ตอนที่ 633
บุตรสาวของราชาเทวะ?
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดจะเข้าไปในวังอู๋หวาเร็วเกินไปนัก
บางที การแสดงท่าทีใส่ใจมากจนเกินไป กลับจะทำให้คนคิดว่ามีวัตถุประสงค์แฝงเร้น จะทำให้คนเกิดระแวงสงสัยได้ ไม่สู้รออยู่ในเมืองอู๋หวาไปเดินเล่นและสืบหาข่าวสักหน่อยยังจะดีกว่า
วันรุ่งขึ้นที่เข้ามาในเมืองอู๋หวา มู่ชิงเกอไม่ได้บำเพ็ญ แต่พาหยินเฉินไปเดินเล่นในตลาดเมืองอู๋หวา ทิ้งหุ่นเทพมารให้เฝ้าเรือนไว้
ปัญญาเทวะของหุ่นเทพมารเป็นของนางจึงเกือบพูดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของนางที่แยกร่างออกไป นางสามารถรับรู้ความรู้สึกจากสัมผัสทั้งห้าของหุ่นเทพมารได้ สามารถได้ยิน ได้กลิ่น รู้สึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
“ที่อยู่ของมนุษย์เทพเหล่านี้ดูแล้วไม่ได้ต่างอะไรกับที่อยู่ของมนุษย์ธรรมดา” เมื่อวานนี้หยินเฉินไปมาแล้วบางที่ คราวนี้มากับมู่ชิงเกอข้างกายจึงมีคนที่พอจะคุยด้วยได้
มู่ชิงเกอผงกศีรษะเล็กน้อย “อืม มนุษย์ธรรมดาต้องการปัจจัยสี่ มนุษย์เทพก็เหมือนกัน เพียงแต่ที่ต่างกันคือ สิ่งของที่แทนปัจจัยสี่ของมนุษย์เทพนั้นมีอยู่มากมาย”
ความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอนั้นหยินเฉินเข้าใจดี
“พวกเราหาที่นั่งกันเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยง่ายๆ
หยินเฉินผงกศีรษะนำนางไปยังร้านเซียนลู่ไจ ที่เดินผ่านไปเมื่อวานนี้ ร้านเซียนลู่ไจนี้ความจริงก็คล้ายกับร้านนํ้าชาของมนุษย์ธรรมดา ต่างกันที่มนุษย์ธรรมดาดื่มน้ำชา ส่วนเซียนลู่ไจให้ดื่มนํ้าทิพย์ที่สามารถบำรุงพลังเทพได้
หลายปีมานี้น้อยครั้งมากที่มู่ชิงเกอจะมาเดินทอดน่องในเมืองเช่นนี้ แม้แต่เมืองล่างของดินแดนฮ่วนเยวี่ยเองนางก็ไปเพียงสองสามครั้งเท่านั้น พอก้าวเข้าไปในเซียนลู่ไจพร้อมหยินเฉินก็มีมนุษย์เทพเข้ามาต้อนรับทันที
“สองท่าน เชิญด้านใน” เขายิ้มอย่างอบอุ่น
มู่ชิงเกอมองสภาพแวดล้อมรอบๆ เซียนลู่ไจ หยินเฉินก็หยิบหยกเทพชิ้นเล็กออกมาชิ้นหนึ่งแล้วสั่งว่า “จัดสถานที่ดูดี เงียบสงบไม่ถูกรบกวนให้ด้วย”
คนต้อนรับยิ้มอย่างเข้าใจ ผงกศีรษะ โค้งตัวนำทางให้ทั้งสองคน
ระหว่างทางมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ละสายตาที่กำลังสอดส่ายกลับมา เซียนลู่ไจไม่ได้ต่างกับโรงนํ้าชาเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้อาบแสงแห่งวิถีหรือไม่ นิสัยนางจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น รับรู้ถึงเหตุความรู้สึกของชีวิตต่างๆ ยามนี้นางรู้สึกว่าการรับรู้ของตนเฉยชาลงมาก ต่อให้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ก็ยากที่จะทำให้นางสนใจได้
ขณะนี้นางไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกเช่นนี้ของนางนั้นความจริงเพราะได้สัมผัสเข้ากับขอบเขตต้นกำเนิดแห่งเต๋าแล้ว
เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง ล้วนรวมเป็นหนึ่ง
