ตอนที่ 79-5
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
หากเป็นนาง นางจะสืบหาความจริงให้กระจ่างเพื่อทวงความยุติธรรมให้แก่ลูกเมีย แล้วออกจากแคว้นไปอย่างโล่งใจ คนที่นี่ไม่ต้อนรับก็ต้องมีสักที่ ที่เขาต้อนรับ คิดว่าใต้หล้านี้พวกตนเป็นผู้สร้างขึ้นมาหรือไร
แม้ว่าแคว้นฉินจะล่มสลายเพราะเหตุนี้หรือว่าประชาชนจะต้องตกอยู่ในสภาวะสงคราม แล้วอย่างไรเล่า? นี่เป็นความผิดของคนเป็นผู้นำ ในเมื่อแผ่นดินนี้เป็นของตระกูลฉิน งั้นจะเกี่ยวอะไรกับตระกูลมู่เล่า?
อีกอย่าง แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว ก็ต้องมีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่มีผู้ใดจะครอบครองสิ่งใดไว้ได้ตลอดกาลหรอก เป็นธรรมดาของประวัติศาสตร์
มู่ชิงเกอคิดตกแล้วแต่มู่ชงยังคิดไม่ตก ตรงจุดนี้ทำให้มู่ชิงเกอปวดหัวเป็นอย่างมาก
“นายท่านเพียงสงสารอาณาประชาราษฎร์ เป็นที่รู้กันดีว่าตอนนี้แคว้นฉินสงบสุข เพราะแสนยานุภาพของตระกูลมู่เรา จึงทำให้แคว้นข้างเคียงได้เพียงแค่มอง แต่ไม่กล้าทำอะไร” โย่วเหอพูดเบาๆ เหมือนนางจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดมู่ชิงเกอถึงถามคำถามนี้
นั่นสินะ! ประชาราษฎร์
ในสายตาของมู่ชิงเกอมีความขบขันผุดขึ้นมา
ในห้องหนังสือ ยังมีบทสนทนาอีกช่วงหนึ่งของนางและมู่ซง
นางถามมู่ซงว่าในเมื่อเป็นกังวล แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้ อกาสนี้จากไปเสียเล่า? ด้วยชื่อเสียงของมู่ซงและความเกรียงไกรของตระกูลมู่ ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใดก็คงไม่ ลำบาก
ทว่า มู่ซงกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
เหตุผลของเขาคือความรุ่งโรจน์ทั้งชีวิตเขาไม่ใช่ได้มาเพราะฮ่องเต้แคว้นฉินแต่ได้มาเพราะประชาชนแคว้นฉิน
เพราะฉะนั้น เขาจำเป็นต้องตอบแทนพวกเขา
ในอนาคต เขาไม่สนใจว่ามู่ชิงเกอจะเลือกอย่างไร แต่ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งวันก็จะปกป้องให้แคว้นฉินสงบสุขไปอีกหนึ่งวัน คำพูดเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เพราะฉะนั้น ก่อนจากมา นางจึงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แล้วถอนหายใจ
ท่ามกลางบทสนทนาอันตึงเครียด ทั้งสามได้ออกจากเมืองหลวงและเข้าเขตค่ายทหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ออกจากจวนในครั้งนี้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างก็แต่ง กายอย่างเรียบร้อย ไม่มีความประณีตบรรจงตามแบบฉบับของหญิงสาว แต่มีความองอาจห้าวหาญของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
พอถึงค่ายทหารของตระกูลมู่ มู่ชิงเกอก็ทักทายรองแม่ทัพสองสามคน แล้วพาหญิงสาวทั้งสองเดินไปทางหลังเขา
บริเวณหลังเขา มู่ชิงเกอเลือกที่ที่เหมาะสมแห่งหนึ่งไว้ เพื่อเป็นสนามฝึกให้กับเหล่าองครักษ์ด้วยตัวเอง
