบนยอดเขาได้ซ่อมแซมคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
มู่ชิงเกอเองไม่ได้สำเริงสำราญ ไม่ได้ไปเลี้ยงฉลองใหญ่โต เพียงแค่สังสรรค์เล็กๆ กับถงเถิง เฟิ่งซิ่ง และจวงซานแล้วก็เริ่มใช้ชีวิตในการเก็บตัวบำเพ็ญอีกครั้ง
จนกระทงหลังจากนั้นสามเดือน มู่ชิงเกอถูกเรียกจากวังราชาเทวะให้ออกจากเขาวังน้อย
เมื่อนางมาถึงวังราชาเทวะจึงพบว่านอกจากตัวเองแล้วทั้งใหญ่น้อยหลีเฉากับจวงซาน ยังมีเจ็ดน้อยซวนเฉียงก็ยืนรออยู่ที่ตำหนักด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ
เมื่อนางเดินเข้ามาจวงซานก็เผยรอยยิ้มออกมา
หลีเฉาก็ผงกศีรษะยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร ซวนเฉียงถึงแม้ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่มู่ชิงเกอรู้ว่าเพราะเกี่ยวกับวิชาบำเพ็ญของนางจึงไม่ได้ใส่ใจ
การที่เรียกพวกนางมาพร้อมกันทั้งสี่คนนั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในตำหนักวังราชาเทวะ ทั้งสี่ไม่ได้พูดคุยกัน มู่ชิงเกอมาเป็นคนสุดท้ายจึงไม่ทันได้ถามอะไร
หลังจากทั้งสี่คนมาครบ บัลลังก์ราชาเทวะ แสงสีทองวาบผ่านพอแสงสีทองกระจายไปก็ปรากฎเงาร่างราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยอาการเกียจคร้าน
“ราชาเทวะ”
ทั้งสี่คนพูดพร้อมกัน
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยยกนิ้วขึ้น พูดเรียบๆ ว่า “ที่เรียกพวกเจ้าสี่คนมา เพราะมีภารกิจจะให้พวกเจ้าไปทำ”
มีภารกิจ
สายตามู่ชิงเกอสงบนิ่ง
ที่เหลือสามคนก็ทำหน้าขรึม ไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายแม้แต่นิด
ใจมู่ชิงเกอตั้งความหวัง นี่เป็นภารกิจแรกตั้งแต่เข้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยมา อยู่ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยนานเพียงนี้แล้ว ได้เวลาออกไปเดินเล่นบ้างแล้ว
การที่จะให้ชื่อของสามน้อยฮ่วนเยวี่ยมู่ชิงเกอดังสนั่นไปทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรนั้นไม่ใช่หลบอยู่ในแดนฮ่วนเยวี่ยแล้วจะมีได้
“ที่เหวหนอนโบราณราวกับมีของวิเศษผุดออกมา มีการเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก ทำให้แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรสนใจ ครั้งนี้พวกเจ้าสี่คนต่างนำลูกศิษย์ไปได้หนึ่งคน ไปดูด้วยกัน หากของวิเศษไม่เลวก็นำกลับมา” นํ้าเสียงการมอบภารกิจของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยดูเกียจคร้านนัก ดูผ่อนคลายมาก
‘เหวหนอนโบราณ!’ มู่ชิงเกอใจเต้นรัว สถานที่นั้น
ไม่แปลกหน้าสำหรับนางเลย
อีกทั้ง ที่นั้นห่างจากแดนมารรกร้างไม่มาก…
ความคิดมู่ชิงเกอล่องลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งหลีเฉาเปิดปากนางจึงรีบดึงสติกลับคืนมา
“ราชาเทวะ แผ่นดินเทพเหนือล้วนอยู่ใกล้เหวหนอนโบราณมากกว่า พวกเราแผ่นดินเทพตะวันออก ทำไมจึงให้พวกเราไปเล่า” หลีเฉาถามข้อสงสัย
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว คิดในใจ ‘ถามได้ดี’
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพิงร่างบนบัลลังก์มือคํ้าศีรษะ ดวงตาคมเฉี่ยวหลุบตํ่า พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ก็เพราะพวกเขาอยู่ใกล้จึงได้มีความแค้นกับเหวหนอนมากมาย ครั้งนี้จึงไม่อาจสอดมือ ให้พวกเราไปเป็นตัวแทนแผ่นดินเทพ พวกเรากับเผ่าหนอนในเหวหนอนไม่มีปัญหากันมากนัก หลังจากเข้าไปแล้วจะได้ร่วมมือกันได้ง่ายหน่อย”
“ร่วมมือหรือ” จวงซานพูดอย่างประหลาดใจ
ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพยักหน้าช้าๆ “เป็นของอะไรผุดขึ้นมาเวลานี้ยังไม่รู้ เผ่าหนอนมีความสามารถจำกัดจึงเสนอให้ร่วมมือ การไปครั้งนี้พวกเจ้าจะไม่เพียงแค่เจอคนของเผ่าหนอนเท่านั้น แต่จะเจอคนของเผ่ามารด้วย ถือเป็นการฝึกปรือ รอจนพวกเจ้ากลับมา การ แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสี่ดินแดนเทพในแผ่นดินตะวันออกก็ใกล้จะเริ่มต้นพอดี”
“ขอรับ!”