ไม่ว่าในโลกนี้มีกฎบัญญัติ มีกฎเกณฑ์มากมายเท่าใด เมื่อลดทอนส่วนที่เกินจำเป็นออกแล้ว แก่นที่สามารถแสดงออกให้เห็นอย่างแท้จริงและที่มีอยู่จริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
มองทะลุผิวนอก เห็นชัดถึงภายใน ย่อมจะสงบเยือกเย็น ไม่ถูกกระทบจากสิ่งเร้าภายนอก
คนต้อนรับของเซียนลู่ไจพาทั้งคู่ขึ้นไปในห้องกั้นที่อยู่ชั้นบน ห้องกั้นนี้อยู่ติดทางเดินด้านใน เมื่อนั่งลงไปแล้วจะสามารถมองเห็นการแสดงบนลาน ทั้งยังเป็น ส่วนตัวด้วย แผ่นกั้นสองฝั่งทำจากไม้ชนิดพิเศษ กั้นเสียงได้ดีมาก การพูดคุยภายในไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนอื่นได้ยิน และไม่ต้องกังวลว่าเสียงพูดคุยจากห้องกั้นอื่นจะมารบกวนตัวเองด้วย
“ทั้งสองท่าน พอใจที่นี่ไหมขอรับ” คนต้อนรับยิ้มอย่างเอาใจ
หยินเฉินมองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอไม่ได้พิถีพิกันมากนัก เพียงมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า
เมื่อนางพยักหน้าแล้ว หยินเฉินย่อมไม่พูดอะไรอีก
เขาจึงสั่งคนต้อนรับให้นำนํ้าทิพย์กับผลไม้วิญญาณมา
พอคนต้อนรับไปแล้ว หยินเฉินกับมู่ชิงเกอก็นั่งชิดติดราวกั้นหันหน้าเข้าหากัน บนเวทีที่ลานข้างล่าง มีหญิงสาวรูปโฉมงดงามรูปร่างชดช้อยกำลังนั่งดีดพิณอยู่
เสียงดนตรีนั้นมหัศจรรย์ยิ่งนัก เมื่อนิ่งฟังแล้วก็ช่วยในการขจัดความคิดวุ่นวาย ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ได้
ขณะที่นํ้าทิพย์กับผลไม้วิญญาณถูกยกมา มู่ชิงเกอก็ละความสนใจกลับมาจากเพลงนั้นและถามมนุษย์เทพที่ยกของมาว่า “ข้าฟังแล้วเพลงนี้ไม่ธรรมดา คนดีดพิณนั้นก็คงไม่ธรรมดาด้วย”
มนุษย์เทพยิ้มแล้วผงกศีรษะ “ตาท่านถึงจริงๆ เพียงแค่ฟังก็รู้ถึงความมหัศจรรย์ภายใน ความจริง หญิงที่ดีดพิณนี้เป็นสาวใช้ใกล้ตัวของบุตรสาวราชาเทวะของพวกเรา เพลงนี้บุตรสาวราชาเทวะแต่งเอง ว่ากันว่าภายในแฝงด้วยวิชาเสียงของวังอู๋หวา สงบจิตขับขานวิชานี้สามารถต้านจิตมาร สงบใจรวบรวมสติ รักษาสติปัญญาเทพ ทำให้จิตใจนั้นคงร้ายกาจมาก”
‘สงบจิตขับขานหรือ’ สองตามู่ชิงเกอหรี่ลง ก่อนนางมาซือมั่วเคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสงบจิตขับขาน สงบจิตขับขานนั้นเป็นวิชาพิเศษของดินแดนอู๋หวาแท้ๆ
เลยทีเดียว
เพียงแต่วิชาชนิดนี้ไม่ได้ให้ผลในการโจมตี มีเพียงประโยชน์ในการป้องกันจิตใจตัวเองเท่านั้น หากพบกับการโจมตีหรืออาคมประเภทภาพลวงตาต่างๆ หรือแม้กระทั่งขณะบำเพ็ญก็สามารถช่วยป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกจิตมารก่อกวนได้ ทั้งยังให้ผลดีเยี่ยม
เพียงแต่ สิ่งที่นางสนใจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รู้จากปากมนุษย์เทพ หญิงสาวที่ดีดพิณอยู่ข้างล่างนี้ถึงขั้นเป็นคนของวังราชาเทวะดินแดนอู๋หวา อีกทั้งยังเป็นสาวใช้ขององค์หญิงเสียด้วย
มู่ชิงเกอเก็บงำความคิด ยิ้มบางๆ ให้มนุษย์เทพคนนั้น “ในเมื่อเป็นสาวใช้ขององค์หญิงชูเนี่ยน เหตุใดจึงมาดีดพิณอยู่ที่นี่เล่า”