มั่วหยางอยู่ที่นี่ตั้งแต่หลายวันก่อน เพื่อนำองครักษ์ทั้ง 500 นายมาเตรียมการทั้งหมดนี่ก่อน
เดินอ้อมป่า ผ่านหน้าผา ข้ามแม่นํ้าและหลังจากที่เดินทะลุเข้าไปในทางเดินสายเล็กอันลึกลับ ทั้ง 3 ก็เดินมาถึงกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง
หุบเขานั้นรูปทรงคล้ายนํ้าเต้า บริเวณทางเข้าเล็กแคบ แต่ภายในกลับเหมือนเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
บริเวณรอบหุบเขา เต็มไปด้วยหน้าผาที่เหมือนโดนมีดกรีดออกและด้านบนตรงจุดหนึ่งก็มีนํ้าตกไหลดิ่งลงมา หยดนํ้าหยดลงมาเรื่อยๆ สะสมกันมาเป็นเวลายาว นาน จนทำให้หินยักษ์ที่อยู่ด้านล่างทะลุเป็นรู
หลังจากที่ทั้งสามเดินเข้าไปยังหุบเขา บริเวณที่ว่างแห่งหนึ่งกลางหุบเขา ก็มีสิ่งของแปลกประหลาดหลายอย่างจัดวางไว้ แม้แต่บนหน้าผาก็ยังมีเชือกปีนเขาห้อยลงมา อุปกรณ์การฝึกหน้าตาประหลาดพวกนี้ สำหรับมั่วหยางและคนอื่นๆ แล้ว ถือว่าแปลกมาก
แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว กลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้ เป็นอุปกรณ์การฝึกขั้นพื้นฐานที่นางคัดลอกมาจากความทรงจำ
ที่กีดขวาง เชือกปืนเขา ศิลปะการต่อสู้ การสอบกำลังกาย ความว่องไว การตอบสนอง รวมทั้งความสามารถด้านการต่อสู้และทฤษฎีความรู้ต่างๆ นางก็ไม่ปล่อยผ่าน นางต้องการให้ทหารทั้ง 500 นาย กลายเป็นสุดยอดนักรบผู้กล้าหาญเจนการศึก
นักรบจากยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอที่ทุกประเทศต่างก็กระหายจะได้มาในชาติที่แล้วนั้น จะต้องเกิดขึ้นในมือนางอย่างแน่นอน
มู่ชิงเกอค่อยๆ กวาดสายตามองทั้งหมดในหุบเขาและผุดรอยยิ้มที่มุมปาก
“คุณชาย!” มั่วหยางเดินมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ หลายวันที่อาศัยอยู่ในค่าย ทำให้กลิ่นอายของหนังสือในตัวเขาลดน้อยลง ใบหน้าอันผอมแห้งมีความหนักแน่นมากขึ้น
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า “เรียกพวกเขาออกมา”
มั่วหยางรับคำสั่งและออกไป ครู่หนึ่งทหารทั้ง 500 นาย ก็ยืนอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ
บนร่างกายของพวกเขาไม่ได้สวมเสื้อเกราะแบบมาตรฐานของตระกูลมู่และไม่ได้สวมเสื้อที่ปักเครื่องหมายขององครักษ์ตระกูลมู่ แต่กลับสวมเสื้อธรรมดาที่ สะอาดสะอ้านดูเรียบร้อยตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินมาอยู่ตรงหน้าที่ง 500 นาย กวาดสายตามองพวกเขา
ผลลัพธ์ถือว่าน่าพอใจ
ชายหนุ่มทั้ง 500 นายต่างมีสายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและหนักแน่นนี่เป็นก้าวแรกของความสำเร็จ
มู่ชิงเกอยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าทหารทั้ง 500 นาย พลางพูดกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “โย,วเห่อ ฮวาเยวี่ย ตั้งแต่วันนี้พวกเจ้าต้องได้รับการฝึกพร้อมกับ พวกเขา หากไม่ผ่านด่าน ก็ไม่สามารถกลับมารับใช้ข้างกายข้าได้อีก”
