Skip to content

พลิกปฐพี 635

ตอนที่ 635

สำเร็จแต่วัยเยาว์

“ทำไมคุณชายจึงจับได้ว่าข้าเป็นใคร” สาวใช้ที่ยืนหลบอยู่ข้างประตูพลันเอ่ยขึ้น

ขณะที่นางพูดจบ เงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้นก็เดินออกมา เมื่อ ‘องค์หญิงชูเนี่ยน’ ปรากฏตัวขึ้นนัยน์ตาของมู่หลินก็หดลง ขณะนั้นพลันรู้สึกว่าหญิงสาวที่เดินออกมาคล้ายกับเป็นสาวใช้ ส่วนสาวใช้ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขานี้ต่างหากจึงจะเป็นองค์หญิงชูเนี่ยน

ตอนนี้เมื่อนำทุกสิ่งมาปะติดปะต่อเข้าด้วยกันมู่หลินจึงตระหนักได้ว่า…ที่แท้สาวใช้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขามาตลอดนี้ต่างหากจึงจะเป็นองค์หญิงชูเนี่ยน ส่วนหญิงสาวที่เดินออกมาจากหลังฉากกั้นนั้นก็คือสาวใช้

ที่สำคัญคือ เมื่อฟังคำพูดขององค์หญิงชูเนี่ยนก็รู้ว่านายน้อยของเขารู้อยู่แต่แรกแล้ว

มู่หลินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและมองไปทางมู่เทียนอิน คิดในใจว่า ‘นายน้อยของพวกเขาถึงแม้นิสัยจะเหี้ยมโหดทารุณไปบ้าง แต่สติปัญญาร้ายกาจมาก’

อย่างน้อย ตัวเขาเองก็ไม่เห็นพิรุธอะไรแม้แต่น้อย ทันใดนั้น สองตาดำก็หดลงคิดว่า ‘เช่นนั้นแล้ว คำพูดของนายน้อยเมื่อสักครู่นี้คงตั้งใจบังคับให้องค์หญิงชูเนี่ย นตัวจริงแสดงตัว’

เขาเพิ่งคาดเดาเช่นนี้ก็ได้ยินชูเนี่ยนเอ่ยว่า “คำพูดคุณชายเมื่อครู่นี้คงต้องการบังคับให้ข้าแสดงตัว”

มู่เทียนอินยิ้มอย่างสง่างามบอกชูเนี่ยนว่า “คำพูดสักครู่นี้ องค์หญิงโปรดอย่าถือโทษ ถูกต้อง ข้ารู้ตัวตนขององค์หญิงจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะอื่นใด เพียงเพราะเสียง ขององค์หญิงต่างกับเสียงที่ถามข้าขณะที่ยังไม่ได้เปิดประตู ในห้องมีเพียงสองคน อีกทั้งต่อให้องค์หญิงคลุมหน้าไว้ ราศีที่มีอยู่ก็ยังคงผิดธรรมดา ตาของเทียนอินไม่ได้บอด ย่อมมองออกได้”

“ที่แท้เป็นคุณชายเทียนอิน” ชูเนี่ยนผงกศีรษะเล็กน้อย

มู่เทียนอินรักษารอยยิ้มไว้ ผงกศีรษะกลับ

“ในเมื่อคุณชายเทียนอินจับได้แล้วว่าข้าเป็นใคร ข้าก็ไม่ต้องแสร้งทำอีก เชิญคุณชายเข้ามานั่งเถอะ” พูดจบนาง ก็หันกายเข้าไปในห้อง ทุกก้าวเดินบารมีบนร่างนางก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่นางนั่งลงที่โต๊ะ บารมีที่แข็งแกร่งบนร่างนางก็ได้เปิดเผยตบะการบำเพ็ญของนางออกมา

‘ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด!’ ตาดำของมู่เทียนอินหดลง รอยยิ้มที่มุมปากแข็งเกร็งเล็กน้อย เขาเดินไปทางชูเนี่ยน “องค์หญิงชูเนี่ยนเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานให้ดินแดนอู๋หวาจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นราชาเทวะน้อยของดินแดนอู๋หวา”

ชูเนี่ยนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้มีอาการผยองจากคำชื่นชมของมู่เทียนอินแม้แต่นิด นางกลับพูดว่า “ชูเนี่ยนมีอายุ 5,100 ปี ตบะบำเพ็ญเล็กน้อยแค่นนี้ไม่สมควรเอ่ยถึง”

พูดจบ นางก็ยิ้มแล้วพูดกับมู่เทียนอินว่า “หากนับอายุ คุณชายเทียนอินเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโสก็ยังไม่เกินเลย”