“ที่แท้ท่านก็รู้จักองค์หญิงชูเนี่ยนแห่งดินแดนอู๋หวาของพวกเราด้วย” มนุษย์เทพยิ้ม “ท่านคงยังไม่รู้ว่า องค์หญิงชูเนี่ยนเข้ากับคนได้ง่าย มักจะออกมาเดินเล่นในเมืองอู๋หวา การที่นางแต่งเพลงนี้ออกมาก็เพื่อมอบประโยชน์ให้แก่คนทั้งปวง แต่เพลงนี้หากไม่ใช่คนดินแดนอู๋หวาจะไม่สามารถบรรเลงได้ ดังนั้นทุกครั้งที่มา เมืองอู๋หวา นางจะให้สาวใช้ของนางบรรเลงเพลง นับว่าเป็นการมอบให้กับคนที่มีวาสนา”
“พูดเช่นนี้แล้ว องค์หญิงชูเนี่ยนเวลานี้ก็อยู่ในเมืองอู๋หวาหรือ” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วจับใจความสำคัญได้ทันที
แววตามนุษย์เทพมีประกายซ่อนเร้น ยิ้มแล้วผงกศีรษะ
มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้น หยิบหยกเทพชิ้นเล็กวางไว้ตรงหน้าเขาแล้วบอกเขาว่า “รบกวนแล้ว เจ้าลงไปได้”
พอเขาจากไป หยินเฉินก็มองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างนึกสนุก พูดเรียบๆ ว่า “เล่ากันว่าห้าพันปีก่อนราชาเทวะได้บุตรสาวคนหนึ่งมาโดยบังเอิญ ที่มาของบุตรสาวคนนี้ลึกลับนัก ถูกราชาเทวะอุ้มกลับมาตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม มีคนลือกันว่านั่นเป็นเด็กที่ราชาเทวะอู๋หวาแอบลักลอบมีขึ้นกับคนอื่น แต่ก็มีคนบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือดกับ ราชาเทวะอู๋หวา เขาเพียงไปพบแล้วเกิดสงสารจึงนำกลับวังอู๋หวาด้วยเท่านั้น แต่ไม่ว่าข่าวลือเป็นเช่นไรองค์หญิงชูเนี่ยนก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาในวังอู๋หวา พรสวรรค์นางดีเยี่ยม รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่ง นิสัยเยือกเย็นสุขุม ไม่เพียงแต่เป็นที่รักใคร่ของคนทั้งดินแดนอู๋หวา ราชาเทวะอู๋หวาเองก็รักใคร่นางเป็นอย่างมาก เป็นพ่อที่รักลูกสุดแสนทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน”
“ชิงเกออยากบอกว่านี่น่าสงสัยหรือ” ดวงตาสีเลือดของหยินเฉินเกิดประกาย
มู่ชิงเกอในความเข้าใจของเขา ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ จะพูดถึงประวัติความเป็นมาขององค์หญิงชูเนี่ยนเฉยๆ แน่
มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “มีข้อน่าสงสัยหรือไม่ข้า ยังไม่แน่ใจ เพียงแต่ราชาเทวะอู๋หวาคนนี้เคยเข้าร่วมเรื่องคราวนั้นของตระกูลมู่ ทั้งจากข่าวสารที่เผ่ามารรวบรวมมา เขาไม่ใช่คนดีแน่นอน ยิ่งไม่มีทางที่อยู่ดีๆ จะเกิดมีเมตตากรุณา องค์หญิงชูเนี่ยนคนนี้หากไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจริงๆ ก็คงจะเป็นการเลี้ยงดูมาโดยมี จุดประสงค์ หากเป็นอย่างหลังก็น่าสนใจว่ามีเหตุผล และเป้าประสงค์อะไรจึงทำให้ราชาเทวะอู๋หวาเลี้ยงดูองค์หญิงชูเนี่ยน”
“นี่…” หยินเฉินพูดไม่ออก
ความคิดมู่ชิงเกอ บางครั้งต่อให้เขาซึ่งเป็นเผ่าสุนัขจิ้งจอกที่โดดเด่นด้านกลอุบายก็ยังตามไม่ทัน
เวลานี้ เขาคิดแม้กระทั่งว่า พวกเขามาเพราะเบาะแสเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างจะไปสนใจทำไมกับองค์หญิงที่มีความเป็นมาไม่ชัดเจน
