Skip to content

พลิกปฐพี 79-3

ตอนที่ 79-3

คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง

เฮ้อะ! ข้าไปทำอะไร? ทำไมทุกคนต้องมองข้าราวกับข้าทำความผิดมหันต์อย่างนั้น?

มู่ชิงเกอแอบเคืองเล็กน้อย

สายตาของนางมีประกายเย้ยหยันพาดผ่าน สะบัดแขนเสื้ออันกว้างใหญ่หลายที ยืดอกเดินเข้าไปยังโถงกลาง ไปหามู่ซง

“ท่านปู่ เรียกข้ามาแต่เช้า มีเรืองอะไรหรือ”

“เรื่องป๋ายซีเยวี่ยจะย้ายออกจากจวนตระกูลมู่ เจ้ารู้หรือไม่?” มู่ซงถามนิ่งๆ

ป๋ายเสี่ยวเจี้ยนจะไปแล้วรึ? นี่ตัดสินใจเมื่อไหร่กัน?

มู่ชิงเกอกะพริบตา ตอบไปตามความจริงว่า “หลานไม่ทราบ”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าทำไมนางจึงจะย้ายออก” มู่ซงโกรธจนหนวดกระดิก พลางถามเสียงเข้ม

ข้าจะรู้ได้อย่างไร?

มู่ชิงเกอเบะปากพลางส่ายหน้า

“ไอ้เลวนี่” มู่ซงโกรธจนเกือบจะลงมือ แต่เพิ่งจะยกมือขึ้นมา ก็ทำใจไม่ได้จึงวางมือลงอย่างเก่า

ป๋ายซีเยวี่ย แอบเห็นฉากนี้ ก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ปิดหน้าอยู่ลง ทำให้เห็นดวงตาทั้งคู่ที่ร้องไห้จนแดงก่ำ แล้วพูดอย่างอ่อนแอว่า “ท่านปู่มู่อย่าโทษท่านพี่มู่เลย ซีเยวี่ย ผิดเอง ที่ซีเยวี่ยจะย้ายออกจากจวนตระกูลมู่นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านพี่มู่ แต่เดิมข้าก็เป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาและจวนตระกูลมู่ก็ดูแลข้ามานานแล้ว ข้าจะ อยู่ให้จวนตระกูลมู่เลี้ยงข้าไปตลอดชีวิตก็คงไม่ได้ ตอนนี้ซีเยวี่ยโตแล้ว เลยจะพาลวี่จือย้ายออกไปหาที่สักสองหมู่ที่นอกเมืองปลูกกระท่อมอาศัย เราสองคนนายบ่าวจะอยู่กันอย่างเรียบง่าย อย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอน”

“ซีเยวี่ย เจ้าอย่าพูดเหลวไหล อาไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากจวนตระกูลมู่ เจ้าเป็นผู้หญิง ออกไปคนเดียวจะอยู่ดีได้อย่างไร” มู่เหลียนหรงปฏิเสธความคิดของป๋ายซีเยวี่ยในทันที

“ท่านอาเหลียน ข้ารู้ว่าท่านเอ็นดูซีเยวี่ย แต่ซีเยวี่ยตัดสินใจแล้ว” ป๋ายซีเยวี่ยแสร้งพูดด้วยความเสียใจ ทุกคนที่มองฉากนี้ต่างแสดงสีหน้าทั้งเห็นใจและสงสาร สายตาที่มองมู่ชิงเกอนั้นกลับยิ่งเต็มไปด้วยการกล่าวโทษและไม่ยอมรับ

มู่ชิงเกองุนงงไปหมด เหมือนทุกคนจะคิดว่านางเป็นคนไล่ป๋ายซีเยวี่ยไปอย่างนั้นละ

นางพูดพลางหัวเราะว่า “ข้าขอทราบเหตุผลที่น้องซีเยวี่ยจะไปได้หรือไม่?”

“เจ้ายังจะกล้าพูดอีก!” มู่เหลียนหรงยกนิ้วขึ้นชี้หน้ามู่ชิงเกอทันที

มู่ซงก็ทำหน้าเคร่งและไม่มีรอยยิ้มราวกับว่ากำลัง พยายามเก็บความโกรธไว้ในใจ

ในความคิดของเขา ท่านพ่อของป๋ายซีเยวี่ยตายเพราะเขา จวนตระกูลมู่ก็มีหน้าที่ต้องดูแลนางไปตลอดชีวิต เขาไม่ได้มีความคิดที่จะยกป๋ายซีเยวี่ยให้กับมู่ชิงเกออ ย่างที่มู่เหลียนหรงคิด กลับคิดอย่างเรียบง่ายว่าป๋ายซีเยวี่ยก็เหมือนหลานแท้ๆ ของเขา เมื่อถึงเวลาอันสมควรที่ต้องออกเรือนก็จะหาชายหนุ่มจากตระกูลดีๆ ให้กับนาง มีตระกูลมู่คอยหนุนหลังอยู่ เด็กที่น่าสงสารคนนี้ก็คงจะสามารถมีความสุขไปตลอดชีวิตได้ใม่ยาก

“ทำไมจะไม่กล้า?” มู่ชิงเกอพูดตรงๆ สายตาของนางเลื่อนจากมู่เหลียนหรงไปหามู่ซง พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากจะตัดสินประหารใครก็ต้อง ให้คนผู้นั้นรู้ก่อนว่าทำไมตนเองต้องตายไม่ใช่หรือ?”

มู่ชิงเกอพูดจากใจจริง ทำให้มู่ซงอึ้ง

สายตาที่เคร่งเครียด มีความสงสัยพาดผ่าน

“ท่านปู่ของเจ้าคร้านจะว่าเจ้าแล้ว ข้าจะเป็นคนพูดเอง” มู่เหลียนหรงกอดป๋ายซีเยวี่ยเพื่อปลอบใจพลางพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าขอถามเจ้า เจ้าพาตัวซีเยวี่ยออกไปแล้ว เหตุใดไม่ดูแลนางให้ดี มิหนำซํ้ายังทำให้นางต้องได้รับบาดเจ็บ แค่นี้ก็ผิดแล้ว จากนั้นเจ้ายังทิ้งนางไว้กลางทาง ห่วงแต่จะส่งองค์หญิงฉางเล่อกลับตำหนัก แยกแยะความสำคัญไม่ได้เช่นนี้เป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายพึงกระทำเหรอ?”

มู่ชิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตา แววตาเปลี่ยนไป

นางเงียบ มู่เหลียนหรงจึงคิดว่า นางไม่มีอะไรจะเถียง จึงสั่งสอนต่อว่า “องค์หญิงฉางเล่อมีมือมีขาและยังมีนางกำนัลและองครักษ์ยังต้องให้เจ้าไปส่งอีกเหรอ? ซีเยวี่ยโตมากับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่นางก็เป็นเหมือนน้องสาวของเจ้า เจ้าทิ้งนางไว้ที่โรงหมอแล้วจากไปโดยไม่สนใจใยดีได้อย่างไร?”

ไม่สนใจใยดี?

สายตาของมู่ชิงเกอที่เลื่อนไปหยุดอยู่ที่ป๋ายซีเยวี่ยเย็นเฉียบราวกับนํ้าค้างแข็ง แต่อีกฝ่ายยังคงทำท่าทางน้อยอกน้อยใจแทบจะไม่ไค้มองนางเลยแม้แต่น้อย

นางเดินเข้าไปก้าวใหญ่ หยุดตรงหน้าป๋ายซีเยวี่ยแล้ว พูดกับนางอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่สนใจและไม่เป็นห่วงเจ้าหรือ?”

“ไอ้เด็กบ้า เจ้าจะทำอะไร?” มู่เหลียนหรงรีบกอดป๋ายซีเยวี่ยเอาไว้แน่น สำหรับนาง คำพูดของมู่ชิงเกอเหมือนเป็นคำข่มขู่ป๋ายซีเยวี่ย มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองมู่เหลียนหรง ด้วยนัยน์ตาที่สงบนิ่ง

มู่เหลียนหรงตกใจเพราะสายตานี้และตอนที่เอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงพลันอ่อนโยนลงอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไม่รู้หรือเป็นเพราะการกระทำของเจ้า ทำให้ซีเยวี่ยเข้าใจผิด คิดว่าตนเองเป็นส่วนเกิน รู้สึกว่าตนเองขัดขวางเจ้ากับองค์หญิงจึงขอออกจากจวนตระกูลมู่”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับประดับไปด้วยความเยือกเย็น มองหน้าป๋ายซีเยวี่ยแล้วนางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะยกนิ้วโป้งให้กับนางดีหรือไม่ กลับหัวกลับหางความเป็นจริง ตัดบางส่วนออก เรื่องราวทั้งหมดก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นหนังคนละม้วน หลังจากฟังเรื่องเล่าของนางจบแล้ว นางยังรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนเลวเลย แล้วนางแน่ใจหรือว่าตนเองจะไม่พูดเรื่องราวทั้งหมดที่นางปิดบังไว้ออกมา?

ไม่คิดบ้างหรือว่ามู่ชิงเกออาจจะไม่สนใจความบริสุทธิ์ของนาง ไม่ห่วงชื่อเสียงขององค์หญิงฉางเล่อและรัชทายาท แล้วพูดความจริงออกมาบ้างหรือ?

นางกล้ายืนยันว่าในตอนที่องครักษ์ตระกูลมู่เอารถม้าไปรับป๋ายซีเยวี่ยกลับจากโรงหมอนั้น ทั้งมู่ซงและม่เหลียนหรงเองต่างก็รู้

และสิ่งที่พวกเขาพวกเขาเข้าใจคือป๋ายซีเยวี่ยอยู่ในจวนตระกูลมู่มาตั้งแต่เด็ก ตระกูลมู่ติดหนี้บุญคุณท่านพ่อของนาง ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรมหรือความรู้สึกนางจึงสำคัญกว่าฉินอี้เหยา

แต่นางกลับทิ้งป๋ายซีเยวี่ยที่บาดเจ็บไว้ให้กลับกับองครักษ์แล้วตนเองก็ไปส่งองค์หญิงฉางเล่อที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย

การกระทำแบบนี้ในความคิดของคนตระกูลมู่แล้วเป็นการไม่รู้จักบุญคุณ

จึงไม่แปลกที่มู่ซงและมู่เหลียนหรงจะโกรธถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพียงพวกเขาผู้คนรอบข้างในจวนตระกูลมู่ก็มองนางด้วยสายตาที่รังเกียจและโกรธแค้น หากไม่ใช่เพราะมู่ซงนั่งอยู่ตรงนี้ ก็คงจะมีไข่เน่า ก้อนหินจำนวนไม่น้อยถูกโยนมาหานาง

หึๆ…

“ไอ้เวรเจ้ายังจะหัวเราะอีก!” การหัวเราะอย่างไร้เสียงของมู่ชิงเกอ ทำให้มู่ซงขมวดคิ้วแน่น

มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตาของมู่ซงอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ท่านปู่ก็คิดว่า เป็นความผิดของชิงเกออย่างนั้นหรือ?”

พอคำนี้ออกจากปาก สายตาของผู้คนรอบข้างก็ยิ่งดูไม่ชอบใจ ราวกับกำลังโกรธแค้นมู่ชิงเกอที่ไม่รู้จักแก้ไขความผิดของตัวเอง

ขนาดมู่เหสียนหรงเองก็คิ้วขมวดจนเป็นปม

ป๋ายซีเยวี่ยที่พิงอยู่ในอ้อมอกของมู่เหลียนหรงแอบมองมู่ชิงเกอ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในขณะที่นางได้ยินเสียงอันมั่นคงสงบนิ่งของมู่ชิงเกอในใจก็รู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก

เขาอยากจะอธิบายอย่างนั้นหรือ?

