Skip to content

พลิกปฐพี 62

ตอนที่ 62

คุณชายผู้หยิ่งยโส

หลังจากได้รับคำเชิญของฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็รู้สึกสงสัยมาตลอดว่าล่าสัตว์กับชมดอกไม้มันเกี่ยวข้องอย่างไรต่อกัน

เมื่อถึงวันนัดหมาย หลังจากที่นางพาเจ้าอ้วนเช่าและป๋ายซีเยวี่ยตามฉินอี้เหยาเดินเข้าไปยังเขตบริเวณเขตล่าสัตว์หลวงแล้ว จึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดทั้งสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยถึงสามารถนำมารวมด้วยกันได้

ที่แท้ในสนามล่าสัตว์ของพวกเชื้อพระวงศ์มีพระราชวังตากอากาศที่ไว้ประทับยามที่ฮ่องเต้เสด็จประพาสอยู่ด้วย

เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่บุปผานานาพรรณในพระราชวังตากอากาศกำลังบานสะพรั่งแข่งกันประชันความงดงาม

ในทุกปี แคว้นฉินจะมีการจัดงานล่าสัตว์ชมไม้ สาวใหญ่น้อยที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งที่ได้รับคำเชิญจะอยู่ในพระราชวังตากอากาศชมบุปผาอยู่ในบริเวณวัง ส่วน บรรดาเชื้อพระวงศ์และทายาทตระกูลต่างๆ ก็จะแข่งขันกันล่าสัตว์ในสนาม

ตระกูลมู่ไม่มีชายหนุ่มมาเป็นเวลานานแล้ว

หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็คือมู่เหลียนหรงคุณหนูใหญ่ของจวนหย่งหนิงกง

แต่นางดูห้าวหาญเพียงนั้น จะมาเข้าร่วมชมดอกไม้ไร้สาระแบบนี้ได้อย่างไรกัน หรือให้มาฟังเรื่องซุบซิบของตระกูลอื่นๆ งั้นหรือ?

และผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ซึ่งก็คือมู่ชิงเกอก็กลับเป็นชายหนุ่มเสเพล ไม่สามารถฝึกเวทพลังได้ หากให้มาแข่งขันล่าสัตว์แบบนี้ สำหรับนางแล้วมันคือ การทำให้ตนเองอับอายขายขี้หน้าเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นในทุกๆ ปีที่ผ่านมาจึงไม่มีใครเชิญนาง และนางเองก็ไม่เคยมาร่วมงานนี้

ในตอนแรกกิจกรรมล่าสัตว์ชมไม้ในครั้งนี้มีเจียงกุ้ยเฟย สนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุดในตอนนี้เป็นผู้ควบคุมดูแล แต่เป็นเพราะเรื่องของฉินจิ่นห้าวภายหลังจึงเปลี่ยนให้ฮองเฮาผู้ดูแลวังหลังมาเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน ในขณะเดียวกันผู้นำในการล่าสัตว์ก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบันฉินจิ่นชิว

มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าเจียงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังต้องเสียผ้าเช็ดหน้าไปกี่ผืน เพราะหลังจากที่นางเข้ามายังเขตล่าสัตว์ของพระราชวังก็เห็นเพียงภาพที่ดูคึกคัก

“พวกเราไปพบฮองเฮาที่พระราชวังตากอากาศก่อน หลังจากนั้นจะอยู่หรือจะไปก็แล้วแต่เจ้า” ก่อนเข้าพระราชวัง ฉินอี้เหยาพูดขึ้น

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว แอบมองคนที่ตามมาจากด้านหลัง เจ้าอ้วนเช่าที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติและป๋ายซีเยวี่ยที่ตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งทุกอย่างในนี้ แล้วมองฉินอี้เหยา “วันนี้ให้กระหม่อมมาเดินเป็นคู่ควงของพระองค์หรือ?”

สายตาของฉินอี้เหยาเริ่มแสดงออกถึงความอึดอัด การพูดตรงๆ ของมู่ชิงเกอ ทำให้นางยากที่จะปฏิเสธ “ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้นัก แม้ว่าเจ้าจะปฏิเสธคำชวน ข้าก็คงจะมาเพียงทักทายแล้วหาโอกาสหลบออกไป”

“หากเป็นเช่นนั้นพระองค์จะบังคับให้กระหม่อมมาที่นี่เพื่ออะไรกัน” มู่ชิงเกอหยุดเดิน

ฉินอี้เหยายิ้มขื่น มองนางอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

เข้าใจอะไรรึ?

