ตอนที่ 689
เจ้าสาวเป็นใคร
เหยาชิงไห่ดีใจจนออกนอกหน้ารีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดินผ่านสองคนคนนั้น ยังมองด้วยความระแวงแล้วจึงผ่านเข้าประตูมายังเบื้องหน้าหยินเฉิน
จนเมื่อเข้ามาใกล้แล้วเขาจึงร้องด้วยความยินดีว่า “เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย!”
คำพูดง่ายๆ ไม่กี่คำนี้มีความหมายมากมายอยู่ในนั้น
เนื่องจาก ก่อนเขามาไม่ได้แน่ใจเลยว่ามู่ชิงเกอ ราชาเทวะน้อยมู่แห่งดินแดนฮ่วนเยวี่ยคนนี้จะเป็นคนที่เขารู้จัก คือมู่ชิงเกอที่มาจากโลกแห่งยุคกลาง
เพียงแค่เพราะในจิตใจเขาเชื่อมั่นว่าคนที่สามารถทำเรื่องมากมายราวกับมารปีศาจในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้ก็คือมู่ชิงเกอที่เขารู้จัก
ความคิดที่อยากจะลองมาเสี่ยงดูสักครั้งทำให้เขามาที่นี่ แต่พอถูกปฏิเสธติดกันสองหนก็ทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมา
ยังดีที่เขาได้พบกับหยินเฉินจึงไม่ได้คลาดกันไป
หยินเฉินเห็นความดีอกดีใจของเขาก็ผงกศีรษะ
เหยาชิงไห่พูดทันทีว่า “ชิงเกออยู่ที่ไหนรีบพาข้าไปพบนาง ข้ามีเรื่องสำคัญมาก”
อาการยินดีของเขาแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรน ในความรู้สึกของหยินเฉินนั้น เหยาชิงไห่เป็นคนมั่นคง ฉลาดเฉลียวตลอดมา การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่า ประหลาดใจมาก
ไม่ได้เสียเวลา หยินเฉินผงกศีรษะเดินนำเหยาชิงไห่ไปหามู่ชิงเกอ
พอรู้ว่าเหยาชิงไห่จะมา มู่ชิงเกอก็ได้ให้ทั้งสี่คนแยกย้ายกลับไปแล้ว ดังนั้นขณะที่หยินเฉินนำเหยาชิงไห่เข้ามา ในห้องจึงเหลือมู่ชิงเกอเพียงคนเดียว
“ชิงเกอ” พอเห็นมู่ชิงเกอ ถึงแม้เป็นมู่ชิงเกอในชุดผู้ชายก็ยังคงทำให้เหยาชิงไห่ตื่นเต้นไม่น้อยอยู่ดี
เขาวิ่งผ่านหยินเฉินพุ่งเข้าไปในห้องไปยืนอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ
“ดีจังเลย ข้าได้เจอเจ้าจนได้” เหยาชิงไห่พูดด้วยความยินดีสุดแสน
“พี่เหยา ไม่ได้เจอกันนานเลย” สหายเก่าได้พบกันอีกครั้ง นัยน์ตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอผุดความยินดีออกมา นางสังเกตเห็นชุดลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงของเห ยาชิงไห่จึงพูดว่า “เพียงไม่กี่ปี นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็บินขึ้นมาแล้ว ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงด้วย”
เหยาชิงไห่ถอนใจสั่นศีรษะแล้วพูดว่า “ว่าไปแล้ว เรื่องมันยาว”
ขณะที่มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจ เขาก็พูดอย่างร้อนรนว่า “ชิงเกอ เจ้ามาก็ดีแล้ว เซียนเสวี่ยจะได้มีทางรอดเสียที”
เซียนเสวี่ย!
ซีเซียนเสวี่ย?
