ตอนที่ 71
สุดท้ายก็หลงกล!
ฉินอี้เหยามองนางอย่างไม่เข้าใจแวบหนึ่ง คิดว่านางเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับรัชทายาทจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้อง วันนี้ข้าจะอยู่กับเจ้า อีกอย่างดูจากอาการของป๋ายซีเยวี่ยตอนนี้ มีผู้หญิงสักคนดูแลจะดีกว่า”
‘โง่!’ มู่ชิงเกอแอบด่าในใจ
ตอนนี้นางจะบีบคั้นชินจิ่นซิวมากไปกว่านี้ไม่ได้ไม่อย่างนั้นหากเจ้านี่เกิดบ้าขึ้นมา วันนี้ก็ยากจะบอกได้ว่าเรื่องราวจะจบลงอย่างไร
ฉินอี้เหยาไม่ยอมออกไป มู่ชิงเกอจึงต้องรีบไล่ฉินจิ่นซิวออกไป แล้วจัดการกับกระถางธูป
มู่ชิงเกอหันหน้าไป พูดเองเออเองว่า “เอ๊ะ? เหมือนกระหม่อมจะได้ยินเสียงฝีเท้า หรือว่าฮองเฮาจะทรงพาคนเข้ามาแล้ว”
ฉินจิ่นซิวสะดุ้ง แม้คำพูดของมู่ชิงเกอจะบาดหูเพียงใด แต่กลับทำให้เขาสงบลงได้
ด้านหน้าเขามีเสด็จพ่อคอยจับตามองอยู่ ส่วนด้านหลังก็มีรุ่ยอ๋องคอยจ้อง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองโดนคนอื่นจับจุดได้เด็ดขาด เขาเก็บความโกรธแค้นเอาไว้ในใจเอาไว้ ในที่สุดฉินจิ่นซิวก็ปล่อยป๋ายซีเยวี่ยแล้วลุกขึ้นยืน
“จัดการเรื่องนี้ให้ดีๆ เล่า ไม่อย่างนั้น หึ” ทิ้งคำพูดอันหยิ่งยโสเอาไว้ แล้วชินจิ่นซิวก็เดินออกจากตำหนักไป ราวกับกลัวว่าหากช้าไปอีกเพียงก้าวเดียวจะมีคนจับได้อย่างนั้น
พอฉินจิ่นซิวออกไป ฉินอี้เหยาก็วิ่งเข้าไปหาป๋ายซีเยวี่ย ดึงผ้าลงมาผืนหนึ่งมาห่อตัวนางเอาไว้
มู่ชิงเกอเดินไปที่กระถางธูปทันที แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง แล้วผลักกระถางธูปตกลงไปบนพื้น เหยียบธูปที่จุดอยู่ให้ดับ
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอจึงพูดกับฉินอี้เหยาว่า “ช่วยดูแลนางด้วย” พูดจบก็เดินออกจากห้องโถง แล้วรออยู่ตรงระเบียง
ไม่นานนัก ฮองเฮาก็นำคนกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาอย่างเกรียงไกร
เห็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่นอกตำหนักจากที่ไกลๆ จึงทรงถามว่า “คุณชายมู่ ทำไมถึงไปยืนอยู่ตรงนี้ได้? ข้าได้ยินว่าแม่นางป๋ายหายตัวไป กำลังให้คนไปตามหาให้ทั่วอยู่” มู่ชิงเกอแอบยิ้มเยือกเย็นในใจ หญิงผู้นี้คงได้ยินข่าวว่าลูกชายของตนเองและป๋ายซีเยวี่ยหายตัวไปด้วยกันจึงรีบร้อนมาขนาดนี้