ลองคิดดูอีกแง่ นางก็เข้าใจแล้วจริงๆ ด้วย ไม่ต้องเดาเลยว่าสาเหตุที่เรียกให้นางมาก็คงจะมาจากการกดดันของไทเฮา

และการที่ฮองเฮาและเจียงกุ้ยเฟยคอยชิงไหวชิงพริบกัน ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ฉินอี้เหยาที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเจียงกุ้ยเฟยเมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาก็คงจะหนีไม่พ้นต้องตกที่นั่งลำบาก

งานแบบนี้นางที่มีคู่หมายอยู่แล้ว หากมาเพียงคนเดียว ก็คงจะเป็นที่ติฉินนินทา อีกอย่างฉินอี้เหยาที่หน้าตางดงาม การวางตัวก็เย็นชาเฉกเช่นองค์หญิงแห่งธารนน้ำแข็งที่อยู่ไกลแสนไกล หญิงสาวแบบนี้สำหรับชายหนุ่มส่วนมากแล้วเป็นความน่าหลงใหลอย่างหนึ่ง ผู้ที่ชื่นชมนางเองก็คงมีอยู่ไม่น้อย และหากมีผู้ที่ใจกล้ามาสารภาพความในใจกับนาง แม้ว่านางจะปฏิเสธ แต่หากเรื่องไปถึงหูฮองเฮา ก็คงจะกลายเป็นประพฤติตนไม่งาม ผิดต่อหลักศีลธรรมสตรี

ฉินอี้เหยามีพรสวรรค์แล้วอย่างไร?

ขอแค่นางไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของฮองเฮา ก็ต้องโดนกำจัดและถูกฮองเฮาใช้เป็นหมากตัวหนึ่งเพื่อจะเล่นงาน เจียงกุ้ยเฟยและรุ่ยอ๋อง

งานเลี้ยงนี้ฉินอี้เหยาที่เป็นองค์หญิงนั้นไม่มาไม่ได้

เพราะว่านี่เป็นงานที่ฮองเฮาทรงจัดขึ้นและเป็นงานเลี้ยงตามพระราชประเพณี หากไม่มาก็จะถือว่าเป็นการหยามเกียรติฮองเฮา

เพราะฉะนั้น เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว การเรียกตัวคู่หมายที่ฮ่องเส์ชี้ตัวไว้ให้กับนางมาด้วย จึงจะเป็นการยุติเรื่องราว และไม่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วไม่พูดอะไรต่อ

ทั้งหมดเดินหน้าไปอีกหลายก้าว อยู่ๆ ฉินอี้เหยาก็หยุดเดิน มองสองคนที่อยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอแล้วพูดว่า “เจ้าอ้วนเช่าไม่ต้องไปแล้ว เพราะอย่างไรในงานกิจกรรมล่าสัตว์ชมดอกไม้นี้ก็มีคนอยู่มากมาย ฮองเฮาแล รัชทายาทคงไม่อาจจดจำได้หมดหรอก”

เจ้าอ้วนเช่าที่ได้ยินว่าไม่ต้องไปเข้าพบฮองเฮาใบหน้าเหมือนหมูนั่นก็เต็มไปด้วยความยินดี งานที่เป็นพิธีรีตองเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาเลยจริงๆ

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “ขอบพระทัยองค์หญิง ลูกพี่ ข้าจะรออยู่ที่เขตล่าสัตว์นะ จะไปสอดส่องดูให้ท่านก่อนว่ามีอะไรน่าสนุกบ้าง”

พูดจบก็หายไปจากสายตาของทุกคนดั่งหมอกควัน

หลังจากที่เจ้าอ้วนเช่าออกไป ฉินอี้เหยาก็มองไปที่ป๋ายซีเยวี่ย เมื่อถูกมองป๋ายซีเยวี่ยก็เผยท่าทางขลาดกลัวน่าสงสารออกมา ทำให้นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดเสียงเย็นว่า : “เดิมที เจ้าจะไม่เข้าถวายพระพรฮองเฮาก็ได้ เพราะอย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเชิญมา แต่เพราะเจ้าเป็นหญิงสาวต้องอยู่ในพระราชวังตากอากาศ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก เจ้าก็ตามพวกข้าไปเข้าพบฮองเฮาด้วยแล้วกัน แต่จงจำเอาไว้ว่า หากการวางตัวของเจ้าไม่เหมาะสม ทำให้ฮองเฮาทรงกริ้ว ข้าเองก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้”

คำพูดที่แฝงการตักเตือน ทำให้ไหล่ทั้งสองข้างของป๋ายซีเยวี่ยสั่นขึ้นมาเบาๆ นางก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม ท่าทางน่าสงสารนั้นราวกับกระต่ายน้อยที่เปราะบาง

เห็นนางทำท่าทางแบบนั้น ฉินอี้เหยาจึงพูดขึ้นอีกว่า “แน่นอนว่าหากเจ้าอยากจากไปตอนนี้ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่จวนตระกูลมู่” เมื่อพูดจบ ป๋ายซีเยวี่ยก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาสองข้างนองไปด้วยนํ้าตาแห่งความน้อยอกน้อยใจ มองมู่ชิงเกออย่างสับสน พร้อมพูดว่า “พี่มู่ ซีเยวี่ยสร้างความเดือดร้อนให้ท่านและองค์หญิงใช่หรือไม่?”