มู่เทียนอินนัยน์ตาเปล่งประกาย รู้ว่านางกำลังตอบโต้ที่เขารุ่มร่ามกับนางเมื่อครู่นี้จึงไม่ได้โกรธเคือง บอกว่า “องค์หญิงพูดไม่ถูกแล้ว พวกเราผู้บำเพ็ญอายุไม่ได้มี ความหมาย อีกทั้งถึงแม้องค์หญิงมีอายุมากกว่าข้าเล็กน้อย แต่ดูไม่ออกถึงความชราแม้เพียงนิดเดียว ยังคงสวยงามไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้”

คำพูดของเขามีส่วนจริงใจอยู่บ้าง

สมควรพูดว่า หลังจากเขาได้เห็นชูเนี่ยนแล้ว เป้าหมายที่มีแต่แรกนั้นก็ได้เพิ่มความปรารถนาอันลึกลับส่วนหนึ่งขึ้นมา

ราวกับว่า สาวงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้ สมควรเป็นของเขาอยู่แล้ว

ดวงตาหงส์ของชูเนี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มนิ่งต่อคำชื่นชมของมู่เทียนอิน ส่วนสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก็จ้องมองทั้งคู่ด้วยสายตาระแวดระวัง

ครู่หนึ่ง ชูเนี่ยนจึงพูดว่า “คุณชายเทียนอินยกย่องข้าเช่นนี้ชูเนี่ยนไม่กล้ารับ เทียบกับคุณชายแล้ว พรสวรรค์การบำเพ็ญของข้าไม่ได้นับว่าเก่งกาจ”

นางมองตบะบำเพ็ญของมู่เทียนอินออก ถึงแม้ไม่เท่านาง ทว่านางบอกแล้วว่าอายุของทั้งคู่ต่างกันมากมายนัก แต่ตบะบำเพ็ญกลับห่างเพียงชั้นเดียว

พรสวรรค์เช่นนี้ย่อมร้ายกาจกว่านางจริงๆ

นางพูดอย่างเปิดเผย ไม่มีการแสร้งทำ ไม่มีใจอิจฉาริษยา นี่ทำให้มู่เทียนอินยิ่งดูยิ่งชื่นชอบ ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าเป็นหญิงสาวที่หาได้ยากจริงๆ

ในช่องกั้นด้านหน้าเซียนลู่ไจ มู่ชิงเกอกับหยินเฉินยังคุยกันอยู่

บทเพลงของหญิงสาวดีดพิณใกล้จะจบลง ดูท่าทางคงจะเตรียมจากไปแล้ว

“ได้ยินว่าองค์หญิงชูเนี่ยนคนนี้ไม่ชอบการบำเพ็ญ แต่เล็กกลับชื่นชอบดอกไม้ใบหญ้ากับพิณ แต่นางไม่เคยดีดพิณให้คนนอกฟัง เพลงที่แต่งล้วนให้สาวใช้ข้าง กายออกมาแสดง นับว่าเป็นคนที่มีเอกลักษณ์นัก” มู่ชิงเกอยิ้มพูด

หยินเฉินกลับมองลึกกว่านั้น เอ่ยตรงๆ ว่า “ไม่ว่านางเป็นเช่นไร ในเมื่อนางเป็นองค์หญิงดินแดนอู๋หวา เป็นราชาเทวะน้อยของดินแดนอู๋หวาย่อมเป็นศัตรูกับเจ้าชิงเกอไม่สมควรชื่นชมนางมากเช่นนั้น”

มู่ชิงเกอยิ้มว่า “ข้าไม่ได้ชื่นชมนาง เพียงแค่เล่าเรื่องที่คนอื่นว่าไว้ อีกทั้งถึงแม้ราชาเทวะอู๋หวาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องตระกูลมู่ครั้งนั้น แต่โทษก็ไม่ถึงครอบครัว ขอเพียงนางไม่เป็นศัตรูกับข้า ข้าก็จะไม่ทำอะไรนางเช่นกัน”

“ชิงเกอใจอ่อนลง” หยินเฉินใช้นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองไปที่นาง

มู่ชิงเกอชะงักกะพริบตาปริบมองไปที่เขา

ภายใต้การจับจ้องของนาง หยินเฉินจึงพูดช้าๆ ว่า “ชิง เกอแต่ก่อนนี้ กับข้าศึกไม่ว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอจะต้องกำจัดเบ็ดเสร็จ ตัดรากถอนโคน ไม่มีใจปรานีของ สตรี”

มู่ชิงเกอหัวเราะพลางสั่นศีรษะ

ร่างของนางเอนไปด้านหลังพลางพูดอย่างเกียจคร้านว่า “อาจเป็นเพราะความแค้นของตระกูลมู่ห่างไกลจากตัวข้ามากเกินไป”

