ตอนที่ 632
ต่างอยู่ในเมืองอู๋หวา
นัยน์ตาสีเลือดของหยินเฉินเปล่งประกายฉงนออกมา
ในเมืองอู๋หวา การเห็นคนแต่งตัวเช่นนี้ย่อมทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาด ชวนให้รู้สึกลับๆ ล่อๆ ชอบกล
แต่เขาก็เพียงแค่มองอย่างเฉยเมยแล้วหมุนกายจากไป
เขายังต้องไปเลือกของขวัญวันเกิดที่เหมาะสม ไม่มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องคนอื่น เวลานี้เองเขากลับไม่รู้เลยว่ากลุ่มคนที่เขารู้สึกว่าทำตัวลับๆ ล่อๆ นี้ก็คือมู่เทียนอินที่มู่ชิงเกอคิดตามหาตลอดมาตั้งแต่เข้าสู่แผ่นดินเทพ
ส่วนมู่เทียนอินเองก็ไม่รู้ว่าชายผมเงินตรงถนนฝั่งตรงข้ามที่มองพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอ
ทั้งสองฝ่ายเพียงเดินเฉียดกันไปบนถนนเมืองอู๋หวา
หยินเฉินไปเลือกของขวัญวันเกิด
ส่วนพวกมู่เทียนอินต่างดึงเสื้อคลุมที่คลุมตัวออกแล้วเก็บลงในถุงซวีหมีของตัวเอง ปะปนไปอยู่ร่วมกับคนบนถนน
มู่เทียนอินส่งสายตาให้คนทั้งสี่ ที่เหลือสามคนต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ตามคำสั่งของมู่เทียนอิน หลายวันนี้พวกเขาจะต้องซุ่มอยู่ในเมืองอู๋หวา ค้นหาคนที่จะลงมือได้ แล้วเอาเทียบเชิญงานเลี้ยงวันเกิดมาเพื่อเข้าสู่วังอู๋หวา
ส่วนมู่เทียนอินกับมู่หลินหลังจากจัดการเรื่องที่พักแล้วจึงจะไปเตรียมของขวัญวันเกิด
มู่หลินหาดูรอบบริเวณ พอพบเห็นโรงเตี๊ยมก็จะเข้าไปสอบถาม แต่ทุกครั้งล้วนสั่นศีรษะกลับมาหามู่เทียนอิน
“นายน้อย เต็มหมดแล้ว หลายวันนี้มีคนมางานฉลองวันเกิดมากมาย ต่างเหมาโรงเตี๊ยมเหล่านี้ไว้หมด ไม่เหลือห้องว่างให้พวกเราเลย” มู่หลินบอกมู่เทียนอิน
เต็มหมดแล้ว!
ข่าวนี้ทำให้แววตามู่เทียนอินหม่นลง กลิ่นอายโหดร้ายวนเวียนไปทั่วร่าง
มู่หลินอดไม่ได้ต้องถอยไปสองก้าวแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย ไม่เช่นนั้นพวกเรา…”
“เจ้าจะให้นายน้อยอย่างข้าไปขออาศัยหรือ” มู่เทียนอินค่อยๆ เบนศีรษะมองไปยังมู่หลิน ที่ว่าขออาศัยก็หมายถึงหาบ้านคนในเมืองอู๋หวาแล้วขออาศัยด้วย
มู่หลินถูกแววตาเขาบีบคั้นจนต้องถอยไปหลายก้าว แต่ก็ตั้งสติได้ในทันที เขากระซิบว่า “นายน้อยเหตุการณ์เฉพาะหน้า พวกเราคงต้องยอมทนหน่อยแล้ว”
ยอมทน
กระแสบ้าคลั่งในใจมู่เทียนอินกำลังก่อตัว
เขาอดทนอยู่เพื่อเอาชีวิตรอดมาพอแล้ว เวลานี้ยังต้องแบกหน้าไปขอที่พักอาศัยอีก
ทันใดนั้น ดวงตาเขาก็หรี่ลงจิตสังหารแวบผ่านไป เขายิ้มเย็นแล้วเอ่ยว่า “อืม ทำตามที่เจ้าว่าแล้วกัน”
มู่หลินเห็นมู่เทียนอินยินยอมก็ดีใจอย่างยิ่ง
เขารีบตามมู่เทียนอินออกไป มุ่งหน้าไปยังบ้านพักอาศัยของมนุษย์เทพที่เป็นบริวารดินแดนอู๋หวา ผังเมืองอู๋หวาจัดอย่างเป็นสัดส่วนมีระเบียบดีมาก ย่าน การค้าเป็นย่านการค้า ย่านพักอาศัยก็เป็นย่านพักอาศัย แบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ต่างมีระบบของตัวเอง ทั้งคู่เดินจากย่านการค้าไปย่านพักอาศัย คนลดน้อยลงไปมาก บริเวณรอบๆ สงบเงียบ