การตัดสินใจนี้ หลังจากที่มู่ชิงเกอพาพวกนางมายังค่าย หลายต่อหลายครั้ง พวกนางได้ทำใจไว้แล้ว
ดังนั้น พอมู่ชิงเกอพูดจบพวกนางก็ไม่ได้แปลกใจอะไร และยืนอย่างเรียบร้อยอยู่ข้างมั่วหยาง แต่ชายหนุ่มทั้ง 500 นายต่างหากที่มองหญิงสาวที่อ่อนโยนทั้งสองด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าคุณชายคิดจะทำอะไร
มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงที่เชื่องช้าและนิ่งสงบว่า “ไม่ต้องแปลกใจข้างกายข้าจะไม่เก็บคนไร้ประโยชน์เอาไว้ พวกนางอยากจะติดตามรับใช้ข้าก็ต้องพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น พวกเจ้าก็เช่นกัน”
ประโยคหลัง ทำให้ทหารทั้ง 500 นายยืดหลังตรง เก็บความรู้สึกไว้ในใจ
มู่ชิงเกอกวาดสายตามอง แล้วพูดต่อว่า “ข้ารู้ว่าในใจของพวกเจ้ากำลังคิดว่า ข้าจะสอนอะไรแก่พวกเจ้าได้บ้าง ไม่ต้องรีบร้อน อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะรู้ว่ามันไม่ทำ ให้พวกเจ้าผิดหวังแน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ข้าบอกพวกเจ้าได้มีเพียงแค่ทั้งหมดที่พวกเจ้าจะได้เรียนเป็นบททดสอบที่ไม่มีใครเคยสัมผัส พวกเจ้าอยากแข็งแกร่งก็ต้องได้รับการเจียระไน พวกเจ้าทุกคนในนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะยอมแพ้ เหตุผลที่จะไปจากที่นี่ได้มีเพียงสองข้อเท่านั้น ข้อแรกคือผ่านการฝึก ข้อสองคือตาย พวกเจ้ากลัวหรือไม่?”
“ไม่กลัว!”
“ไม่กลัว !”
เสียงอันพร้อมเพรียงดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและอันตราย “ข้าหวังว่าหลังจากที่พวกเจ้าได้สัมผัสถึงนรกที่แท้จริงแล้วพวกเจ้าจะยังยืนยันที่จะพูดแบบนี้”
ทั้ง 503 คนใช้ความเงียบที่หนักแน่นในการตอบกลับนาง
อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็หุบยิ้ม และพูดอย่างหนักแน่นว่า “กลุ่มองครักษ์ในอดีตของข้า มีนามว่า ‘เลี่ยเกอ’ เป็นชื่อที่ท่านแม่ทัพของพวกเจ้าตั้งด้วยตนเอง แม้ว่าพวกเขาได้สละชีวิตไปแล้ว แต่นามนี้จะยังคงอยู่คู่กับความกล้าหาญของพวกเขาตลอดไป สำหรับพวกเจ้า หลังจากที่ได้รับการยอมรับจากข้า จะได้รับอีกนามหนึ่งที่ดังระบือไกลไปมากกว่าเดิม ตอนนี้ข้าจะยังไม่บอกพวกเจ้าว่านามนั้นคืออะไร เพราะตอนนี้พวกเจ้ายังไม่คู่ควรที่จะรู้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็จะฝึกไปกับพวกเจ้า ข้าทำอะไรพวกเจ้าก็ต้องทำตามข้า หากข้าทำได้แต่พวกเจ้าทำไม่ได้
นั้นก็หมายความว่า แม้กระทั่งคนไร้ค่าผู้หนึ่งพวกเจ้าก็ยังไม่อาจเทียบได้”
คำพูดพวกนี้ ทำให้ทหารทั่ง 500 นายทำหน้าเครียด อุณหภูมิในร่างกายตํ่าลงกว่าเดิม
พวกเขาไม่ตอบมู่ชิงเกอ แต่คิดว่าจะใช้การกระทำในการพิสูจน์เรื่องราวทั้งหมด นี่คือทหารตระกูลมู่ที่แท้จริง ที่ไม่พูดโอ้อวดแต่วัดกันที่ความสามารถ คุณชายบอกว่าพวกเขายังไม่มีสิทธิ์คู่ควรที่จะรู้นามนั้น งั้นก็ดี พวกเขาก็จะขอสู้สุดชีวิต ดูสิว่าคราวนี้จะมีสิทธิ์แล้วหรือยัง!