ขณะที่พูดประโยคนี้ดวงตาที่ใสกระจ่างของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เรียบนิ่ง

ความจริงแล้ว ความแค้นของนางมีเพียงมู่เทียนอินคนเดียวเท่านั้น

เกี่ยวกับการฟื้นฟูตระกูลมู่นั้นเป็นเพียงหน้าที่ที่นางต้องแบกรับ ความแค้นของการฆ่าล้างตระกูลนั้น ขณะที่สายเลือดตระกูลมู่ตื่นขึ้นในตัวนางนางก็เคยรับรู้ถึงมันมาก่อน

แต่เรื่องที่เนิ่นนานมาแล้วนับหมื่นปีไม่สามารถทำให้นางผูกแค้นกับราชาเทวะที่เคยร่วมทำเรื่องนี้ได้จริงๆ ความเหี้ยมโหดของนาง ความเด็ดขาดของนาง ความไม่ปรานีปราศรัยของนางนั้นก็เพื่อเป็นหลักประกันให้คนในคุ้มครองของนาง ที่นางทำลายล้างราชวงศ์แคว้นฉินก็เป็นเช่นนี้ ที่นางทำลายล้างโลกแห่งยุคกลาง ก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งที่นางทำลายล้างหอหลอมศาสตรากับสำนักหมื่นอสูร สังหารตระกูลเล่ยทั้งหมด นั้นก็เพราะพวกเขาคิดจะสังหารนาง กระทั้งที่โลกแห่ง ยุคกลางนางทำลายล้างตำหนักเทพลงในที่สุดเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

คนจะสังหารข้า ข้าย่อมสังหารคน

นี่เป็นหลักการของนาง

แต่ความจริงแล้ว นางไม่เคยเป็นคนที่เที่ยวสังหารคนไม่เลือกหน้า

“ความแค้นหมื่นปี ห่างไกลจากเจ้ามากเกินไปจริงๆ นั่นล่ะ” หยินเฉินผงกศีรษะนิดๆ มู่ชิงเกอเพิ่งอายุเท่าไรกัน แค่ไม่กี่สิบปีเท่านั่น พูดได้ว่าไม่ว่าไปคว้าใครในเซียนลู่ไจนี้มาก็มีอายุมากกว่านางทั้งนั้น

โดยเฉพาะ นางเองก็ไม่ได้มีความยึดถือที่รุนแรงมากต่อตระกูลมู่จึงไม่แปลกที่นางจะไม่มีความแค้นในจิตใจ หยินเฉินค่อยๆ เข้าใจคำพูดมู่ชิงเกอ

เวลานี้ เผ่าเทพยังไม่ได้ทำอะไรนาง ดังนั้นถึงแม้นางอยากจะฟื้นฟูตระกูลมู่ก็ไม่รู้สึกว่ามีความแค้นอะไรกับเผ่าเทพ แต่หากว่าวันหนึ่งขณะที่นางกำลังทำเรื่องนี้ อยู่มีคนมาขัดขวางนาง กระทั่งจะสังหารนาง เช่นนั้นแล้ว นางก็ย่อมไม่ปรานีแน่

สมควรฆ่าย่อมต้องฆ่า สมควรทำลายย่อมต้องทำลาย นางทำการใดก็ยึดถือตามหลักการของนางเอง ไม่ใช่หลักการที่คนอื่นยึดถือ ดูจากจุดนี้แล้ว ความจริงมู่ชิงเกอนั้นเหมือนเผ่ามารยิ่งกว่าเผ่าเทพเสียอีก

“วันนี้ได้พบหน้าองค์หญิง เทียนอินรู้สึกอิ่มใจอย่างยิ่ง หวังว่าวันหลังพวกเราจะมีวาสนาได้พบกันอีก” มู่เทียนอินพูดจบก็นำมู่หลินหันกายจากไป

มู่หลินตามมู่เทียนอินจากไปด้วยความงุนงง

ส่วนชูเนี่ยนเพียงแค่มองพวกเขาจากไป ไม่ได้แสดงอาการอื่นใด

จนกระทั่งมู่เทียนอินกับมู่หลินเดินออกจากเซียนลู่ไจแล้ว มู่หลินจึงอดถามไม่ได้ว่า “นายน้อย พวกเราไม่ใช่จะลงมือที่ตัวองค์หญิงชูเนี่ยนหรือ”

ใช่แล้ว แผนเดิมไม่ใช่ให้องค์หญิงชูเนี่ยนเห็นความพิเศษในตัวมู่เทียนอินเพื่อเข้าถึงหัวใจของดินแดนอู๋หวาผ่านทางนางหรือ ทำไมคุยกันเพียงคำสองคำก็ไปแล้วเล่า

