ตอนที่ 612
ขอตบสักทีหนึ่ง
“เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร”
พอมู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องหน้าตัวเองกะทันหันกลับทำให้จี้หลุนตกใจขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งๆ ที่พวกเขาวางแผนกันไว้แล้วว่าจะสั่งสอนมู่ชิงเกอในการประลองครั้งนี้ เตะอีกฝ่ายออกจากการประลอง ความจริงแล้วขั้นพลังของเขาสูงกว่ามู่ชิงเกอ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ขณะที่มู่ชิงเกอย้ายตำแหน่งมาปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเขา เขากลับถูกความหวาดกลัวที่บอกไม่ถูกฉุดดึงเอาไว้
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างชั่วร้ายบอกเขาว่า “ประลองไงเล่า ไม่ใช่บอกว่าเริ่มแล้วหรือ”
จี้หลุนตะลึง มองไปรอบๆ ก็พบว่าการต่อสู้ตะลุมบอนสองร้อยคนได้เริ่มขึ้นแล้ว อีกทั้งเขายังพบว่าลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยเหล่านั้นกำลังบุกโจมตีแดนจั๋วอวี่ของพวกเขา
ไม่ไม่ไม่…ไม่เพียงเท่านั้น ลูกศิษย์แดนจงซานกับแดนเหว่ยอี้ต่างก็บุกโจมตีแดนจั๋วอวี่ด้วยเช่นกัน
บนเวทีใหญ่โตมหึมาแดนจั๋วอวี่ของพวกเขากลายเป็นฝ่ายเดียวที่ถูกบุกโจมตี
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน จี้หลุนตะลึงอีก ทันใดนั้น…
ข้างหูเขาก็เกิดเสียงดัง เพียะ ดังขึ้น แก้มเขาเกิดความรู้สึกร้อนผ่าว เจ็บจนสองตามีนํ้าตาเล็ดออกมา
จี้หลุนหันกลับมาจ้องมู่ชิงเกอทันที มือหนึ่งกุมใบหน้าที่ถูกตบจนบวม สองตาแทบจะพ่นไฟออกมาได้
ภายใต้การจ้องอย่างโกรธแค้นสุดแสน มู่ชิงเกอยักคิ้วหลิ่วตาพูดว่า “คู่ต่อสู้เจ้าคือข้า ใจลอยได้ อย่างไร”
“มารดาเจ้ารนหาที่ตาย!” จี๋หลุนโกรธจัด
ตั้งแต่เขาเข้าแดนจั๋วอวี่มาเคยโดนหมิ่นขนาดนี้มาก่อนที่ไหนกัน
ถูกตบหน้าอย่างแรงต่อหน้าธารกำนัล ต่อไปจะให้เขาอยู่ในแผ่นดินเทพตะวันออกต่อได้อย่างไร มันจะเป็นความอัปยศอดสูที่จะหลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิต วิธีเดียวที่จะล้างความอัปยศอดสูนี้คือจะต้องบดขยี้คนเบื้องหน้านี้ จับเขามาทรมานจนตาย
“หาที่ตายหรือ” มู่ชิงเกอหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ข้าไม่เคยหาที่ตาย มีแต่ส่งคนไปตาย”
พูดจบ นางก็สะบัดมืออย่างไม่ให้สัญญาณใดๆ พลังเทพตบลงบนใบหน้าอีกข้างที่จี้หลุนไม่ได้กุมเอาไว้
จี้หลุนถูกตบหน้าอีกทีหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว
แก้มอีกข้างบวมเป่งขึ้นมาในทันที แดงชํ้าไปทั้งแถบ
“เจ้า!” จี้หลุนสองมือกุมใบหน้า มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามู่ชิงเกอถึงขนาดกล้าตบเขาจริง
“ข้าจะฆ่าเจ้า…” เพลิงแค้นของจี้หลุนลุกท่วม อยากสับมู่ชิงเกอตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ
สองมือที่กุมใบหน้าวางลงจนเห็นใบหน้าที่บวมเป่งคล้ายหัวหมูทั้งสองด้าน “ตายเสียเถอะ!” เขาคำราม สองมืออัดพลังเทพจนเต็มพุ่งเข้าหามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอถอยหลังสองก้าว ท่าทางนิ่งสงบ ท่องคำหนึ่งออกมาเบาๆ ว่า “ผูกมัดมังกร!”
