ตอนที่ 613
ศึกอาคม
“ทำไม มีกติกาไม่อนุญาตหรือ พวกเจ้าไม่กล้าใช้อาคม เพราะกลัวจะสิ้นเปลืองพลังเทพกับ ปัญญาเทวะ แต่ไม่ได้หมายความว่าช้าจะไม่กล้าใช้สักหน่อยนี่” มู่ชิงเกอพูดยิ้มเยาะ
สีหน้าเยี่ยนเฉวียนบึ้งตึงน่าเกลียด กระบี่ยาวที่ชี้ไปยังมู่ชิงเกอปรากฎประกายเย็นวาบแหลมคม
แต่คำพูดของมู่ชิงเกอกลับตอบโต้จนเขาพูดอะไรไม่ออก
ใช่แล้ว กติกาไม่เคยบอกว่าไม่สามารถใช้อาคมได้ทันทีที่เริ่ม เพียงแต่ในหลายปีมานี้เพื่อจะได้ยืนหยัดในการประลองได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อช่วงเริ่มต้นก็ไม่มีใครใช้คาถาอาคม เพราะเกรงว่าจะสิ้นเปลืองพลังในช่วงแรกมากเกินไปทำให้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่สำคัญ
พอนานวันเข้า ความเคยชินนี้ก็กลายเป็น กติกาแฝง ทุกคนต่างก็ทำเช่นนี้
ใครจะนึกว่า การถกวิถีครั้งนี้จะมีมู่ชิงเกอปรากฎออกมา
ไม่เคยรักษากติกามารยาท ทำทุกอย่างตามแต่ใจ
เยี่ยนเฉวียนยิ้มเยาะ เขาเหน็บแนมว่า “เจ้านึกว่าตัวเองฉลาดเฉลียวนักหรือ”
แววตาที่เหน็บแนม อย่างยิ่งนั้นราวกับหัวเราะเยาะมู่ชิงเกอว่าการได้ใจในตอนนี้สุดท้ายแล้วจะทำให้เขาต้องพ่ายแพ้หมดรูป
แต่…
การเหน็บแนมมู่ชิงเกอไม่ได้ทำให้เยี่ยนเฉวียนมีความสุขแต่อย่างใด
สายตาเขาลึกล้ำจ้องมองมู่ชิงเกออย่างจริงจัง เนื่องจากหากมู่ชิงเกอยังคงใช้อาคม พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องใช้อาคมในการต่อต้าน ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาสูญเสียพลังเทพและปัญญาเทวะอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลานั้นแล้วแพ้หรือชนะก็จะคาดเดาได้ยากขึ้น
คิดดังนั้นแล้ว แววตาเยี่ยนเฉวียนก็เริ่มสั่นไหว
เพียงครู่เดียว เขาก็เปิดปากยิ้มเยาะว่า “อย่าว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ การรีบใช้อาคมจะทำให้เจ้าไปไม่รอดในการประลอง ยังไม่ทันจะชนะสามครั้ง ทั้งพลังเทพและปัญญาเทวะของเจ้าจะสูญสิ้น ต้องถอนตัวออกจากการประลอง เจ้าหวังเพียงความสะใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่พ่ายแพ้การประลองสมควรแล้วหรือ”
“ต้องขอบคุณใหญ่น้อยเยี่ยนเฉวียนที่ตักเตือน” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอแฝงด้วยความหมายที่เข้าใจยาก
จวงซานเข้ามาใกล้มู่ชิงเกอแล้วกระซิบข้างหูนาง “ถึงแม้เยี่ยนเฉวียนจะไม่ใช่คนดีอะไร คำพูดนี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาพูดเรื่องจริง”
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ
“อาคมสิ้นเปลืองมากเกินไป นี่เป็นการต่อสู้ระยะยาว จะแข็งแกร่งเพียงระยะสั้นไม่ได้ “ หลีเฉาก็กระซิบเตือน
พวกเขาสองคน ย่อมหวังดีต่อมู่ชิงเกอ
ส่วนเยี่ยนเฉวียนนั้นไม่เหมือนกัน ที่เขาพูดเช่นนี้เพราะไม่อยากให้นางใช้อาคมจนต้องบีบให้เขาต้องใช้อาคมรับมือ
“ข้าจะจัดการตามสมควร” มู่ชิงเกอกระซิบตอบสองคน