ทั้งสี่คนรับคำพร้อมกัน
สั่งงานจบแล้ว ราชาเทวะก็จากไปอย่างสบาย
อารมณ์เหลือเพียงสี่คนในตำหนักที่มองหน้ากันไปมา
สักครู่หนึ่ง หลีเฉาจึงพูดว่า “ครั้งนี้ถึงขั้นจะเจอคนของเผ่ามาร ทุกคนต้องระนัดระวัง เผ่ามารกับพวกเราเผ่าเทพเป็นศัตรูกันมาตลอด ต้องระวังพวกเขาเล่นลอบกัด”
ซวนเฉียงกับจวนซานผงกศีรษะอย่างจริงจัง มู่ชิงเกอไม่ได้แสดงท่าทีใด
นางเพียงแต่คิดว่า ครั้งนี้หากเผ่ามารร่วมด้วย แล้วซือมั่วจะมาหรือไม่นะ
“เจ้าสาม เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” หลีเฉามองมู่ชิงเกอที่กำลังเหม่อ
มู่ชิงเกอได้สติจึงพูดอย่างนิ่งเฉยว่า “ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดว่าจะต้องเอาของวิเศษจากมือพวกเผ่ามารกับเผ่าหนอนกลับมาได้อย่างไร ยังมีอีก การแลกเปลี่ยนความรู้ของสี่ดินแดนเทพคืออะไรหรือ’’
“การแลกเปลี่ยนความรู้ของลี่ดินแดนเทพต่อไปค่อยคุย ที่สำคัญเวลานี้ก็คือภารกิจที่ราชาเทวะมอบหมาย” หลีเฉากล่าว
หยุดนิดหนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วว่า “อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ธรรมดา พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษ ในเมื่อราชาเทวะบอกว่าพวกเราสามารถนำหนึ่งคนไปด้วยได้ก็ให้ไปเตรียมตัวก่อน หลังจากเตรียมตัวแล้ว พวกเราไปรวมตัวกันที่ปากทางเข้าดินแดน”
“ได้”
ทั้งสามคนต่างผงกศีรษะรับคำ
มู่ชิงเกอกับจวงซานไปที่ถํ้าของถงเถิงกับเฟิ่งซิ่งด้วยกันในเมื่อให้พาคนไปด้วยพวกเขาย่อมต้องนำสองคนนี้ไป มู่ชิงเกอพาถงเถิงไปส่วนจวงซานพาเฟิ่งซิ่งไป
พอได้ยินว่าจะออกนอกแดนเพื่อปฏิบัติภารกิจ ถงเถิงก็ดีใจสุดแสน
จนพวกเขาเตรียมตัวเสร็จและไปถึงปากทางเข้าดินแดนก็พบว่าซวนเฉียงพาสวีปิงไป ส่วนหลี เฉาพาลูกศิษย์ที่พวกเขาไม่รู้จักไป หลีเฉาแนะนำว่าเขาชื่ออวี้ซี
เมื่อคนทั้งแปดมารวมตัวกันแล้ว หลีเฉานำเรืออากาศออกมาให้ทุกคนขึ้นเรือมุ่งหน้ามหาสมุทรดวงดาว…