และก็ไม่รู้จะบอกปัดบรรดาท่านหญิงทั้งหลายที่มาด้วยอย่างไร จึงได้แต่จำใจให้พวกนางมาด้วย
“ทูลฮองเฮา พบตัวป๋ายซีเยวี่ยแล้วพะยะค่ะ แค่ประมาทจึงหกล้ม ตอนนี้องค์หญิงฉางเล่อกำลังดูแผลและเสื้อผ้าที่เปื้อนให้นางอยู่ในตำหนักพะยะค่ะ’’ มู่ชิงเกอพูดด้วยรอยยิ้ม ฟังดูไม่มีพิรุธแม้แต่นิด
คำตอบของนาง ทำให้พระทัยที่บีบเกร็งของฮองเฮาผ่อนคลายลง พระนางยิ้มจางๆ พลางพยักพระพักตร์แล้วตรัสว่า “เจอก็ดีแล้ว มีฉางเล่ออยู่ตรงนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เข้าไปล่ะ หากต้องการอะไร ก็เรียกใช้นางกำนัลแล้วกัน”
“ขอบพระทัยฮองเฮา” มู่ชิงเกอก้มหน้าลงพูด
จากนั้น ฮองเฮาก็เหลือบมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทด้านหลังมู่ชิงเกอ แล้วจึงนำทุกคนเดินออกไปอย่างสง่างาม
พอฮองเฮาและคนอื่นๆ ลับตาไป มู่ชิงเกอจึงค่อยๆ เปิดประตู
ฉินอี้เหยาเดินออกมา พูดกับมู่ชิงเกอว่า “แม่นางป๋าย เหมือนจะได้รับบาดเจ็บที่กระดูก ห้ามเคลื่อนไหวร่างกาย ข้าจะให้คนไปเอารถม้า เราไปกันตอนนี้เลย”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับการจัดการของนาง
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอเห็นด้วย ฉินอี้เหยาก็รีบไปจัดการทุกอย่าง องค์หญิงภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ ค่อยๆ เปิดเผยด้านที่ดีงามออกมา
สักพัก รถม้าขององค์หญิงฉางเล่อก็เข้าสู่พื้นที่ตำหนักแห่งนี้
ฉินอี้เหยาพูดกับมู่ชิงเกออย่างลำบากใจ “อย่างไรก็ ตามแม่นางป๋ายก็ยังเป็นหญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน ทหารองครักษ์ของข้าจะไปแตะต้องตัวนางก็คงจะไม่สมควร เหล่านางกำนัลก็กลัวว่าจะไม่ระวังจนทำให้กระดูกเคลื่อน”
มู่ชิงเกอมองนาง หลังจากที่ฟังนางพูดจบก็ถามว่า “ทรงคิดจะทำอย่างไร?”
ฉินอี้เหยากัดปาก พลางก้มหน้าลง “เจ้าโตมาพร้อมกับนาง งั้นเจ้าก็อุ้มนางขึ้นรถม้าเถิด”
มู่ชิงเกอคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พระองค์ช่างหวังดี”
ฉินอี้เหยาหน้าซีดไม่พูดอะไรใจจริงแล้วนางไม่อยากให้มู่ชิงเกอใกล้ชิดป๋ายซีเยวี่ย
แต่ท่าทางของป๋ายซีเยวี่ยทำให้นางเกิดความเห็นใจขึ้นมาอีกครั้ง
ความเงียบของนาง ทำให้มู่ชิงเกอแอบถอนหายใจ ยื่นมือออกไปตบแก้มนางเบาๆ สองที “มีใจที่เมตตานั้นดี แต่ต้องดูคนด้วย นิทานชาวนากับงูเห่าทรงเคยฟังหรือ ไม่?”
