ตอนที่ 63
เจ้าอ้วนได้รับบาดเจ็บ!
สายตาของเหล่าท่านหญิงที่อยู่ตรงนั้นพลันมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามและไม่พอใจ แต่สายตาที่มองฉินอี้เหยากลับเต็มไปด้วยความเห็นใจและความเสียดาย
เพราะอย่างไรก็ตาม ฉินอี้เหยาก็ถือว่าเป็นองค์หญิงและนับได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งในลั่วตู น่าเสียดายที่ต้องมาคู่กับคนเสเพลไร้พลังอย่างนี้
การเต้นรำเคียงคู่ในงานเลี้ยงค่ำคืนนั้น เมื่อเรื่องแพร่ออกไปจากปากของเหล่าชายหนุ่มที่มีจิตใจคิดไม่ซื่อจึงกลายเป็นการเต้นรำที่ลามกอนาจารแทน ทำให้ชื่อเสียงของมู่ชิงเกอนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ยิ่งกลับยิ่งตอกยํ้าการเป็นผู้ชายเสเพลเจ้าชู้ของนาง
โชคดีที่นางไม่ใส่ใจ ผลลัพธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่นางหวังให้เป็นอยู่แล้ว มู่ชิงเกอยิ่งเป็นผู้ชายเสเพลมากเท่าใด สำหรับตระกูลมู่แล้วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ปลอดภัยมากเท่านั้น หากใจรักชาติของท่านปู่ของนางยังไม่ดับมอดไปสถานการณ์แบบนี้จึงจะดีที่สุด
มู่ชิงเกอแอบยิ้มอย่างเย้ยหยันในใจ ฮองเฮาผู้นี้ก็ช่างหน้าเนื้อใจเสือเสียจริง แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้นางกลายเป็นศัตรูของทุกคนในที่แห่งนี้
“เอ้ะ หญิงสาวผู้นื้ช่างงดงาม เป็นคุณหนูตระกูลใดรึ?” ฮองเฮาตรัสพลันมองป๋ายซีเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ไม่ต้องให้มู่ชิงเกอหรือฉินอี้เหยาอธิบาย ป๋ายซีเยวี่ยก็ยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “เรียนฮองเฮา ข้าน้อยแซ่ป๋าย ชื่อซีเยวี่ย เป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดา ตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลม่ชั่วคราวเพคะ”
‘เด็กกำพร้า’ คำนี้เรียกความสงสารจากเหล่าท่านหญิงทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
ตอนสายตาของท่านหญิงทั้งหลายมองไปที่มู่ชิงเกออีกครั้งนั้นในแววตาก็ราวกับมีอะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามา ราวกับว่านางเป็นผู้ใช้กำลังบังคับให้ป๋ายซีเยวี่ยเข้าไป อยู่ในจวนอย่างนั้นล่ะ
ความคิดพวกนี้มู่ชิงเกอไม่รู้แม้แต่นิด เพราะหากรู้ก็คงจะชื่นชมความคิดของท่านหญิงพวกนี้ไม่น้อย
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว หลายปีก่อนเหมือนจะมีแม่ทัพแซ่ป๋ายผู้หนึ่งสละชีพช่วยชีวิตนายผู้เฒ่ามู่เอาไว้หลังจาก นั้นไม่นานฮูหยินของแม่ทัพผู้นั้นก็ตายตามไป ทิ้งลูกสาวเอาไว้เพียงลำพัง จึงถูกนายผู้เฒ่ามู่รับไปอยู่ในจวนตระกูลมู่ เจ้าคงจะเป็นบุตรสาวของแม่ทัพผู้นั้นสินะ”
ป๋ายซีเยวี่ยไม่คิดเลยว่าจะฮองเฮาจะรู้เบื้องหลังของนาง ทำให้นางพยักหน้า นัยน์ตามีนํ้าตาเอ่อคลอ
เห็นนางยอมรับ ฮองเฮาก็พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ช่างน่าเสียดาย แท้จริงแล้วเจ้าควรจะเป็นคุณหนูที่สูงส่งคนหนึ่งแท้ๆ”
คำพูดนี้เมื่อเข้าหูป๋ายซีเยวี่ยไป ก็ทำให้นางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง จนนางเกือบคิดว่าฮองเฮาเป็นผู้รู้ใจของนางแล้ว
ทันใดนั้นองครักษ์ของฉินอี้เหยาก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ และกระซิบที่ข้างหูนางกำนัลคนสนิทของนาง นางกำนัลคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี นางวิ่งไปหาฉินอี้เหยาอย่างระมัดระวัง แล้วบอกต่อคำพูดขององครักษ์นายนั้น
หลังจากที่ฟังจบ ฉินอี้เหยาเองสีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วมองไปทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขมวดคิ้วถาม “มีเรื่องอะไร?”