นัยน์ตาเด็กน้อยพวกนั้น มีเปลวเพลิงลุกโหมขึ้น มู่ชิงเกอยิ้มอย่างคลุมเครือ นางหันหลังเดินไปยังฐานแรก พลางพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตอนกลางวันฝึกตามวิธีของข้าและตอนกลางคืนก็ฝึกฝนพลังตามขั้นของพวกเจ้า ใครกล้าเกียจคร้าน วันต่อไปฝึกหนักขึ้นอีกสองเท่า!”
“ขอรับ” ทุกคนคำรามเสียงดังเป็นเสียงเดียวกัน สายตามองตามมู่ชิงเกอ
พวกเขาประหลาดใจมาก เครื่องมือแปลกๆ พวกนี้มีวิธีใช้อย่างไรกัน?
มู่ชิงเกอถอดเสื้อคลุมอันหลวมใหญ่ออกและมัดก้อนตะกั่วที่กองอยู่บนพื้นบนขา หน้าอกและหลังของตนเอง
หลังจากที่เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางมองไปข้างหน้า จู่ๆ ก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เริ่มการแสดงการข้ามสิ่งกีดขวาง
วิ่งตามทางเรียบร้อยเมตรและโค้งไปตามทางอย่างว่องไว วิ่งข้ามตอไม้ ก้าวข้ามคูนํ้า…โดดกำแพงเตี้ย ไต่ตาข่าย หลบกระสอบทราย ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของทุกคน
รอจนมู่ชิงเกอมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างหน้าไม่แดงทั้งยังไม่มีอาการหอบ ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความมึนงง
ในตอนนี้ มีตัวหนังสือลอยขึ้นจากความคิดของพวกเขา
ของพวกนี้เล่นแบบนี้เองหรือ!
คุณชายสุดยอดมาก!
มู่ชิงเกอยกน้ำชาขึ้นถ้วยหนึ่ง ดื่มช้าๆ ไปคำหนึ่ง และหลังจากที่ปิดฝาถ้วยชา นางก็พูดว่า “เริ่มกันเลย แสดงความสามารถของพวกเจ้าออกมาให้ข้าเห็น แต่ว่าห้าม ใครใช้พลังเวท ให้อาศัยพลังกายของตนเองเท่านั้น เมื่อจบในทุกๆ ด่าน 100 คนที่ช้าที่สุดต้องไปวิ่งรอบภูเขาหนึ่งรอบแล้วกลับมาฝึกต่อ หากแพ้ก็กลับไปวิ่งอีก การลงโทษในทุกครั้งนั้นคูณสอง”
โห~~~!
พี่ๆ ทหารทั้ง 500 นาย ตอนนี้คงรับรู้แล้วใช่หรือไม่ว่านรกที่คุณชายพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร
ห้ามใช้พลังเวท ใช้ได้แค่พลังกายเท่านั้น
การลงโทษที่น่ากลัวพวกนั้น ถลกหนังออกมาชั้นหนึ่งยัง ไม่พอเลย!
ทว่ากลับไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
เพราะว่า มู่ชิงเกอแสดงให้ทุกคนเห็นแล้ว หากพวกเขายอมแพ้ ก็จะด้อยกว่าคนไร้ค่าคนหนึ่ง
แอบจุดเทียนให้กับตนเองในใจเล่มหนึ่ง พี่ๆ ทหารทั้ง 500 นาย กระทั่งพวกมั่วหยางอีกสามคนเองต่างก็เดินไปยังจุดเริ่มต้นด้วยท่าทางขลาดๆ
โดยเฉพาะโย่วเหอและฮวาเยวี่ย หลังจากที่ได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอ พวกนางก็มีใจคิดจะยอมแพ้แล้ว