ฉินอี้เหยาส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอยกขิมพลางพูดว่า “วันหลังกระหม่อมค่อยเล่าให้ฟัง” พูดจบก็เดินเข้าตำหนักไป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉินอี้เหยาไม่ได้ฟังว่ามู่ชิงเกอพูดอะไรไปบ้าง แต่จิตใจพลันหวั่นไหวไปกับความสนิทสนมกะทันหันนั่น
รอจนนางรู้สึกตัว มู่ชิงเกอก็อุ้มป๋ายซีเยวี่ยเดินออกมา แล้วขึ้นรถม้าไปแล้ว
ฉินอี้เหยามองทั้งสองที่ขึ้นรถม้าไป ในใจก็รู้สึกขมฝาด ในขณะที่นางกำลังทำหน้าอมทุกข์มู่ชิงเกอผู้เป็นเจ้าของชุดสีแดงที่ขึ้นรถม้าไปแล้ว ก็ตะโกนเรียกนางว่า “ยังไม่ขึ้นมาอีก รออะไร”
จิตใจที่เย็นชาของฉินอี้เหยา เมื่ออยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอก็ผุดความหวานละมุนขึ้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วขึ้นรถไป
รถม้า ค่อยๆ ออกจากบริเวณเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์
ป๋ายซีเยวี่ยที่เสนอตัวมา คิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะต้องกลับจวนตระกูลมู่ในสภาพที่ยํ่าแย่ขนาดนี้
ผู้มีฐานันดรศักดิ์ก็ยังไม่ทันได้รู้จัก แต่กลับเกือบถูกรัชทายาท…
เมื่อคิดถึงความอันตรายในตำหนักเมื่อครู่ นํ้าตาของป๋ายซีเยวี่ยก็ไหลลงมาอีกครั้ง
กระดูกได้รับบาดเจ็บ ทำได้แค่นอนเฉยๆ เพราะหากไม่ระวังไปโดนเข้า ก็อาจจะทำให้ภายในได้รับความกระทบกระเทือนหนักกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น พื้นที่กว่าครึ่งในรถม้าจึงให้ป๋ายซีเยวี่ยนอนลง
โชคดีที่ว่า นางเป็นสายเหลืองขั้นกลาง บาดแผลแค่นี้ยังพอทนได้ ขอเพียงรักษาตัวดีๆ ก็คงไม่เป็นอะไรมาก เรื่องนี้ค่อยทำให้นางวางใจ
ตอนแรกคิดว่า คราวนี้ตนเองต้องแย่แน่ๆ แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายกลับเป็นมู่ชิงเกอที่มาช่วยตนเองไว้
คนเสเพลไร้ค่าผู้นี้ เหมือนจะไม่ได้ไร้ประโยชน์เพียงนั้น
ป๋ายซีเยวี่ยที่นอนอยู่ นึกถึงภาพก่อนหน้านี้ที่มู่ชิงเกอเจรจากับรัชทายาทที่ดูน่ากลัวถึงเพียงนั้น แต่เพียงแค่สองสามประโยคก็ช่วยตนเองเอาไว้ได้ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา เพราะร่างกายได้รับบาดเจ็บทำให้ความรู้สึกปั่นป่วนอัน แปลกประหลาดที่มองข้ามไปในตอนแรก ขณะนี้เหมือนจะกำเริบขึ้นมา
ใบหน้าอันขาวซีดของป๋ายซีเยวี่ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและรู้สึกร้อน แต่เพราะนางนอนอยู่ ทำให้ทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างๆไม่รู้
“ชิงเกอ”
ป๋ายซีเยวี่ยที่กินพื้นที่ในรถม้ามากกว่าครึ่ง ทำให้ฉินอี้เหยาต้องเบียดอยู่กับมู่ชิงเกอ
เมื่อได้ยินเสียงสั่นๆ ดังขึ้นจากข้างหลัง มู่ชิงเกอจึงหัน กลับไปมอง
สิ่งที่เห็นคือ สายตาอันอ่อนโยนดุจสายนํ้าและท่าทางที่ ดูงดงามเย้ายวน
“ทรงเป็นอะไรไป?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
“ข้า…ข้าไม่รู้ รู้สึกร้อนไปทั้งตัว ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง”
ฉินอี้เหยาพูดเบาราวกับเสียงยุง นํ้าเสียงอันเย็นชานั้นแฝงไปด้วยความยั่วยวน