มู่ชิงเกอแอบยิ้มเย็นในใจ มองฉินอี้เหยาแล้วบอกว่า “ไปเถิดองค์หญิง”

ฉินอี้เหยาพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินไปพร้อมกับมู่ชิงเกอ ทิ้งป๋ายซีเยวี่ยที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปต่อหรือหยุดดีไว้ข้างหลังคนเดียว

นางมองเงาหลังของทั้งสองที่เดินจากไป สุดท้ายก็กัดฟันและเดินตามไป

พอรู้สึกว่ามีคนเดินตามมา ฉินอี้เหยาก็พูดนิ่งๆ ว่า “แม่นางป๋ายผู้นี้ก็ถือว่าใจกล้ามาก”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพูดว่า “หากไม่มีความอดทน นางก็ไม่คู่ควรให้องค์หญิงสนพระทัย”

ฉินอี้เหยามองนางแล้วละสายตา ตอนที่มู่ชิงเกอพบกับฮองเฮานั้น พระนางกำลังถูกท่านหญิงกลุ่มหนึ่งรายล้อม ในรอยยิ้มนั้นปิดบังความกระหยิ่มยิ้มย่องเอาไว้ไม่มิด อาจจะเป็นเพราะว่าการแย่งชิงในครั้งนี้นางเป็นผู้ชนะ

รูปปั้นแกะสลักและความหรูหราต่างๆ ภายในวังทำให้ป๋ายซีเยวี่ยตาเป็นประกาย

แต่เพราะคำเตือนจากฉินอี้เหยาก่อนหน้านี้ ทำให้นางไม่กล้ามองสุ่มสี่สุ่มห้า ทำได้แค่เดินตามทั้งสองคนไปอย่างใกล้ชิด

ในที่นี้หญิงสาวทุกคนมีฐานะสูงส่งกว่านาง

ในจุดนี้นางทั้งริษยาและชื่นชม ความทะเยอทะยานในใจยิ่งร้อนแรงมากขึ้น

“อี้เหยาถวายพระพรเสด็จแม่ ขอเสด็จแม่ทรงพระเจริญ พันปี พันปี พันพันปี”

“มู่ชิงเกอถวายพระพรฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ พันปี พันปี พันพันปี”

เมื่อไปยืนอยู่ตรงหน้าฮองเฮาทั้งสองก็ทำความเคารพ

ทว่ามู่ชิงเกอยังคงไม่คุกเข่าลง ฮองเฮาที่กำลังพูดคุยอยู่เหลือบตาขึ้นมองพวกเขาแล้วตรัสว่า “ไม่ต้องมากพิธี”

ตอนนี้ท่านหญิงผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างฮองเฮาก็พูดขึ้นมาว่า “คุณชายมู่ เจ้าพบฮองเฮาแล้วกลับไม่ยอมคุกเข่าลงทำความเคารพ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้อื่นอาจจะคิดว่าจวนหย่งหนิงกงขาดการอบรมสั่งสอน”

เมื่อนํ้าเสียงเลือดเย็นนั้นดังขึ้น ท่านหญิงทั้งหลายที่อยู่ รอบๆ ก็พากันปิดปากหัวเราะเบาๆ ความเหยียดหยามดูถูกในดวงตานั้นเหมือนไม่พอใจในความไร้สัมมาคารวะของมู่ชิงเกอ

ฉินอี้เหยายืนเงียบ หากนางพูดอะไรออกไปจะยิ่งทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเปิดเผย แล้วพูดกับท่านหญิงนางนั้น ว่า: “ฮูหยินผู้นี้ช่างมีน้ำใจจริงๆ เป็นห่วงถึงการอบรมสั่งสอนของจวนตระกูลมู่เสียด้วย หรือว่าเป็นเพราะท่านคิดว่าตระกูลสามีของท่านในยามนี้ไม่ดีพอ จึงอยากจะย้ายเข้ามายังจวนตระกูลมู่เพื่อเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้กับท่านปู่ของข้า?”

พรืด…!

เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังขึ้น กระทั่งใบหน้าดั่งเจ้าหญิงนํ้าแข็งอย่างฉินอี้เหยาเองก็มีรอยยิ้มซ่อนอยู่

“เจ้า!” ท่านหญิงที่ถูกตอกกลับไปแบบนี้โกรธจนยกนิ้วที่ประดับด้วยเล็บสีแดงสดขึ้นมาชี้หน้ามู่ชิงเกอ

“พอเถิด” ฮองเฮาพูดขึ้น “ต่อหน้าไทเฮามู่ชิงเกอยังไม่ต้องคุกเข่าแล้วนับประสาอะไรกับฮองเฮาอย่างข้า” คำพูดนี้เหมือนเป็นคำแก้ตัวให้มู่ชิงเกอ แต่ความจริงแล้วหมายความว่านางหยิ่งยโส

ขนาดต่อหน้าไทเฮายังไม่คุกเข่า แล้วจะเห็นฮองเฮาอย่างนางอยู่ในสายตาได้อย่างไร?

แบบนี้ไม่เรียกว่าหยิ่งยโสแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version