ตอนที่ 742
ราชาเทวะ ท่านแก่แล้ว
‘นางดีเท่าข้าไหม’
มู่ชิงเกอได้ยินเสียงหลียวนกะทันหันก็สะดุ้งตกใจ
ยังดีที่นางควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอดจึงไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดอะไรออกมา เพียงแต่นางก็ยังมองไปที่หลียวนด้วยความสงสัย ‘ผู้หญิงคนนี้กำลังเล่นอะไรอีก’
หากบอกว่าหลียวนชอบตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ต่อให้หลียวนยอมรับเองนางก็ยังไม่เชื่อ
ในเมื่อไม่ได้ชอบแล้วคำพูดเมื่อครู่นี้คืออะไรกันแน่
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอมองมาที่ตัวเอง หลียวนก็แสดงท่าทีเย็นชาเหมือนเดิม นางแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจมู่ชิงเกอ แต่กล่าวกับชูเนี่ยนว่า “องค์หญิงชูเนี่ยน เจ้าเป็นราชาเทวะน้อยดินแดนอู๋หวา ส่วนราชาเทวะน้อยมู่ มาจากดินแดนฮ่วนเยวี่ย พวกเจ้าราชาเทวะน้อยสองคนสามารถเป็นเพื่อนดื่มสุราด้วยกันได้ หากแพร่ออกไปก็ เป็นเรื่องดี”
ชูเนี่ยนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดต่อ
“ที่ตามพวกเจ้ามาเพื่อจะบอกว่า พวกเจ้าสองคนต่างจะไปยังป่าอสูร ไปด้วยกันได้พอดี” หลียวนพูด
จุดหมายของชูเนี่ยนกับจุดหมายของมู่ชิงเกอนั้นพวกนางทั้งสองคนต่างไม่รู้มาก่อน
เวลานี้ได้ยินหลียวนพูดถึง ทั้งคู่จึงสบตากันด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าก็จะไปป่าอสูรด้วยหรือ” ชูเนี่ยนเอ่ยกับมู่ชิงเกอด้วยความประหลาดใจ
มู่ชิงเกออมยิ้มพยักหน้า “ข้ายังไม่ทันบอก ไม่นึกว่าเจ้าก็จะไปป่าอสูรด้วย”
ได้ยินมู่ชิงเกอยอมรับ ชูเนี่ยนก็แย้มยิ้มอย่างงดงาม “ดีแล้ว พวกเราจะได้เป็นเพื่อนร่วมทางกัน”
“คิดออกเดินทางเมื่อไร” มู่ชิงเกอถาม
ชูเนี่ยนนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงถามมู่ชิงเกอว่า “เจ้าจะไปเมื่อไหร่หรือ”
“ข้าอย่างไรก็ได้” ความจริงมู่ชิงเกอจะบอกว่า ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี แต่พอนึกถึงข้อสงสัยที่มีอยู่หลายข้อแล้ว จึงเปลี่ยนคำพูด ข้อสงสัยหลายข้อนั้นย่อมต้องจัดการให้ชัดเจนก่อน
“ดีแล้ว เวลาเดินทางพวกเราก็ไปด้วยกันเถอะ” ชูเนี่ยนว่า
“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งคู่คุยกันไปมาราวกับลืมหลียวนไว้ด้านข้าง
หลียวนยิ่งมองดูยิ่งโมโหจึงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงขึ้น
พอนางแค่นเสียงขึ้นมาจึงเป็นการตัดบทการพูดคุยกันของมู่ชิงเกอกับชูเนี่ยนลง เห็นทั้งคู่มองมาทางนาง นางจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเพลียแล้ว ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน ข้าก็คงไม่ต้องแนะนำอีก พวกเจ้าออกไปเถอะ”