พอนางท่องจบ ที่ใต้เท้าจี้หลุนก็ปรากฏเถาวัลย์สีเขียวหลายเส้น เถาวัลย์นั้นไม่ใช่เถาวัลย์จริง แต่เกิดจากพลังกฎบัญญัติ พวกมันเลื้อยขึ้นด้านบนมัดสองขาของจี้หลุนไว้ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
อีกทั้งเถาวัลย์เหล่านั้นยังผุดหนามแหลมคมขึ้นมาทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนังของจี้หลุนทำให้ทั้งร่างกายเขาค่อยๆ แข็งเกร็ง เหลือเพียงศีรษะเท่านั้นที่สามารถขยับไปมาได้
“อ๊าก! เจ้าทำอะไรข้า” จี้หลุนตะคอกใส่มู่ชิงเกออย่างโกรธจัด
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสองมือไพล่หลังยิ้มว่า “ดูไม่ออกหรือว่าเป็นอาคม”
ผูกมัดมังกรของนางใช้ออกมาเพียงนิดเดียว ก็สามารถตรึงเท้าจี้หลุนให้อยู่กับที่ได้ ดังนั้น หากไม่มีใครสังเกตมาทางนี้ก็จะไม่มีทางรู้ว่าจี้หลุนถูกอาคมตรึงไว้แล้ว
“ตํ่าช้า! มีใครเขาใช้อาคมกันตั้งแต่เริ่มแรกบ้าง” จี้หลุนพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มู่ชิงเกอยิ้ม “ข้าอยู่บนเวทีประลอง ใช้อาคมอย่างเปิดเผยถูกเรียกว่าตํ่าช้าหรือ เจ้ายังมีหน้ามาใช้คำว่าต่ำช้ากับข้า มีใครกำหนดไม่ให้ใช้อาคมในการประลองหรือ”
ไม่ใช่ใช้ไม่ได้ แต่ทุกคนไม่ได้ใช้ตั้งแต่เริ่มต้น
อาคมสิ้นเปลืองปัญญาเทวะกับพลังเทพมากเกินไป นี่เป็นการต่อสู้ยืดเยื้อใครจะยอมสิ้นเปลืองตั้งแต่เริ่มต้นบ้าง
นี่ไม่ใช่รู้กันทุกคนหรือ นี่ไม่ใช่กติกาแฝงหรือ
ทำไมมู่ชิงเกอจึงไม่ทำตามแนวทางปฏิบัติที่ทำกัน แต่ตั้งใจกระทำสวนทาง
ใจจี้หลุนแค้นจนร้องไม่ออก เขารู้สึกว่าตัวเองในเวลานี้ช่างไม่ได้รับความเป็นธรรมเอาเสียเลย “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ทำอะไรหรือ” มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้น “ย่อมส่งเจ้าลงจากเวทีประลอง” เพียงแต่นางไม่อยากให้เขาไปง่ายเกินไปเท่านั้น
“นี่เป็นการลอบโจมตี! เป็นการลอบทำร้าย!” จี้หลุนพูดอย่างร้อนรน
มู่ชิงเกอผงกศีรษะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “เช่นกันๆ กระบวนท่าของข้านี้ได้ศึกษามาจากแดนจั๋วอวี่ วันนี้จึงได้ใช้ออกมาขอให้พี่จี้หลุนชี้แนะด้วย”
จี้หลุนถูกยั่วจนหน้ามืดตาลาย เขาไม่นึกเลยว่ามู่ชิงเกอจะปากคอเราะรายถึงเพียงนี้
ส่วนมู่ชิงเกอเวลานี้กลับยิ้มกว้าง สองมือยื่นจากด้านหลัง บิดข้อมือ กะพริบตา บอกจี้หลุนว่า “พี่จี้หลุน เช่นนั้นข้าจะเริ่มแล้วนะ หากตรงไหนทำไม่ถูก ท่านจะต้องบอกมานะ ช่วยชี้แนะข้าด้วย”
ท่าทางนั้นน่าแค้นใจจนต้องกัดกรามกรอด
จี้หลุนจ้องมองมู่ชิงเกออย่างโกรธแค้น อยากจะขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบว่าคนแดนจั๋วอวี่ล้วนถูกคนอีกสามแดนพัวพันอยู่
เยี่ยนเฉวียนที่เขาหวังพึ่งพามากที่สุดเวลานี้ก็ถูกหลีเฉายื้อเอาไว้สุดแรง พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ การจะให้คนมาช่วยเขานั้น เป็นไปไม่ได้เลย
‘น่าโมโหนัก!’ จี้หลุนคำรามอย่างโกรธแค้นในใจ