ตาดำของมู่ชิงเกอหดลง ตกตะลึงไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
มู่ชิงเกอเห็นปฏิกิริยาเหยาชิงไห่ ทั้งจากคำพูดเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
นางให้เหยาชิงไห่นั่งลงรินนํ้าชาให้เขาถ้วยหนึ่ง ให้หยินเฉินไปเฝ้าอยู่ข้างนอกแล้วจึงบอกเขาว่า “มีเรื่อง อะไรก็ค่อยๆ พูด เล่ามาให้ละเอียด เจ้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใคร จะทำอะไรเจ้าได้”
นางเห็นชัดเจนว่าตบะบำเพ็ญของเหยาชิงไห่ เวลานี้เป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณชั้นหนึ่งเท่านั้น
อดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งในภาคตะวันออกของโลกแห่งยุคกลาง สามอันดับแรกของทำเนียบชิงอิง พอมาถึงแผ่นดินเทพมารกลับต้องมีชีวิตอยู่ด้วยขั้นบำเพ็ญที่อ่อนแอที่สุด ความแตกต่างนี้คิดดูก็รู้
เวลานี้นางราวกับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหยาชิงไห่จึงเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้
‘ไม่ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง แต่จำต้องรู้กาลเทศะ’ มู่ชิงเกอเอ่ยแก้ในใจ เหยาชิงไห่ราวกับดูระแวดระวังมากขึ้น ไม่ใช่เขาที่เปลี่ยน แต่สภาพแวดล้อมบีบให้เขาต้องอดทนอดกลั้น
เพราะในดินแดนจื่อกวงเขาไม่ใช่นายน้อยตระกูลเหยา อัจฉริยะตระกูลเหยาที่ผู้คนแหงนมองด้วยความอิจฉาอีกต่อไป
เหยาชิงไห่นิ่งอยู่ตรงข้ามมู่ชิงเกอ ราวกับกลับสู่ช่วงเวลาที่อยู่ในโลกแห่งยุคกลาง ดื่มชาร้อนแล้ว เขาก็สงบนิ่งลง
ทันใดนั้น เขาก็ไอเบาๆ สองครั้ง รีบวางถ้วยชาเปล่าในมือลง อีกมือหนึ่งปิดปากไว้
มู่ชิงเกอเห็นเช่นนั้นก็ดึงมือเขามาจับชีพจร
ครู่หนึ่ง นางก็พูดเสียงเครียดว่า “เจ้าบาดเจ็บ แล้วเพิ่งจะบาดเจ็บเสียด้วย”
เหยาชิงไห่ยิ้มน้อยๆ พลางสั่นศีรษะ แสดงท่าทีว่าไม่เป็นไร
หยินเฉินกลับเอ่ยขึ้นว่า “เขาเพิ่งโดนสุนัขเฝ้าประตูสองตัวทำร้ายเอาน่ะ”
สองคนนั่น!
ดวงตามู่ชิงเกอผุดประกายมืดมิดแวบหนึ่ง สองคนที่เฝ้าประตูนั้นเป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณชั้นสี่ อยู่ข้างนอกก็แค่แสดงท่าทางไปอย่างนั้น คนที่เฝ้าดูจริงๆ แล้วอยู่ในที่ลับต่างหาก
แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้นักเพราะเกรงว่ามู่ชิงเกอจะพบตัวเข้า
เหยาชิงไห่หยิบยาเม็ดที่ปรุงด้วยตัวเองเม็ดหนึ่งขึ้นมาแล้วกินเข้าไป หลังจากผ่อนลมหายใจแล้วจึงบอกมู่ชิงเกอว่า “ไม่เป็นไร กินยาแล้วเดี๋ยวก็หาย”
มู่ชิงเกอดมกลิ่นยาที่หลงเหลืออยู่ เลิกคิ้วว่า “โอสถระดับเทพ?” นางจำได้ว่าเหยาชิงไห่เข้าถึงขั้นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพพร้อมนางในวันเดียวกัน นางกลอกตาแล้วยิ้ม “ดูแล้วเจ้าคงซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงไว้”
เหยาชิงไห่ผงกศีรษะ “ข้าซ่อนเร้นพลังอาจารย์ปรุงยาจริง แต่ก็เพราะสถานการณ์บังคับ”