พูดจบ นางก็มองไปทางเยี่ยนเฉวียน
สายตาที่ลึกลํ้าของเขาดูดีขึ้นเนื่องจากคำตอบของมู่ชิงเกอ เขายิ้มออกมาบอกมู่ชิงเกอว่า “เช่นนี้ถูกแล้ว ทุกคนทำตามกติกา ดีสำหรับทุกฝ่าย”
มู่ชิงเกอยิ้มไม่ได้พูดอะไร
พอพวกเขาพูดจบ ผู้ดูแลแดนจงซานไม่น้อยต่างปรากฎตัวขึ้นล้อมรอบเวทีมหึมานั้นไว้
มือของพวกเขาต่างถือแผ่นหยก ดูท่าทางจะเป็นคนรับผิดชอบบันทึกผลชนะติดกันสิบครั้งของทุกคน
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว บรรยากาศบนเวทีประลองก็ดูแปลกประหลาดขึ้นมา
เดิมที คนทั้งสามแดนเทพร่วมกันจัดการแดนจั๋วอวี่
แต่เวลานี้กลายเป็นการต่อสู้เดี่ยวๆ ใครชนะติดกันสิบครั้งก็เข้ารอบ ได้ติดอันดับได้อาบแสงแห่งวิถี คนทั้งสามแดนเทพต่างแยกตัวออกไปเอง ต่างคนต่างระวังตัว
พอเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เยี่ยนเฉวียนก็ยิ้มเยาะในใจ อาการเยาะเย้ยในแววตายิ่งเห็นชัดมากขึ้น
ราวกับเขาเยาะเย้ยต่อเหล่าคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว ต่อความร่วมมือที่เปราะบางของสามแดนเทพ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ก่อนหน้านี้สามแดนเทพไม่เคยตกลงกันเรื่องที่จะร่วมกันจัดการแดนจั๋วอวี่
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากการทุจริตและการลอบทำร้ายของพวกเขาที่ทำให้ทุกคนโกรธแค้น คนทั้งสามแดนเทพ จึงได้ร่วมมือกันตามสัญชาตญาณ
ต่อให้เปลี่ยนเป็นการต่อสู้เดี่ยวๆ คนสามแดนเทพเมื่อประมือกับแดนจั๋วอวี่ก็ย่อมไม่ปรานีปราศรัย ต้องลงมืออย่างรุนแรงแน่นอน
บนเวทีประลอง คนทั้งสี่แดนเทพต่างระมัดระวังตัว ไม่มีใครลงมือคนแรก
การหยั่งเชิงกันเช่นนี้ทำให้ผู้ชมรอบนอกเริ่มหมดความอดทน
“ทำไมยังไม่เริ่มอีก”
“รีบเริ่มเลย อย่าเสียเวลา”
“ถูกแล้ว หากไม่กล้าต่อสู้ก็ลงจากเวทีไป ยืนบนเวทีแล้วไม่ต่อสู้จะอยู่ทำไม”
เสียงวิจารณ์รอบทิศทำให้เหล่าลูกศิษย์บนเวทีประลองจำนวนไม่น้อยอดรนทนไม่ไหว
ลำพังแค่สู้กับคนบนเวทีประลองก็รู้สึกตึงเครียดมากแล้ว เวลานี้ยังต้องประสบกับเสียงวิจารณ์เหล่านี้อีก ยิ่งรู้สึกว่าถูกรบกวนจิตใจอย่างมาก
พวกเขาเหลียวซ้ายแลขวา แอบสำรวจว่าใครจะลงมือก่อนและใครที่น่าจะเอาชนะได้ง่าย
ซือมั่วยืนอยู่ในฝูงชน ไม่ได้แสดงอาการใดๆ เขาเพียงมองไปทางมู่ชิงเกอ เรื่องอื่นๆ นั้นล้วนไม่เกี่ยวกับเขา
ราชาเทวะจงซานที่นั่งอยู่บนบัวนํ้าแข็งยังคงแสดงอาการเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เพียงมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก หรี่ตาดูบนเวทีประลอง ไม่เร่งรัดให้พวกเขาเริ่ม และไม่ห้ามเสียงวิจารณ์จากรอบทิศ
“การประลองเดี่ยว พวกเราต้องพยายามกันเองแล้ว” สายตาหลีเฉากวาดผ่านทุกคน กระซิบกำชับไว้
“ฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้นค่อนข้างวางตัวลำบาก หากพวกเราอยากชนะย่อมต้องไปหาคนที่ด้อยกว่าพวกเรา เมื่อชนะแล้วก็ต้องถูกคนนินทา หากรอหมูมาชนปังตอเอง ใครจะโง่เง่าพาตนเองขึ้นมาถูกทารุณเช่นนั้นเล่า แต่หากหาคนแข็งแกร่งพอกันก็จะใช้เวลามาก ความหวังที่จะชนะรวดเดียวสิบครั้งจะลดลง ทั้งยังมีเรื่องความเร็วอีกด้วย” สี่น้อยกระซิบ
“ไม่มีทางเสือก หากยันกันเช่นนี้ต่อไปก็จะเป็นผลเสียต่อพวกเรา อย่างไรก็ตามไม่ว่าพบคู่ต่อสู้คนไหนต้องรีบให้การต่อสู้ให้ไว สำคัญที่สุดคือต้องเข้ารอบ” หลีเฉากล่าว
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ สายตาเย็นเฉียบมองดูลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ “เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว ใช้อาคมลงมือทีเผลอ เพียงแค่เข้ารอบร้อยอันดับแรกก็พอแล้ว”
คำพูดของนางทำให้ดวงตาอีกเก้าคนเปล่งประกายเห็นด้วย
“การประลองครั้งก่อน ทุกคนห่วงเพียงว่าต้องต่อสู้ยาวนาน กังวลเรื่องสิ้นเปลืองพลังแต่ไม่เคยทดลองวิธีเด็ดขาดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าหากใช้ตามวิธีเจ้าสามพวกเราอาจมีโอกาสชนะสูง” หลีเฉาพูด
ซวนเฉียงกลับขมวดคิ้วออกจะลังเล “แต่ว่า หากพวกเราใช้อาคมแล้วคนอื่นรู้ทันและใช้อาคมเหมือนกัน เช่นนั้นมิกลับมาอยู่ที่เดิม สูญเสียมากเกินไปอันตรายมากขึ้นหรือ”
คำพูดของนางก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
ทั้งสองอย่างต่างมีความเสี่ยง จะต่อสู้อย่างไรทุกคนเกิดความลังเลขึ้นมาอีก
มู่ชิงเกอนิ่งอยู่สักครู่ เม้มปากว่า “ก็ต้องดูว่าใครจะกล้าเสี่ยง พวกเจ้าอย่าลืมว่าสี่คนแรกที่เข้ารอบ จึงจะมีโอกาสแย่งชิงสามอันดับแรก”
สายตาคนทั้งหมดนิ่งไป
ถูกต้อง พวกเขาเกือบลืมเรื่องนี้ไป
ถึงแม้ร้อยคนแรกต่างมีคุณสมบัติได้อาบแสงแห่งวิถี แต่มีเพียงสามคนแรกเท่านั้นจึงจะได้อาบถึงสิบวัน
แววตาหลีเฉาเปลี่ยนแปลงไม่นิ่ง ราวกับพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
“ย๊าก…”
เวลานี้ ยังไม่ทันรอให้พวกเขาพิจารณาจบ ลูกศิษย์แดนเหว่ยอี้คนหนึ่งก็ยกอาวุธขึ้นมาฟันไปที่ลูกศิษย์แดนจงซานที่อยู่ข้างๆ
ในที่สุดก็มีคนทำลายสถานการณ์ที่ตรึงกันอยู่ บนเวทีประลองต่างเคลื่อนไหวขึ้นมา
ลูกศิษย์สี่แดนเทพ ต่างต่อสู้กันจนชุลมุนไปหมด
“ทุกคนตัดสินใจเองแล้วกัน” หลีเฉาพูดแล้วก็พุ่งไปยังลูกศิษย์ตำหนักหน้าแดนเหว่ยอี้ที่มุ่งมาที่เขา
มู่ชิงเกอก้าวเท้าขวาไปด้านหลัง มือขวายกขึ้น ห้านิ้วกุมไว้ สายรัศมีเงินทองปรากฎในมือนาง พอรัศมีกระจายไป ทวนหลิงหลงก็ถูกนางกุมไว้ในมือ
นางมองไปทางลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่พุ่งมาทางขวามือ ลูกศิษย์คนนั้นหน้าตาเหี้ยมเกรียม แววตาโหดร้ายราวกับไม่ได้มาประลองแต่มาเพื่อสังหาร
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ พลังอาคมไม้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง เถาวัลย์ที่เป็นภาพลวงตาผุดออกมาอีก ผูกมัดลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่พุ่งมายังตัวนาง