มู่หลินมองซ้ายมองขวา คิดอยู่ว่าจะหาสถานที่ดูดีสักหน่อย ขออาศัยอยู่สักหลายวันเพื่อไม่ให้มู่เทียนอินเกิดโมโหขึ้นมาอีก ดังนั้น หลังจากเขามองหาอยู่พักใหญ่ก็เลือกบ้านที่ท่าทางไม่เลวหลังหนึ่ง
เขาบอกมู่เทียนอินว่า “นายน้อย บ้านหลังนี้แล้วกันนะขอรับ”
เวลานี้ เขาไม่ทันสังเกตเลยว่ามู่เทียนอินที่ปกติไม่มีความอดทน วันนี้พอเอ่ยปากตกลงแล้วกลับเงียบสงบแปลกๆ
“อืม เจ้าว่าหลังนี้ดีก็เอาหลังนี้เถอะ” มู่เทียนอินผงกศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ
การที่เขาพูดง่ายเช่นนี้ทำให้มู่หลินโล่งอก
เพียงแต่ ขณะที่เขาเดินไปทางบ้านนั้น จู่ๆ มู่เทียนอินก็เรียกเขา “เดี๋ยวก่อน”
มู่หลินหันมองมู่เทียนอินอย่างสงสัย
มุมปากมู่เทียนอินเหมือนยิ้ม แต่แววตาเย็นเฉียบ “ถามให้ละเอียด ว่าคนในบ้านทั้งหมดล้วนอยู่ในบ้านหรือไม่”
มู่หลินขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่ามู่เทียนอินจะถามเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ไม่อยากฝืนใจเขาจึงผงกศีรษะรับ
เขาเดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูบ้าน
ประตูบ้านเปิดออก มีหนุ่มน้อยโผล่ศีรษะออกมา แววตานั้นใสซื่อ เมื่อมองเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่นอกประตู ก็ไม่ได้ระแวงแม้แต่นิด แต่ถามอย่างมีมารยาทว่า “ไม่ทราบจะหาใครหรือ”
มู่หลินยิ้มตอบแล้วถามว่า “ขอถามคุณชายน้อย ที่บ้านพอมีห้องเหลือบ้างไหม ข้ากับนายน้อยข้ามาร่วมงานวันเกิดของราชาเทวะอู๋หวาแต่หาที่พักไม่ได้จึงอยากจะมาถามที่บ้านเจ้าหน่อย”
“เรื่องนี้…” หนุ่มน้อยเกาศีรษะแล้วตอบอย่างเกรงใจว่า “ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องถามท่านปู่ข้าดู”
“บ้านคุณชายน้อยอยู่กันกี่คนหรือ แล้วอยู่กันครบไหม” มู่หลินนึกถึงที่มู่เทียนอินสั่งไว้ก็เอ่ยถามอีกคำ
หนุ่มน้อยไม่ได้ระแวงแม้แต่นิดบอกว่า “ที่บ้านมีห้าคน มีปู่ย่าข้า พ่อแม่ข้า ท่านพ่อป่วยเลยลุกไม่ขึ้น ท่านแม่คอยดูแลอยู่ คนที่จัดการเรื่องในบ้านคือท่านปู่ท่านย่า วันนี้พวกเขาล้วนอยู่บ้าน หากพวกท่านจะขออาศัยก็รอให้ข้าไปถามปู่ข้าก่อน”
“ดี ขอรบกวนคุณชายน้อยแล้ว” มู่หลินยิ้ม
หนุ่มน้อยก็ยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มอายๆ ก่อนงับประตูเบาๆ แล้วหันกลับเข้าบ้านเพื่อรายงานผู้อาวุโสในบ้าน
มู่หลินยืนรออยู่นอกประตูอย่างใจเย็น
เวลานี้ มู่เทียนอินกลับเดินเข้ามายืนอยู่ข้างเขาแล้วเตะประตูที่งับอยู่ออก
การกระทำของเขาทำให้รอยยิ้มของมู่หลินแข็งเกร็งในทันที เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะห้ามปราม มู่เทียนอินก็เดินเข้าบ้านไปด้วยท่าทางน่ากลัว