ฉินอี้เหยาเม้มปาก แล้วบอกไปตามความเป็นจริง “เมื่อครู่ในบริเวณเขตล่าสัตว์แจ้งข่าวมาว่าเซ่าเย่เจ๋อประลองล่าสัตว์แล้วได้รับบาดเจ็บ”
เจ้าอ้วนบาดเจ็บ!
ข่าวนี้ทำให้มู่ชิงเกอตื่นตระหนก…
นางเป็นคนพาเจ้าอ้วนเช่ามา แล้วตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?
ความตื่นตระหนกของมู่ชิงเกอค่อยๆ ลดลงดวงตาที่สว่างสดใสคู่นั้นกลายเป็นความเยียบเย็นเสียดแทง
“ฮองเฮา มู่ชิงเกออยู่ที่วังตากอากาศนานกว่านี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ จึงขอทูลลาก่อน วันหลังจะไปเข้าวังถวายพระพรพระองค์” มู่ชิงเกอขัดจังหวะบทสนทนาของฮองเฮาและป๋ายซีเยวี่ย ไม่รอให้ฮองเฮาอนุญาตก็หันหลังเดินจากไป
นางก้าวเท้าอย่างว่องไว ราวกับว่าจะไม่หยุดเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ฉินอี้เหยาที่มองตามด้วยความเป็นห่วง พูดกับฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ อี้เหยาเองก็ขอทูลลา” พูดจบนางก็ไม่ลืมที่จะบอกกับป๋ายซีเยวี่ยว่า “แม่นางป๋ายจะไปหรือจะรั้ง อยู่?”
คำพูดนี้ทำให้ป้ายซีเยวี่ยลังเล ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้อีกอย่างฮองเฮาเองก็มีความประทับใจในตัวนางไม่น้อย จากไปแบบนี้นางรู้สึกเสียดาย แต่ฉินอี้เหยาก็เป็นขนิษฐาแท้ๆ ของรุ่ยอ๋อง หากข่าวที่นางมาใกล้ชิดกับ ฮองเฮาไปเข้าหูของรุ่ยอ๋องเข้าจะเป็นอย่างไร ยิ่งตอนนี้ เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวในการแก่งแย่งของรุ่ยอ๋องและรัชทายาทอีกด้วย เกรงแต่ว่าจะทำให้รุ่ยอ๋องไม่พอใจ
จะอยู่หรือจะไป?