ความจริงแล้วเขาไม่ควรยํ่าแย่ถึงเพียงนี้ แต่ว่าหนามแหลมบนเถาวัลย์ไม่รู้ว่ามีพิษอะไรทำให้แขนขาร่างกายต่างแข็งเกร็งไปหมด ทั้งพลังเทพและปัญญาเทวะในร่างกายก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ร่างกายหนักราวกับถ่วงด้วยตะกั่ว ขยับเพียงนิดเดียวก็เหนื่อยจนหมดเรี่ยวหมดแรง
มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจดวงตาจี้หลุนที่โกรธแค้นจนแทบจะพ่นไฟออกมา แน่นอนว่าไม่ได้สนใจสองแก้มที่บวมเป่งจนเหมือนหัวหมูนนด้วย
นางยกมือขึ้น รวบรวมพลังเทพไว้ที่มือ
จี้หลุนเห็นพลังเทพในมือนางก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวขึ้นมา
“ข้าเริ่มแล้วนะ” มู่ชิงเกอขยิบตาเผยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา
พูดจบนางก็ใช้มือทั้งซ้ายและขวาสะบัดไปที่ใบหน้าจี้หลุนไม่หยุด รอยฝ่ามือจากปัญญาเทวะตวัดลงที่ใบหน้าเขาไม่หยุด เพียงครู่เดียวก็ตีจนเลือดซึมออกมาจากทุกรูขุมขน หัวเดียวบวมจนกลายเป็นขนาดสองหัว
“เจ้า…ย่าได้โอหังเกินไป…ออกจากจงซาน…เจ้าจะต้องตายหยังอนาถ…” หัวจี้หลุนบวมอย่างหนัก พูดจา เลอะเทอะฟังไม่รู้เรื่อง
แต่มู่ชิงเกอยังพอฟังความหมายของเขาออก
เขาบอกว่า ‘เจ้าอย่าได้โอหังเกินไป ออกจากแดนจงซานแล้ว เจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ’ คำขู่ที่ไร้น้ำหนักนี้มู่ชิงเกอเพียงยิ้มเยาะ มือก็ไม่ได้หยุดแต่อย่างใด
เวทีประลองที่ใหญ่โตนั้นต่อสู้กันชุลมุน ต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูกัน
สองร้อยคนต่อสู้กันชุลมุน ชมดูจนตาลายไปหมด ไม่รู้ควรจะดูใครดี คงมีเพียงจุดเดียวที่ตีกันอย่างแปลกใหม่เหนือธรรมดา
ผู้คนเห็นเพียงคนหนึ่งยืนอยู่กับที่ให้อีกคนหนึ่งตบหน้า แม้ถูกตบจนกลายเป็นหัวหมูก็ยังไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว ทั้งไม่ได้เอาคืนแม้สักครั้ง
ซือมั่วที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในฝูงชน ตั้งแต่เริ่มต้นก็เห็นถึงจุดนี้แล้ว สองตาเขาจ้องมู่ชิงเกออยู่ตลอดเวลาจะพลาดการเคลื่อนไหวของนางได้อย่างไร
วิธีการที่นางกระทำต่อจี้หลุนทำให้มุมปากซือมั่วยกขึ้นสูง
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่นึกสนุกขึ้นมานั้นก็เป็นที่ชื่นชอบของเขามาก
ในเวลานี้ คนที่สนใจมู่ชิงเกอยังมีอีกหนึ่งคน นั่นก็คือราชาเทวะจงซานที่นั่งอยู่บนดอกบัวหิมะ เขามองเห็นมู่ชิงเกอจัดการจี้หลุน นัยน์ตาสีฟ้าก็ผุดความรู้สึกสนุกสนานขึ้น
“เจ้า… พารือยาง…” จี้หลุนโดนตบจนมองไม่เห็นเครื่องหน้าอีก เขาพูดด้วยลมหายใจอ่อนแรง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “ใกล้แล้วล่ะ พักนี้ข้ายังฝึกวรยุทธ์เพลงมวยชุดหนึ่ง ขอให้พี่จี้หลุนช่วยชี้แนะด้วย”
ตามด้วย นางทั้งเตะทั้งต่อยบนตัวจี้หลุน คล้ายเห็นจี้หลุนเป็นกระสอบทรายมาฝึกซ้อม ทุกหมัดถึงเนื้อ ฝังเข้ากระดูก