ขณะที่เขาชะงักสีหน้าตื่นตกใจ มู่ชิงเกอเข้ามาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว ปลายทวนหลิงหลง เกี่ยวไปที่คอเสื้อเขา แล้วโยนเขาออกไป
เถาวัลย์ลวงตาหดถอย คนคนนั้นถูกมู่ชิงเกอใช้ทวนโยนออกไป กระเด็นออกไปนอกเวทีประลอง
การเปลี่ยนแปลงนี้เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ว่องไวจนเขาไม่ทันได้ตอบโต้อะไรก็ถูกคัดออกแล้ว
มู่ชิงเกอชนะแล้วหนึ่งครั้ง
เยี่ยนเฉวียนตีคนหนึ่งถอยไปแล้วหันมองมู่ชิงเกอ รู้สึกได้ถึงพลังอาคมรอบตัวนาง สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง ตาดำหดลงแล้วพูดอย่างเคืองแค้นว่า “เจ้ายังใช้อาคมนี่”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วจ้องตาเขา พูดอย่างผู้บริสุทธิ์ว่า “ทำไม่ได้หรือ”
นางไม่รอคำตอบเยี่ยนเฉวียน แต่ใช้อาคมไม้ ผูกมัดลูกศิษย์จั๋วอวี่ห้าคนที่กำลังต่อสู้กับคนอื่นบนเวทีส่งขึ้นไปกลางอากาศ
ห้าคนนั้นถูกมัดรวมกันอย่างไม่ทันรู้เรื่องรู้ราว ทันเพียงก้มดูเถาวัลย์ลวงตาที่พันเอวไว้ แล้วก็รู้สึกว่าทั้งตัวลอยหวืออยู่กลางอากาศ
เบื้องหน้าพวกเขามีแสงสีแดงแวบผ่าน ตามด้วยความรู้สึกที่ว่าพวกเขาลอยออกไปตกไปอยู่นอกเวทีประลอง
การโจมตีนี้ทำให้มู่ชิงเกอชนะติดกันอีกห้าครั้ง รวมกับครั้งก่อนก็ชนะไปแล้วหกครั้ง เพียงชนะเพิ่มอีกสี่ครั้ง นางก็สามารถเลื่อนชั้นรักษาอันดับร้อยคนได้แล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือความเร็วสูงสุดเวลานี้ เพียงต้องเอาชนะอีกสี่ครั้งเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การที่นางจะอยู่สี่อันดับแรกเพื่อชิงสามอันดับแรก ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน
การที่มู่ชิงเกอไม่ทำตามวิธีเดิมๆ แต่ได้ผลลัพธ์ดียิ่งทำให้ทุกคนต่างเกิดลังเล
ไม่ใช่แค่อาคมหรือ
คนที่ยืนบนเวที มีใครไม่เป็นบ้าง
ทันใดนั้นที่มุมหนึ่งของเวทีประลองก็เกิดแสงอาคมวาบขึ้นพร้อมกับเสียงร้องสองครั้ง ทุกคนมองไป ก็เห็นคนสองคนบินออกจากเวทีประลอง
ภาพที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้คนที่กำลังตกตะลึงต่างได้สติขึ้นมา
พริบตานั้นไม่มีใครห่วงเรื่องสิ้นเปลืองไม่สิ้นเปลืองอีกแล้ว
คนทั้งหมดต่างเริ่มเรียกพลังอาคม ใช้อาคมที่ถนัดของตัวเอง
ทันใดนั้น บนเวทีประลอง รัศมีอาคมต่างๆ ก็สาดแสงระยิบระยับ คนบนเวทีประลองต่างทิ้งการต่อสู้ประชิดตัว แต่ใช้วิธีรวดเร็วและได้ผลแทน
เพราะอย่างไรในเวลานี้ อาคมใครร้ายกาจกว่า ใครเร็วกว่าก็สามารถเอาชนะได้โดยง่ายดาย
ปัง!
“อ๊าก…”
ปัง ปัง!
ลูกศิษย์ที่เชื่องช้า ตอบสนองช้าต่างถูกโยนลงจากเวทีไป เหล่าผู้ชมทั้งหลายชมดูกันจนตกตะลึง พวกเขายังไม่เคยเห็นการประลองที่ถูกคัดออกอย่างรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน…