ตอนที่ 79-4
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
มู่ชิงเกอไม่อยากจะสนใจว่าจะมีใครเชื่อคำแก้ตัวโง่ๆ ของป๋ายซีเยวี่ยบ้าง นางเพียงกวาดสายตามองผู้คนรอบข้างครู่หนึ่ง เห็นทุกคนต่างขมวดคิ้วเป็นปม นางจึง หัวเราะเสียงเย็น พลางพูดว่า “องค์หญิงฉางเล่อต้องทรงประชวรเพราะน้องซีเยวี่ย คนที่เป็นพี่ชายของน้องซีเยวี่ยอย่างข้าก็คิดว่าจะส่งองค์หญิงกลับตำหนักไปพัก ผ่อนด้วยตัวเองเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ สำหรับน้องซีเยวี่ย แม้จะบาดเจ็บก็จริงแต่ข้าก็ได้ส่งตัวนางไปรักษาตัวที่โรงหมอและพ้นขีดอันตรายแล้ว อีกทั้งข้ายังสั่งให้ทหารจวนตระกูลมู่ส่งนางกลับจวน ผู้ร่วมเดินทางยังมีสาวใช้คนสนิทของน้องซีเยวี่ยอย่างลวี่จือกลับมาด้วย”
ในขณะที่พูด นางก็หันไปมองป๋ายซีเยวี่ยที่หน้าซีดพลัน พูดต่อด้วยความรู้สึกผิดว่า “น้องซีเยวี่ย พี่มู่เองก็อยากจะมาส่งเจ้าด้วยตัวเอง แต่ก็จนใจเพราะไม่สามารถทำสองเรื่องในเวลาเดียวกันได้องค์หญิงฉางเล่อตกพระทัยเพราะเจ้า ตามหลักเหตุและผลแล้วข้าที่เป็นพี่ชายและเป็นคุณชายของตระกูลมู่มิหนำซํ้ายังเป็นคู่ครองใน อนาคตขององค์หญิง ควรจะส่งพระองค์กลับตำหนักถึงจะถูก หรือว่าน้องซีเยวี่ยจะออกจากจวนตระกูลมู่เพราะเรื่องนี้น่ะหรือ?”
พอพูดจบ ทุกสายตาที่มองป๋ายซีเยวี่ยพลันเปลี่ยนไป จากความสงสารและเห็นใจในตอนแรกกลายเป็นกล่าวโทษ โทษที่นางไม่รู้จักกาลเทศะและโทษที่นางไม่รู้จักคิดด้วยเหตุผล
คุณชายนั้นคิดเผื่อนางทุกอย่าง ไปส่งองค์หญิงด้วยตัวเองก็เพราะต้องการแสดงความขอบคุณแทนนาง แต่นางกลับจะย้ายออกจากตระกูลมู่เพราะแค่เรื่องเล็กน้อยที่คุณชายไม่มาส่งนางที่จวนอย่างนั้นหรือ?
จิตใจคับแคบ ไร้เหตุผล
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” ป๋ายซีเยวี่ยรู้สึกว่าสายตารอบข้างเปลี่ยนไป จึงรีบแก้ตัว
“ซีเยวี่ย หากเจ้าจะออกจากจวนเพราะเหตุผลเพียงเท่านี้ อาก็จะตำหนิเจ้า แม้ว่าชิงเกอจะไม่ได้ส่งเจ้ากลับมาแต่เขามีเหตุผล เจ้าจะไปโทษเขาได้อย่างไร?” มู่เหลียนหรงก็พูดพลางส่ายหน้า ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ด้วยว่าองค์หญิงทรงประชวรและมีสาเหตุมาจากป๋ายซีเยวี่ย
“ท่านอาเหลียน….” ป๋ายซีเยวี่ยเห็นความผิดหวังในสายตาของมู่เหลียนหรงก็พลันรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาและมองมู่ซงที่ดูนิ่งเฉยปราศจากความโกรธใดๆ นางจึงรู้ว่า ตนเองทำพลาดไปเสียแล้ว
ไม่เพียงแค่พลาด แต่นางยังรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของนางกำลังปวดแสบปวดร้อน ราวกับว่าภาพลักษณ์อันดีงามในจวนตระกูลมู่ที่นางสร้างมานานหลายปีนั้นได้พังทลายลงเพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของมู่ชิงเกอ
ทันใดนั้น นํ้าตาก็พลันเอ่อล้นออกมา
ป๋ายซีเยวี่ยพูดอย่างน่าสงสารว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่รู้ว่าพี่มู่ทำเพื่อข้า หลังจากที่บาดเจ็บ ข้าก็สลบไป ตื่นมาก็ได้ยินลวี่จือเล่าว่าท่านพี่มู่ทิ้งข้าไว้ที่โรงหมอแล้วส่งองค์หญิงกลับไป ข้าแค่คิดว่าเพราะข้าทำให้พี่มู่ต้องมาคอยพะวง จึงไม่สามารถดูแลองค์หญิงได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงคิดว่าหากจากไปก็คงจะลดปัญหาให้พี่มู่ได้บ้าง” เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของตัวเองกลับมา ป๋ายซีเยวี่ยจึงผลักสาวใช้ส่วนตัวของตนเองออกมาอย่างไม่ลังเล
ลวี่จือที่ถูกเจ้านายกล่าวหาหน้าซีดในทันทีรีบคุกเข่าลงตบหน้าตนเองพลางพูดไม่หยุดว่า “นายท่าน คุณชาย คุณหนูใหญ่ บ่าวไม่ดีเองที่พูดความเท็จกับคุณหนู จน คุณหนูคิดมากและยังเข้าใจคุณชายผิด”
“ลวี่จือ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” คำพูดของลวี่จือยิ่งทำให้ป๋ายซีเยวี่ยปรากฏท่าทีขุ่นเคืองออกมา ราวกับนางเป็นผู้เสียหายอีกคน
“พอเถอะ” มู่ซงขมวดคิ้วและค่อยๆ ยืนขึ้น ฉากตรงหน้าเหมือนกลายเป็นเรื่องขบขัน
เขามองป๋ายซีเยวี่ยอย่างลึกลํ้าแวบหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ตามข้ามา”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปพร้อมกับมู่ซงทั้งรอยยิ้ม สำหรับป๋ายซีเยวี่ยแล้ว นางไม่มองเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ เจ้าบ้านทั้งสองของจวนตระกูลมู่ออกไปแล้ว มู่เหลียนหรงก็สั่งทุกคนด้วยนํ้าเสียงอันเยือกเย็นว่า “ออกไปเถอะ มีอะไรควรทำก็ไปทำ”
ทุกคนต่างก็เดินออกไป แต่ว่าในขณะที่กำลังจะออกไปนั้น สายตาที่มองป๋ายซีเยวี่ยต่างก็แตกต่างกันไป
เมื่อทุกคนออกไปจากห้องโถงกลาง มู่เหลียนหรงก็มองป๋ายซีเยวี่ยและพูดอย่างมีนัยว่า “ซีเยวี่ย อาเหลียนเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ในสายตาของอาเจ้าเป็นหญิงสาวที่ไร้ เดียงสาและคอยเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ เรื่องนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว และเจ้าเองก็ยังบาดเจ็บ กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
พูดจบนางก็มองลวี่จือและพูดด้วยนํ้าเสียงที่เยือกเย็นกว่าเดิม “ลวี่จือการคิดเผื่อเจ้านายนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้า แต่เจ้าเองก็ต้องรู้หน้าที่ของสาวใช้ด้วย”
“ท่านอาเหลียน เป็นซีเยวี่ยที่คิดมากไปเอง” ป๋ายซีเยวี่ยลุกขึ้นอย่างอ่อนโยนทั้งนํ้าตา
มู่เหลียนหรงมองนางโดยไม่พูดอะไร
สักพักก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องโถงกลางไป
“คุณหนู” พอส่งมู่เหลียนหรงกลับไป ลวี่จือก็ลุกขึ้นและเดินไปหาป๋ายซีเยวี่ย ใครจะรู้ว่าป๋ายซีเยวี่ยจะยกมือขึ้นและผลักลวี่จืออย่างแรงทำให้ลวี่จือล้มลงไปกับพื้น “โอ๊ย!”
“นังคนไร้ประโยชน์!” ป๋ายซีเยวี่ยด่าทอ ระบายอารมณ์ทั้งหมดใส่ลวี่จือ
“ขอโทษเจ้าค่ะ คุณหนู” ลวี่จือกลั้นนํ้าตา พูดสั่นๆ
ป๋ายซีเยวี่ยสีหน้ามืดครึ้ม พูดเสียงแข็งว่า “ยังไมรีบพาข้าออกไปอีก ยังขายขี้หน้าไม่พอหรือไร?”
หากก่อนหน้านี้การจะย้ายออกจากจวนตระกูลมู่เป็นเพียงการแสดง ตอนนี้นางก็อยากจะออกจากจวนตระกูลมู่จริงๆ ไม่อยากจะอยู่ต่อเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
มู่ชิงเกอกลายเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดถึงฉลาดได้ถึงเพียงนี้?
นางคิดทบทวนหลายรอบแล้วว่าไม่มีทางมีข้อผิดพลาดแน่นอน จึงตัดสินใจทำเช่นนี้ แต่เพราะเหตุใดเรื่องราวจึงได้กลับตาลปัตรพลิกผันเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของนางเองได้เล่า
สายตาของป๋ายซีเยวี่ยมืดดำ
ความผิดพลาดในวันนี้ นางคงไม่กล้าบอกกับรุ่ยอ๋อง เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาผิดหวังและคิดว่าตนเองไร้ประโยชน์
ไม่! นางจะต้องทำลายความสัมพันธ์ของมู่ซงและมู่ชิงเกอให้ได้
ป๋ายซีเยวี่ยเม้มปากและกลับมายังเรือนของตนเองได้เพราะมีลวี่จือคอยประคอง
หลังจากที่ออกมาจากห้องหนังสือของมู่ซง มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีฟ้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงกลางทำให้มู่ซงรู้สึกสงสัย แน่นอนว่าไม่ได้สงสัยในตัวนาง แต่กลับสงสัยการเปลี่ยนแปลงของป๋ายซีเยวี่ย และเท่าที่นางสังเกต เกรงว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงที่ป๋ายซีเยวี่ยค่อยๆ เผยออกมา
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกสงสัยคือ ภายในคํ่าคืนเดียว เหตุใดป๋ายซีเยวี่ยถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้? จากที่อดทนอดกลั้นมาตลอดกลายมาเป็นฝ่ายลงมือก่อนในวันนี้งั้นหรือ?
แน่นอนว่า มู่ซงเองก็สงสัยในท่าทีของนางเช่นกัน
แต่คำตอบของนาง ก็คือนางโตแล้ว และไม่ได้เป็นชายเสเพลที่มีความคิดเป็นเด็กๆ เฉกเช่นแต่ก่อน
สำหรับเรื่องความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน มู่ซงไม่ได้ถาม และนางก็คงไม่มีทางเป็นฝ่ายเล่าก่อนแน่ๆ
ก่อนที่นางจะออกไป มู่ซงกำชับเพียงคำเดียวว่า “ระวังด้วย”
มู่ชิงเกอยิ้มพลางพึมพำว่า “ดูเหมือนว่าในจวนตระกูลมู่นี้ คนที่ดูจะอันตรายมากที่สุดก็คงจะเป็นนายท่านผู้เฒ่าแล้วล่ะ”
เสียดายนัก ที่ท่านทิ้งประชาราษฎร์แคว้นฉินไม่ลง
ไม่เช่นนั้น ตระกูลมู่จะตกเป็นเป้าขนาดนี้ได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างอับจนปัญญา สะบัดแขนเสื้อจากไป นางไม่ได้กลับเรือน แต่พาโย่วเหอและฮวาเยวี่ยออกจากประตูจวนไปยังค่ายทหารของตระกูลมู่
ทั้งสามเดินทางโดยการขี่ม้า
อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ถามขึ้นว่า “พวกเจ้าคิดว่าสำหรับแคว้นฉินแล้วจวนตระกูลมู่เป็นอย่างไร?”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยอึ้งไปพร้อมๆ กัน เหมือนไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงถามแบบนี้ สุดท้ายยังคงเป็นโย่วเหอที่ความรู้สึกไวกว่า นางเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “นายท่านทำสงครามมา 10 กว่าปี คอยปกปักษ์ให้แคว้นฉินสงบสุข ตระกูลมู่สำหรับแคว้นฉินแล้วก็คือกำแพงเหล็กที่มีไว้เพื่อปกป้องแคว้นฉิน”
“แล้วเหตุใด คนผู้นั้นของแคว้นฉินจึงพยายามที่จะทำลายกำแพงนี้เล่า?” มู่ชิงเกอถามซํ้าอีกหน
ทั้งสองนางสงสัยยิ่งกว่าเดิม
พวกนางรู้สึกว่าคำตอบของคำถามนี้คุณชายน่าจะเข้าใจดี แล้วเหตุใดจึงต้องมาถามพวกนางอีก?
ทั้งสองไม่เข้าใจความคิดของมู่ชิงเกอทำได้เพียงแต่ตอบไปตามความเป็นจริง
ครั้งนี้ ฮวาเยวี่ยเป็นคนพูด “เพราะคนผู้นั้นกลัวว่าจะควบคุมกำแพงนี้ไว้ไม่อยู่ กลัวว่ากำแพงนี้จะล้มลงมาทับตัวเขาเอง แล้วยึดอำนาจในแคว้นของเขาไป”
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเยือกเย็นและพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนายท่านผู้เฒ่าถึงยังปล่อยวางไม่ลงอีกเล่า”
นางเป็นทหารก็จริงแต่ว่าจะไม่มีทางจงรักภักดีแบบโง่เขลาเช่นนี้เด็ดขาด ในเมื่อผู้มีอำนาจไร้ซึ่งคุณธรรม นางก็จะขอถอนตัวออกไปอย่างสง่างาม
ทำเพื่อประชาชนนั้นเป็นความคิดที่พึงมีของทหาร แต่สำหรับนางปณิธานที่ฝังลึกอยู่ในเลือดเนี้อก็คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ภารกิจลุล่วงไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุดและทำตามทุกคำสั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้นในบางมุมนางต่างจากมู่ซง
นางเข้าใจว่าเหตุใดมู่ซงจึงต้องอดทน แต่นางไม่อาจคล้อยตามได้ แม่ทัพทั้งสองและฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลมู่ต่างก็ต้องตายอย่างไร้สาเหตุ กระทั่งพวกเขาเองก็ สงสัยว่าคนร้ายผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ก็คือผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้น
แต่มู่ซงกลับเลือกที่จะอดทนเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ ยังคงคิดถึงประชาราษฎร์และกลํ้ากลืนความทุกข์ทรมานนี้ไว้