ชูเนี่ยนรู้สึกประหลาดใจ มองไปทางมู่ชิงเกอ แต่เห็นมู่ชิงเกอไม่มีปฏิกิริยาอะไรจึงออกจากวังราชาเทวะพร้อมกันกับนาง
เมื่อเดินออกจากวังราชาเทวะแล้วชูเนี่ยนก็มองกลับไป เห็นประตูวังราชาเทวะกำลังค่อยๆ ปิดสนิทลง
นางกล่าวกับมู่ชิงเกอด้วยความแปลกใจว่า “เหตุใดขาจึงรู้สึกว่าราชาเทวะคนนี้มีอะไรประหลาด”
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ความคิดของราชาเทวะ พวกเราอย่าไปคาดเดาจะดีกว่า”
ชูเนี่ยนพยักหน้าแล้วละสายตากลับคืน
“จริงด้วย ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าเหตุใดอยู่ ดีๆ จึงจะไปป่าอสูร” มู่ชิงเกอถาม นางคิดในใจ ‘หรือว่า นางรู้ชาติกำเนิดของตัวเองแล้ว รู้ว่าตัวเองไม่ใช่เผ่าเทพ แต่เป็นเฟิ่งหวงตัวหนึ่ง’
“ข้าเองก็ไม่รู้” ใครจะรู้ว่าชูเนี่ยนกลับส่ายหน้าด้วยแววตาสับสนกับคำถามของมู่ชิงเกอ
“ไม่รู้?” มู่ชิงเกองุนงง
หรือว่าที่ตัวเองคาดเดาจะมีปัญหา ชูเนี่ยนยังไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง
ชูเนี่ยนพยักหน้านิดๆ นัยน์ตาเคว้งคว้าง “เพียงแต่ขณะที่อยู่ดินแดนจื่อกวง มีเสียงหนึ่งบอกอยู่ในใจตลอดเวลาว่าให้ข้าไปป่าอสูรสักเที่ยว ไปแล้วก็จะเข้าใจได้เอง”
มู่ชิงเกอมองนาง นึกถึงคำพูดโห่ว เขาบอกว่าเผ่าเฟิ่งหวง การนิพพานครั้งแรกไม่ใช่หมื่นปี ยาวสั้นอยู่ที่แต่ละคน เมื่อชูเนี่ยนเข้านิพพานครั้งแรกก็จะระลึกถึงชาติกำเนิดของตัวเองได้และจะกลายเป็นเฟิ่งหวงอย่างแท้จริง
‘หรือว่าความรู้สึกไม่ชัดเจนของชูเนี่ยนเวลานี้ เป็นสัญญาณของการนิพพาน’ มู่ชิงเกอคิดในใจ
“ต่อมาข้าตามบิดากลับดินแดนอู๋หวา แต่เสียงนั้นก็ยังคงอยู่ ผ่านไปแต่ละวัน ความรู้สึกว่าต้องไปป่าอสูรก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วข้าก็ทนไม่ไหวจริงๆ จึงบอกบิดาว่าจะออกมาฝึกฝนหาประสบการณ์ จากแผ่นดินเทพใต้จนมาถึงที่นี่ข้าตั้งใจจะพักผ่อนสักพักก็จะออกเดินทางไปป่าอสูร” ชูเนี่ยนอธิบายให้มู่ชิงเก อฟังอย่างละเอียด
คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจในทันที ศาลาอีเยี่ยที่ถูกคุ้มกันโดยเขาวงกตนั้นนางยังไม่เคยไป ยิ่งไม่รู้ถึงประวัติที่มาของตัวเอง
ไม่แน่ว่าการไปป่าอสูรครั้งนี้จะทำให้นางนึก ทุกเรื่องออกได้หมด ถึงเวลานั้นแล้ว นางยังจะยอมรับราชาเทวะอู๋หวาบิดาคนนี้หรือไม่นะ
หญิงเฟิ่งหวงที่ถูกคนใช้วิชาลับควบคุม นอนอยู่ในศาลาอีเยี่ย ตกอยู่ในภาวะกึ่งตายเพื่อยับยั้งการนิพพานนั้นจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ นางกับราชาเทวะอู๋หวามีความสัมพันธ์อะไรกัน
“ใช่แล้วชิงเกอ เจ้าไปป่าอสูรมีธุระสำคัญอะไรไหม” ชูเนี่ยนพูดเรื่องตัวเองจบก็ถามมู่ชิงเกอด้วยความสงสัย
มู่ชิงเกอตอบง่ายๆ เพียงว่า “อืม เพื่อนสนิทข้าอยู่ที่ป่าอสูรน่ะ ข้าไปหาพวกเขาด้วยธุระเล็กน้อย”
“หากเจ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ไปพร้อมกับข้าได้ไหม” ชู เนี่ยนถามอย่างไม่แน่ใจ
มู่ชิงเกอมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ชูเนี่ยนเม้มปากเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าทำไม ข้าค่อนข้างหวาดหวั่นกับการเข้าป่าอสูร แต่จะไม่เข้าก็ไม่ได้ ข้าจึงอยากให้เจ้าอยู่กับข้าสักพักหลังจากเข้าป่าอสูรไปแล้ว แน่ นอนว่า หากเจ้ามีธุระสำคัญ ข้าย่อมไม่รบกวนเจ้า เจ้าจะแยกไปเมื่อไหร่ก็ได้”
มู่ชิงเกอคิดแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนร่วมดื่มสุรา เจ้าออกปากแล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร แต่ข้าก็ต้องบอกก่อนว่า ข้าจะอยู่ด้วยกับเจ้าได้ นานเท่าไรนั้นก็ยังไม่อาจแน่ใจได้”
“ได้ ข้าเข้าใจ ขอบใจเจ้ามาก” ชูเนี่ยนยิ้มออกมาในที่สุด
คืนนั้น มู่ชิงเกออยู่ในห้องที่ตำหนักข้าง กำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญ
ทันใดนั้นก็มีคนเคาะประตู
นางลุกขึ้นเปิดประตู พบว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูนั้นก็คือสตรีดูแลวังราชาเทวะที่ยืนอยู่ข้างกายหลียวน เมื่อตอนกลางวัน
“ราชาเทวะเชิญพบ” สตรีดูแลวังราชาเทวะกล่าวออกไปตรงๆ
นัยน์ตามู่ชิงเกอสาดประกายวูบหนึ่ง ปฏิเสธว่า “ดึกแล้วไม่สะดวก หากราชาเทวะมีเรื่องอะไรรอไว้รุ่งขึ้นจะดีไหม”
“ราชาเทวะบอกว่าต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ต้องใส่ใจมารยาทชาวโลกหรอก” สตรีดูแลวังราชาเทวะไม่ยอม เลิกราง่ายๆ
มู่ชิงเกอคิดแล้วยิ้มว่า “ก็ได้ รอข้าสักครู่”
จัดเสื้อผ้าแล้วมู่ชิงเกอก็เดินตามสตรีดูแลวังราชาเทวะไปยังวังราชาเทวะอีกครั้ง ครั้งนี้นางถูกนำไปยังตำหนักบรรทมของหลียวนโดยตรง
ขณะที่นางพบหลียวนอีกครั้งนั้น นางราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย บนร่างสวมเพียงชุดโปร่งบางเบา เรือนร่างอรชรเผยให้เห็นวับๆ แวมๆ บนผิวนางยังมีร่องรอยผ่านการอบไอนํ้าร้อน ผุดสีชมพูอ่อนๆออกมา
“มาแล้วหรือ เชิญนั่ง” สายตาหลียวนกวาดผ่านมู่ชิงเกอแล้วยกมือชี้ไป
มู่ชิงเกอมองไปตามที่นางชี้ เป็นตั่งนุ่มตัวหนึ่ง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแต่ไม่ได้ขยับเอ่ยถามตรงๆ ว่า “ไม่ทราบว่าราชาเทวะเรียกข้ามาเวลาดึกมีธุระอะไรหรือ”
ที่ปลายจมูกนางได้กลิ่นหอมซึ่งหลงเหลืออยู่ในกระถางธูปที่ตกลงบนพื้นนอกตำหนักตอนกลางวันอีกครั้ง
“ที่ข้าถามเจ้าวันนี้ เจ้ายังไม่ได้ตอบเลย” หลียวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งค่อยๆ หวีผมตัวเองแล้วมองดูมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างหลังนางผ่านกระจก
มุมปากมู่ชิงเกอผุดรอยยิ้มขี้เล่นขึ้น “ราชาเทวะเป็นผู้อาวุโสของข้า เคารพได้ แต่ดีหรือไม่ดีนั้น ใช่ว่าข้าจะพูดพล่อยๆ ได้”