จี้หลุนถูกต่อยตีจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีก เนื้อหนังที่บำเพ็ญไว้ไม่สามารถทัดทานกำลังหมัดของมู่ชิงเกอได้ ที่น่ากลัวที่สุดคือ เวลานี้เขายังไม่รู้ว่า ทุกหมัดของมู่ชิงเกอได้ส่งผ่านพลังเทพเข้าไปในร่างเขาทีละนิดๆ หากพลังเทพของมู่ชิงเกอระเบิดแล้วจะรุนแรงสักแค่ไหนกัน
พลังเทพที่เล็กดังเส้นผมเมื่อเข้าไปในร่างจี้หลนแล้วก็จะค่อยๆ ทำลายขั้นพลังของจี้หลุนอย่างลับๆ จากนั้นก็จะฝังตัวเงียบเชียบรอคอยโอกาสที่จะระเบิดออก
“หมัดสุดท้าย” มู่ชิงเกอเบี่ยงตัวเตะข้างออกไป
นางร้องว่าหมัด จี้หลุนจึงหลับตากัดฟันคิดจะต้านไว้
แต่กลับไม่ได้ดูว่ามู่ชิงเกอออกท่าเท้า เท้านั้นเตะเข้าที่ท้องน้อยของเขา ความเจ็บทะลวงจากท้องน้อยขึ้นมายังหน้าอก
ในเวลาเดียวกัน เถาวัลย์ที่มัดขาเขาไว้ก็มุดกลับไปที่ใต้พื้นในพริบตาตามมาด้วยเสียงร้องที่เจ็บปวด ร่างกายจี้หลุนลอยออกไปจากเวทีประลองตกกระแทกไปบนพื้นหิมะ
“อ๊าก! ไอ้โกหก! เจ้าบอกว่าออกหมัดนี่!” จี้หลุนนอนอยู่ที่พื้น ความแข็งเกร็งของร่างกายยังไม่ฟื้นคืน ทำได้เพียงยกศีรษะด่าไปทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนเวทีประลองใช้นิ้วดีดเสื้อตัวเองเบาๆ แหงนหน้าหัวเราะอย่างรื่นรมย์ “ข้าพูดแล้วเจ้าก็เชื่อหรือ”
“เจ้า…ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” จี้หลุนพูดอย่างเจ็บแค้นแล้วก็สลบไป
จัดการจี้หลุนแล้วมู่ชิงเกอก็รีบมองไปทางคนอื่นบนเวทีประลอง เวลานี้มีคนไม่น้อยถูกโยนลงจากเวทีประลอง ถูกคัดออกจากการประลอง
แต่คนของแดนจั๋วอวี่ ยังคงมีไม่น้อย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วใช้ผูกมัดมังกรอีกครั้ง
เพียงแต่การใช้ผูกมัดมังกรครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ใช้กับจี้หลุน ผูกมัดมังกรครั้งนี้ไม่ได้ล่องหน มันพุ่งออกจากเวทีประลองโดยตรง เมื่อปะทะเข้ากับลมแล้วก็เติบโตขึ้นกลายเป็นเถาวัลย์เส้นยาวพันขาหรือเอวของลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่แล้วโยนพวกเขาออกไป
พวกลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่เหล่านั้นกำลังต่อสู้ติดพันโดนโยนออกไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว กระทั่งยืนอยู่ด้านล่างเวทีประลองแล้วจึงค่อยรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
บนเวทีใหญ่โตมหึมานั้น พลังอาคมสีเขียวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
เถาวัลย์ที่เป็นภาพลวงตาผุดขึ้นราวกับอสรพิษที่เริงระบำอยู่บนเวที
เพียงกระบวนท่าเดียวก็คัดออกไปสิบกว่าคน ขณะที่มู่ชิงเกอคิดจะทำต่ออีก เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น “ห้าสิบคนครบแล้ว เข้าสู่ช่วงที่สอง”
แววตามู่ชิงเกอเป็นประกาย เรียกคืนพลังอาคมไม้ทันที
เวทีประลองใหญ่โตมหึมากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ผู้คนที่ต่อสู้กันต่างก็หยุดลง แยกออกจากกันชั่วคราว เวลานี้บนเวทีประลองลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ เหลือเพียงไม่ถึงห้าสิบคนแล้ว