เวลานั้นหนุ่มน้อยก็เดินกลับมาพร้อมกับผู้เฒ่าคนหนึ่ง ดูท่าทางแล้วก็คือปู่ที่เขาว่า
ปู่หลานสองคนเดินคุยเล่นกันมา ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้ว มู่หลินก็รู้ว่าเรื่องขออาศัยคงเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่เทียนอินยืนอยู่ในเรือน สีหน้าของผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปในทันที รีบดึงหลานมาซ่อนที่ด้านหลังของตน ด้วยท่าทีหวาดระแวง
“พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมบุกรุกเข้าบ้านข้า” ผู้เฒ่าชี้หน้ามู่เทียนอินพลางเอ่ยถาม
มู่หลินกำลังจะอธิบาย แต่พอเขาขยับมู่เทียนอินก็หัวเราะอย่างโหดเหี้ยม พริบตาเดียวเขาก็หายไปจากที่เดิม เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็ไปอยู่ที่เบื้องหน้า ของผู้เฒ่าแล้ว
แววตาผู้เฒ่าหวาดผวาอยากจะถอยกลับ แต่มู่เทียนอินไม่เปิดโอกาส ผู้เฒ่ายังไม่ทันรวบรวมพลังเทพเข้าต้านทานก็ถูกแขนขวาที่ใหญ่กว่าแขนซ้ายซึ่งพันเอาไว้จนมิดชิดของมู่เทียนอินแทงทะลุหน้าอก
มือข้างนั้นทะลุผ่านหน้าอกไป ห้านิ้วที่เปื้อนเลือดยังกำหัวใจผู้เฒ่าที่ยังเต้นอยู่เอาไว้
ภาพนี้ทำให้หนุ่มน้อยที่ซ่อนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าหวาดผวา หัวใจที่ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าเขาอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจจนตัวเกร็งอยู่กับที่
พริบตา แสงสีเงินก็วาบผ่าน แสงเย็นเฉียบวาดผ่านลำคอของเขา เขารู้สึกเพียงศีรษะตัวเองหมุนคว้างราวกับลอยอยู่บนอากาศและเห็นร่างกายตัวเองกำลังหงาย หลังล้มลงไป
“นายน้อย!” มู่หลินร้องเสียงหลง เขาถูกการกระทำของมู่เทียนอินทำให้ตะลึงงันไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฆ่าคนด้วย
มู่เทียนอินดึงแขนขวากลับมา ค่อยๆ บีบหัวใจในมือจนเลือดนองเต็มพื้น “ร่องรอยพวกเราเปิดเผยไม่ได้ เวลานี้ฆ่าพวกเขาก็จะสามารถรักษาความลับได้แล้ว ที่พักก็มีแล้ว ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
เขาแบสองมือออกแล้วค่อยๆ หันไปหามู่หลิน บอกเขาว่า “ข้างในยังเหลืออีกสามคน เจ้าไปจัดการ”
มู่หลินเบิกตากว้าง มองมู่เทียนอินอย่างเหลือเชื่อ
นายน้อยตระกูลมู่ของพวกเขาเหตุใดจึงกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตเลือดเย็นเช่นนี้ได้
“อย่างไร เรื่องเล็กเพียงนี้ต้องให้ข้าลงมือเองหรือ” แววตามู่เทียนอินเย็นลง ทั้งร่างมีแต่ความโหดเหี้ยม
เห็นมู่หลินยังคงนิ่งเฉย ท่าทีของมู่เทียนอินก็ยิ่งเย็นชา
“เรื่องเล็กแค่นี้ยังทำไม่ได้ เก็บเจ้าไว้มีประโยชน์อะไร เจ้ากับคนสามคนในห้อง รอดได้แค่ฝ่ายเดียว เจ้าเลือกเอาเอง”
มู่หลินไม่อยากเชื่อเลยว่ามู่เทียนอินถึงขนาดให้ทางเลือกเขาเช่นนี้
เขาจะลงมือกับผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร
เขากำลังครุ่นคิดแต่ก็มีคนอีกสองคนเดินออกมาจากในห้อง คราวนี้เป็นผู้หญิงทั้งคู่ พวกนางคงเป็นแม่และย่าของหนุ่มน้อย
เพราะเห็นปู่หลานสองคนหายไปนานจึงออกมาดู
แต่พอออกมาก็เห็นภาพกองเลือด ทั้งศพที่ถูกแยกร่าง
มองดูสองฆาตกรที่ยืนอยู่ในเรือน ดวงตาหญิงทั้งสองต่างเปล่งประกายความแค้นและโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสออกมา รวบรวมพลังเทพซัดมาที่พวกมู่เทียนอิน สองคนทันที
มู่เทียนอินยืนนิ่งไม่ขยับเพียงสั่งมู่หลินเสียงเย็นเฉียบว่า “ฆ่าพวกนางเสีย”
มู่หลินสองตาแดงกํ่า หน้าที่ของเขาคือคุ้มครองมู่เทียนอิน ด้วยกฎเกณฑ์นี้เขาจึงไม่มีทางเลือก เมื่อกัดฟันแล้ว มู่หลินจึงพุ่งขึ้นไปสังหารหญิงทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
เขาเป็นขั้นถํ้าวิญญาณชั้นหนึ่ง ส่วนหญิงสองคนนี้เพียงแค่ชั้นจิตวิญญาณชั้นหก การฆ่าพวกนางย่อมง่ายดายมาก
มู่หลินไม่สามารถขัดคำสั่งมู่เทียนอินได้ทำได้เพียงให้พวกนางไม่ต้องเจ็บปวดมากนัก
หลังจากฆ่าผู้หญิงสองคนแล้ว มู่หลินก็หันไปมองมู่เทียนอิน ฝ่ายหลังพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ในห้องยังมีคนป่วยอีกคน”
“นายน้อย” มู่หลินอดไม่ไหวเอ่ยออกมา
มู่เทียนอินกลับแค่นหัวเราะ “มู่หลิน เจ้ายังจะทำไร้เดียงสา ครอบครัวเขาตายในนํ้ามือเราทั้งหมด พวกเราเป็นคู่อาฆาตกันแล้ว เจ้าจะปรานีศัตรูคู่อาฆาตได้หรือ”
“…” มู่หลินพูดไม่ออกและไม่มีอะไรจะพูดอีก เพียงหันกายที่แข็งทื่อ มือถือกระบี่สั้นเดินเข้าไปในห้อง
เพียงครู่เดียว เขาก็กลับมาปรากฎตัวตรงหน้ามู่เทียนอิน อีกครั้งและพูดเสียงเครียดว่า “นายน้อย จัดการเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ”
“อืม” เวลานี้ มู่เทียนอินจึงขานรับด้วยความพึงพอใจ เขาเดินเข้าไปในห้อง ขณะเดินผ่านมู่หลินก็สั่งว่า “เก็บกวาดที่นี่ให้สะอาด ได้กลิ่นคาวเลือดแล้วไม่สบายตัว
เลย”
“ขอรับ นายน้อย” มู่หลินขานรับ หลังจากเขาไปแล้ว แววตาเขาเปลี่ยนแปลงไปมา เรื่องนี้ข้าจะต้องรายงานให้อาวุโสได้รู้ ท่าทางของนายน้อยในเวลานี้ไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่สีของรัตติกาลเริ่มเข้มขึ้น เมื่อหยินเฉินกลับไปหามู่ชิงเกอเขาก็ได้เตรียมของขวัญวันเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
มู่ชิงเกอยืนอยู่ต้านหน้าของขวัญวันเกิดที่เรียงรายอยู่ นางค่อยๆ เดินพิจารณาดู จนสุดท้ายแล้วก็ผงกศีรษะ บอกหยินเฉินว่า “เรื่องที่ให้เจ้าจัดการ ข้าวางใจได้
จริงๆ”
คำชมของมู่ชิงเกอทำให้หยินเฉินยิ้มออกมา เขาถามว่า “ต่อไปจะทำอะไรอีก”
“ต่อไป…” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วยิ้มอย่างนึกสนุกว่า “เวลาที่เหลือก็เดินเล่นในเมืองอู๋หวาเถอะ”