“ค่อยๆ พูด ไม่ต้องรีบ” มู่ชิงเกอรินชาให้เหยาชิงไห่อีกหนึ่งถ้วย
เหยาชิงไห่ถอนใจยาวแล้วจึงพูดว่า “ข้าได้ยินลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงพูดถึงราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยว่าชื่อมู่ชิงเกอ จึงตั้งใจมาดูว่าเป็นเจ้าหรือไม่ หากเป็น เจ้า ซีเซียนเสวี่ยก็มีทางรอดแล้ว”
“เซียนเสวี่ยก็มาด้วยหรือ” มู่ชิงเกอยิ่งประหลาดใจ นางอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “พวกเจ้ามากันทั้งคู่ แล้วคนอื่นๆ เล่า”
ตบะบำเพ็ญของเว่ยมั่วลี่กับจีเหยาฮั่วสูงกว่าพวกเขาทั้งสองคนนี่
ในเมื่อพวกเขามาได้ สองคนคนนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่มากัน
แต่เหยาชิงไห่กลับสั่นศีรษะนิดๆ บอกมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ เจ้าฟังข้าก่อน ข้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมด”
“ดี” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ
“หลายวันนี้ในดินแดนจื่อกวง ประดับประดาไปด้วยธงทิว เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร” เหยาชิงไห่ถาม
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดมากบอกว่า “ได้ยินว่าราชาเทวะจื่อกวงจะแต่งงาน ทั้งยังส่งเทียบเชิญมาให้ เชิญข้ารวมทั้งศิษย์พี่หลายคนไปร่วมงานเลี้ยงด้วย”
เหยาชิงไห่แค่นยิ้ม “จะจัดงานแต่งงานจริง แต่เจ้ารู้ว่าเจ้าสาวที่ราชาเทวะจะแต่งงานด้วยเป็นใครไหม”
มู่ชิงเกอหรี่ตา ผุดท่าทีครุ่นคิด
นางเชื่อว่าเหยาชิงไห่ไม่พูดเรื่องเพ้อเจ้อ ในเมื่อเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนนั้นก็หมายความว่าเจ้าสาวเรื่องนี้เกี่ยวกับพวกเขา เมื่อครู่นี้เขาก็เอ่ยถึงซีเซียนเสวี่ย…
ตาดำมู่ชิงเกอหดลงพูดเสียงเครียดว่า “เป็นเซียนเสวี่ย?”
ท่ามกลางความตกตะลึงของนาง เหยาชิงไห่กลับพยักหน้า
สองตามู่ชิงเกอเบิกกว้าง “เซียนเสวี่ยจะแต่งงานกับราชาเทวะจื่อกวงได้อย่างไร”
ความรู้สึกของซีเซียนเสวี่ยที่มีต่อนางนั้น นางรู้ดี ถึงแม้ว่านางจะเคยบอกไปตรงๆ แล้วว่าระหว่างพวกนางไม่มีวันลงเอยกันได้ แต่ซีเซียนเสวี่ยก็ยังคงพึ่งพาและเชื่อมั่นในตัวนางอย่างมาก
ความรักเช่นนั้นไม่ใช่ของปลอม
เหตุใดนางจึงตกลงแต่งงานกับราชาเทวะจื่อกวง ไม่ใช่ว่าซีเซียนเสวี่ยจะไม่รักคนอื่นหรือ แต่ถึงแม้นางจะชอบคนอื่นก็คงไม่มีวันชอบราชาเทวะจื่อกวงแน่
“นางถูกบังคับ” มู่ชิงเกอสามารถมั่นใจในจุดนี้ได้เลย
จริงดังนั้น เหยาชิงไห่ผงกศีรษะยอมรับการคาดเดาของนาง
มู่ชิงเกอเครียดขึ้นมา รู้สึกถึงความลำบากของเรื่องนี้ การที่ซีเซียนเสวี่ยกับเหยาชิงไห่ปรากฎตัวในดินแดนจื่อกวง จุดนี้ก็ทำให้นางประหลาดใจมากพอแล้ว แต่ไม่นึกว่าผู้หญิงที่ราชาเทวะจื่อกวงจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นซีเซียนเสวี่ย