“หากคาดไม่ผิด องค์หญิงชูเนี่ยนคนนี้เวลานี้คงอยู่ที่เซียนลู่ไจนี้เอง” มู่ชิงเกอหรี่ตาสองข้างลง สมองผุดภาพแววตาวิบวับของมนุษย์เทพเมื่อครู่นี้ “หากได้พบและพูดคุยกับองค์หญิงผู้นี้ดู ไม่แน่ว่าอาจจะพอสืบรู้เรื่องในวังอู๋หวามาได้บ้าง หากโชคดีการจะได้เบาะแสเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
หยินเฉินมองนาง เพิ่งจะเข้าใจว่าจุดประสงค์ของมู่ชิงเกออยู่ที่จุดนี้นั่นเอง
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างนึกสนุกว่า “การเป็นองค์หญิงที่ได้รับความรักใคร่ นางสมควรจะรู้เรื่องมากมายที่คนอื่นไม่รู้”
“แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรจึงจะทำให้นางพูดออกมาได้” หยินเฉินผงกศีรษะ “ในเมื่อนางสามารถแต่งเพลงนี้ได้ก็แสดงว่านางแตกฉานในสงบจิตขับขานเป็นอย่างมาก วิชาภาพลวงตาของข้าคงใช้กับนางไม่ได้ หากบุ่มบ่ามใช้ไปจะกลายเป็นทำเสียเรื่องเปล่าๆ”
การที่จะให้มู่ชิงเกอใช้วิชาสะกดวิญญาณยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ด้วยระดับตบะบำเพ็ญของราชาเทวะ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าความจำของบุตรสาวเคยถูกรุกลํ้า
“ไม่ต้องใส่ใจมากเกินไปนัก นี่เป็นเพียงโอกาสหนึ่งของพวกเราก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำเช่นนี้เท่านั้น” มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ
เมื่อหยินเฉินเข้าใจความหมายมู่ชิงเกอแล้วก็ผงกศีรษะ
เวลานี้ ด้านนอกเซียนลู่ไจก็มีคนสองคนเดินเข้ามา คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นเขาคือมู่เทียนอินกับมู่หลินนั้นเอง
พวกเขายืนอยู่ด้านนอกเซียนลู่ไจ มู่เทียนอิน ถามมู่หลินว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าองค์หญิงชูเนี่ยนอยู่ในนี้”
มู่หลินผงกศีรษะอย่างมั่นใจ กระซิบตอบว่า “ข้าน้อยสืบหามาแล้ว ทุกครั้งที่องค์หญิงชูเนี่ยนมาเมืองอู๋หวาจะต้องมานั่งที่นี่พักใหญ่ จนสาวใช้นางดีดพิณจบแล้วจึงจะจากไป”
แววตามู่เทียนอินเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ครู่หนึ่งจึงบอกมู่หลินว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
“นายน้อย พวกเราจะต้องทำเช่นนี้จริงๆ หรือ” มู่หลินอดไม่ได้ถามขึ้นมา
นี่ทำให้มู่เทียนอินที่กำลังจะก้าวเท้าค่อยๆ วางเท้าลงไป เขาหันมองมู่หลินแล้วพูดเสียงเย็นเฉียบว่า “เจ้าสงสัยการตัดสินใจของข้าหรือ หรือว่าเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านายน้อยอย่างข้าคนนี้”
มู่หลินถูกสายตาเขาจับจ้องจนตกใจถอยหลังไปสองก้าวพลันนึกถึงภาพฆ่าล้างตระกูลเมื่อวานนี้ขึ้นมา นายน้อยตรงหน้านี้เขารู้สึกแปลกหน้าอย่างยิ่ง
“ข้าน้อยไม่กล้า” มู่หลินหลุบตาเก็บอารมณ์ใน แววตาและก้มศีรษะลง
มู่เทียนอินแค่นเสียงแล้วบอกเขาว่า “ในเมื่อไม่กล้าก็ไม่ต้องพูดมาก ทำตามที่ข้าบอก หากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะเอาเรื่องเจ้า”
ใจมู่หลินราวกับไฟแผดเผา อึดอัดเหลือทนแต่ก็จำต้องยอม
หลังจากสั่งสอนมู่หลินแล้ว มู่เทียนอินจึงละสายตากลับไป เขาเดินตรงเข้าไปในเซียนลู่ไจ
ส่วนมู่หลินนั้น หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้วก็รีบตามขึ้นไป