“องค์หญิงชูเนี่ยนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ วันนี้พอแล้ว หากยังอยู่ต่อจะทำให้นางสงสัย” มู่เทียนอินพูดด้วยอาการแช่มชื่น

มู่หลินก็ยังคงไม่เข้าใจ

เห็นทำทางงุนงงของเขา มู่เทียนอินก็อธิบายอย่างหาได้ยาก “เดิมทีข้านึกว่านางเหมือนหญิงอื่น ถึงแม้เคยเห็นหนุ่มรูปงามมีชาติตระกูลมาแล้วมากมาย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่หวั่นไหว แต่พอได้พบแล้ว ข้าก็เปลี่ยนใจ หญิงเช่นนี้ไม่ใช่จะหวั่นไหวตั้งแต่พบกันครั้งแรก วันนี้ข้าอยากให้นางจดจำข้าในแง่ดี รอจนเข้าวังอู๋หวาแล้วได้พบนางอีกครั้งค่อยคุยเรื่องของที่ข้าต้องการ แบบนี้ก็จะง่ายแล้ว”

มู่หลินฟังแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ก็พอเข้าใจความหมายโดยรวมของมู่เทียนอิน

กล่าวก็คือหากเป็นคนแปลกหน้าก็ยากที่จะสืบหาเบาะแสจากตัวนางได้ การพบกันในวันนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความประทับใจในตัวเขา ครั้งหน้าที่ได้พบกันอีกครั้งนางจะได้ไม่รังเกียจ เพียงแต่มู่หลินก็ยังอดแปลกใจไม่ได้กับท่าทางที่ดู เปลี่ยนแปลงไปของมู่เทียนอิน

นิสัยของเขาไม่เคยอดทนรอคอยเช่นนี้มาก่อน เคยแต่แย่งชิงมา

ภายในเซียนลู่ไจ มนุษย์เทพที่ถูกมู่เทียนอินทำให้กลายเป็นปัญญาอ่อนนั้นถูกมู่หลินซุกช่อนไว้อย่างดีทำให้ไม่มีใครพบเห็น ประตูห้องของชูเนี่ยนยังคงเปิดอยู่ นางนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

“องค์หญิง คนผู้นั้นไม่ใช่บอกว่าจะมีเรื่องจะพูดหรือ เหตุใดจึงไปแล้วเล่า” สาวใช้ข้างตัวนางถามด้วยความสงสัย

ชูเนี่ยนยิ้มบางๆ อธิบายว่า “เขาพูดแล้ว”

“พูดแล้ว?” สาวใช้ประหลาดใจ พูดเมื่อไหร่กัน เหตุใดนางถึงไม่ได้ยิน

ชูเนี่ยนยิ้มมองนาง “เขาจับได้ว่าข้าเป็นใครก็เท่ากับพูดแล้ว สิ่งที่เขาจะพูด ก็คือความฉลาดปราดเปรื่องของเขา พรสวรรค์เขาไม่เลว มีการสังเกตที่ละเอียดลออ”

สาวใช้เพิ่งจะเข้าใจจึงผงกศีรษะว่า “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เขาเป็นผู้ชื่นชมองค์หญิง ที่พบกันครั้งนี้ ก็เพื่อให้องค์หญิงเห็นถึงความพิเศษของเขา”

ชูเนี่ยนยิ้มบางๆ ไม่มีอาการเอียงอายจากคำพูดของสาว สิ่งที่มีก็มีเพียงอาการจนปัญญาที่ฉายชัดบนใบหน้าเท่านั้น

นางมีความประทับใจต่อมู่เทียนอินจริง แต่ความประทับใจนี้ไม่ใช่แบบเดียวกับที่มู่เทียนอินหวังไว้

ชูเนี่ยนลุกขึ้นมาค่อยๆ ก้าวไปที่หน้าต่าง มองไปยังทิวทัศน์ห่างไกลด้านนอกแล้วพึมพำในใจ ‘จิตใจข้านิ่งสงบมานานหลายพันปีแล้ว ใครจะมาทำให้สั่นไหวคงไม่ ได้ง่ายนักหรอก’

เวลานี้ สาวใช้ที่ดีดพิณก็เดินเข้ามา หลังจากเข้ามาแล้ว นางก็เอ่ยด้วยความเคารพว่า “องค์หญิง ข้ากลับมาแล้ว”

ชูเนี่ยนหยุดความคิดแล้วหันไปบอกสองสาวใช้ว่า “อืม พวกเรากลับกันเถอะ”

กลับหรือ

ทั้งสองสาวใช้สบตากัน นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ

พวกนางเพิ่งมาเมืองอู๋หวาเพียงครึ่งวันเอง เหตุใดจึงจะกลับกันแล้วเล่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version