แต่จำนวนคนเหล่านี้ ยังคงมีมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์สี่แดนเทพ
ดังนั้น การแย่งชิงจำนวนจำกัดเพียงร้อยคนนั้น ยังคงต้องถูกคัดออกอีก
เยี่ยนเฉวียนรับความรู้สึกพลังอาคมที่กระจายหายไปในเวทีประลองก็หรี่ตาลง ดวงตาเปล่งประกายเย็นเฉียบ พูดเสียงเครียดว่า “กฎบัญญัติ”
“พลังกฎบัญญัติ ใช้ได้เลยนี้ พอเริ่มต้นก็ใช้คาถาอาคมทันทีเลย”
“ดีเหมือนกัน จะได้จบไวๆ ไม่ต้องเสียเวลาพวกเรา”
แดนจั๋วอวี่ครั้งนี้ทำให้ทุกคนโกรธแค้น เห็นหรือไม่ แค่ในช่วงแรกลูกศิษย์ทั้งสามแดนก็ร่วมกันจัดการคนแดนจั๋วอวี่แล้ว”
“ฮึ” ผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ได้ยินคนวิจารณ์รอบด้านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา แววตาของเขาเองก็เย็นเฉียบลงเช่นกัน
แดนจั๋วอวี่ถูกลูกศิษย์สามแดนเทพกลุ้มรุมรังแก พวกเขาเคยโดนรังแกเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน
เพียงแต่ บนเวทีเวลานี้ คนที่เหลือมากที่สุดยังคงเป็นลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ ในจุดนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่ออกอาการภาคภูมิและหยิ่งทะนง
คำวิจารณ์ที่เขาไม่อยากได้ยินก็ถือเสียว่าเป็นพวกขี้อิจฉาริษยาแดนจั๋วอวี่แล้วกัน
คิดเช่นนี้แล้ว หลังของผู้อาวุโสแดนจั๋วอวี่คนนั้นก็ยืดตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าสาม ทำได้ไม่เลว” ห้าน้อยแดนฮ่วนเยวี่ยเบียดตัวไปที่ด้านข้างมู่ชิงเกอแล้วพูดกับเขา
มู่ชิงเกอมองไปยังเขาก็เห็นใบหน้าตื่นเต้นยินดีของเขา
หลีเฉาที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอก็กระซิบว่า “คนแดนจั๋วอวี่คงถูกยั่วจนโกรธจัดแล้ว ต่อแต่นี้ต้องระวังให้มาก”
“อืม”
คำกำชับของเขา คนแดนฮ่วนเยวี่ยต่างคิดเช่นเดียวกันจึงพากันผงกศีรษะ
การประลองช่วงที่สองเป็นการประลองเฉพาะบุคคล เพียงชนะได้สิบครั้งก็สามารถได้อันดับในการอาบแสงแห่งวิถี เป็นการประลองความเร็ว ใครชนะติดต่อกันได้สิบครั้งก็ได้ติดอันดับ หากครบร้อยคนแล้ว ต่อให้ชนะติดกันสิบครั้งก็ไม่มีคุณสมบัติได้อาบแสงแห่งวิถี
“ครั้งนี้ทุกคนต้องใช้ความเร็วเอาชนะเพื่อรับประกันอันดับตัวเอง” หลีเฉากำชับเหล่าลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ย
คำพูดเดียวกันนี้ต่างถูกถ่ายทอดไปในกลุ่มแดนเหว่ยอี้และแดนจงซาน
ทางกลุ่มแดนจั๋วอวี่ ลูกศิษย์ที่เหลือของแดนจั๋วอวี่ยืนล้อมรอบเยี่ยนเฉวียนจ้องมองคนอีกสามแดนเทพด้วยสายตาปองร้าย ใบหน้ามีแต่ไอสังหาร
เยี่ยนเฉวียนจับจ้องมู่ชิงเกออย่างเอาเป็นเอาตายยกกระบี่ในมือสูงขึ้น เขาชี้ไปทางมู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นเยือกว่า “เจ้าถึงขนาดใช้อาคมเชียวรึ”
มู่ชิงเกอยิ้มถามกลับว่า “ทำไม มีกติกาไม่อนุญาตหรือ พวกเจ้าไม่กล้าใช้อาคม เพราะกลัวจะสิ้นเปลืองพลังเทพกับปัญญาเทวะ แต่ไม่ได้หมายความว่า ข้าจะไม่กล้าใช้สักหน่อยนี่”