ป๋ายซีเยวี่ยยากที่จะตัดสินใจ มองซ้ายมองขวาแล้วมองฮองเฮาอย่างลำบากใจ แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้ซีเยวี่ยมากับองค์หญิงและคุณชาย พวกเขาจะ กลับแล้ว ซีเยวี่ยเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ ขอบพระทัยในพระเมตตาของฮองเฮาในวันนี้เพคะ”
ฮองเฮาแอบหัวเราะเยาะในใจ ข้าเมตตาเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? คิดเองเออเองจริงๆ แต่บนใบหน้าของพระนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มพลาง พยักหน้าอย่างเมตตาและตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปเถิดสาวน้อย หากวันหลังเข้าวังมากับคุณชายตระกูลมู่ก็ค่อยมาเยี่ยมข้าอีก ข้ากับเจ้านั้นมีเรื่องต้องพูดคุยกันอีกมาก”
ป๋ายซีเยวี่ยดีใจ รีบกล่าวคำขอบพระทัย
หลังจากนั้นก็รีบตามฉินอี้เหยาที่รอจนจะหมดความอดทนไปยังเขตล่าสัตว์ทันที
ตอนนี้มู่ชิงเกอที่ออกมาก่อนถึงเขตล่าสัตว์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเห็นเจ้าอ้วนเช่าที่ได้รับบาดเจ็บ
“ไอ้พวกเลวกล้าลอบทำร้ายข้า บอกว่าตัวเองเป็นวิญณูชนอะไรกัน ฝากไว้ก่อนเถอะ รอให้ข้าหายดีเมื่อ หร่ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับสารเลวอย่างพวกเจ้าอย่าง ไร” เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของเจ้าอ้วนเช่าดังออกมากลุ่มคน ท่าทางที่ยังสมบูรณ์ดูเหมือนว่าจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนัก ทำให้มู่ชิงเกอที่รีบวิ่งมาก้าวเท้าช้าลงบ้าง
“เหอะ ไอ้อ้วนอย่างเจ้าน่ะหรือ!”
“ข้าว่า เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยไขมันทั้งตัวของเจ้ามันคงคันใช่ไหม ให้ข้าช่วยเกาให้เจ้าไหมล่ะ?”
“แค่สวะไร้ค่าสายแดงยังจะกล้าประลองล่าสัตว์กับข้า เฮอะ ดูเหมือนว่าขนาดม้าก็ยังดูถูกเจ้าเลย จึงได้ดีดเจ้าลงมาจากหลังแบบนี้”
มู่ชิงเกอเดินฝ่าเข้าไปท่ามกลางผู้คน เห็นคุณชายที่เป็นหัวโจกคนหนึ่งยืนอยู่กับชายหนุ่มอีกหลายคนกำลังหัวเราะเยาะเจ้าอ้วนเช่าที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น
“เจ้าโกหก! เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเจ้าลอบทำร้ายข้า พวกเจ้าจงใจใช้พลังซัดที่กลางกีบเท้าม้า ทำให้เจ้าม้านั่นเจ็บจนสะบัดข้าตกลงมา’’ เจ้าอ้วนเช่าพูดด้วยโทสะ
“สวะไร้พลังเช่นเจ้า มีค่าอะไรที่นายท่านอย่างข้าต้องใช้ลูกไม้ด้วย” คุณชายสูงศักดิ์ที่เป็นหัวโจกพูดด้วยนํ้าเสียงเย้ยหยันใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความยโสโอหัง
“ใช่ คุณชายหานเป็นถึงสายเหลืองขั้นต้น จะไปกลัวสายแดงไร้ค่าอย่างเจ้าได้อย่างไร? พูดออกไปแล้วคงจะต้องมีคนหัวเราะจนฟันหลุด” ทุกคนรีบพูดเสริม
พวกเขาตั้งใจให้ เจ้าอ้วนอับอายขายขี้หน้า อยากจะแข่งกับเขาก็ไม่ลองส่องกระจกชะโงกดูเงาตนเองเสียก่อน เนื้อหนังที่เติมไปด้วยไขมันแบบนั้นคู่ควรแล้วหรือ?
“ถุย! สิ่งที่ข้าแข่งกับเขาคือล่าสัตว์เกี่ยวอะไรกับขั้นพลังด้วย?” เจ้าอ้วนเช่าตะโกนอย่างไม่พอใจ
แต่เพราะฐานะที่ต้อยตํ่า ทำให้คำพูดไร้ซึ่งนํ้าหนัก เห็นอยู่แล้วว่าคนๆ นั้นมีฐานะสูงกว่าเขา จึงไม่มีใครสนใจคำพูดของเจ้าอ้วนเช่าเลย
ฟังถึงตรงนี้มู่ชิงเกอก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้
นางผลักคนข้างหน้าออก พลันก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปข้างหน้า “เจ้าอ้วน”