ไม่ เรื่องนี้อธิบายอย่างไรก็ยากที่จะเข้าใจ หากเขาจะพูดความจริงทั้งหมด แสดงว่าต้องพูดเรื่องที่เกิดขึ้นที่ปีกตำหนักด้วย แต่เรื่องนี้จะถูกโยงเข้าไปหารัชทายาทและองค์หญิง เพราะฉะนั้นเขาต้องไม่กล้าพูดแน่ๆ

ใช่! เขาไม่กล้าพูด อย่าตื่นตระหนก อย่าตื่นตระหนก เขาเพียงแค่ต้องการทำให้ทุกคนสับสน ก็แค่ปากแข็งเท่านั้น

ป๋ายซีเยวี่ยปลอบใจตนเอง

“มู่ชิงเกอเจ้าจะพูดอะไร” มู่ซงไม่ได้ตอบคำถามของมู่ชิงเกอ แต่ย้อนถาม

มู่ชิงเกอมองป๋ายซีเยวี่ยอย่างเยือกเย็น พูดด้วยนํ้าเสียงติดตลกว่า “น้องซีเยวี่ยบาดเจ็บก็จริง แต่เหตุใดนางถึงได้บาดเจ็บ ชิงเกอเองก็ไม่รู้ เมื่อวานชิงเกอท้าพนันกับเฉากุ้ยเสร็จพอหันกลับไปอีกทีก็ไม่เจอน้องซีเยวี่ยแล้ว ข้ากับองค์หญิงตามหาตั้งนานกว่าจะพบนาง ก็อยากจะถามว่าน้องซีเยวี่ยเหมือนกันว่าแผลในร่างกายของเจ้านั้นมาได้อย่างไร? ที่แห่งนั้นเป็นเขตล่าสัตว์ของพระราชวัง เจ้าเข้าไปครั้งแรก เหตุใดจึงไม่อยู่ข้างๆ ข้าและองค์หญิง แต่กลับเดินไปมามั่วซั่ว ทำให้ตนเองต้องบาดเจ็บ เมื่อวานรีบร้อนแต่จะรักษาแผลให้เจ้า จึงไม่ได้ถามอย่างละเอียด ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าก็อธิบายกับข้า ต่อหน้าท่านปู่และท่านอาดีไหม?”

เพื่อจะยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง ต้องเล่าความจริงทั้งหมดหรือ?

มู่ชิงเกอแอบหัวเราะเย้ยหยันในใจ แค่ชี้ช่องโหว่ในคำพูดของนาง ก็พอแล้ว

“ข้า…” ป๋ายซีเยวี่ยอึ้ง นางไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะตอบสนองไวถึงเพียงนี้ไม่แก้ตัวให้ตัวเอง แต่กลับชี้จุดที่เป็นปัญหาในตัวนางออกมา

นางไม่กล้าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในปีกตำหนักเมื่อวาน แล้วจะดำเนินเรื่องราวต่อไปอย่างไรดีเล่า?

“น้องซีเยวี่ย เจ้าก็พูดสิ” รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนปากสีแดงของมู่ชิงเกอนั้นน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก

“นั่นสิซีเยวี่ย อาก็ลืมถามเจ้าว่าแผลบนร่างของเจ้านั้นไปโดนอะไรมา” มู่เหลียนหรงเองก็ถาม แต่เป็นคำถามที่มีเป้าหมายที่ต่างไปจากมู่ชิงเกอ นางเป็นห่วงหญิงสาวที่นางเห็นมาแต่เล็กผู้นี้จริงๆ

“ข้า…ข้า…” ป๋ายซีเยวี่ยอํ้าอึ้ง ยิ่งทำให้มู่ซงสงสัย รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนปากของมู่ชิงเกอนั้นยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเดิม พลางพูดกับตัวเองว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลก เมื่อวานในเขตล่าสัตว์เจ้าอ้วนเช่าบาดเจ็บเพราะการประลองและหลังจากที่เจ้าหายตัวไปก็กลับมาพร้อมกับบาดแผล และที่น่าฉงนไปมากกว่านั้นคือหลังจากที่องค์ หญิงฉางเล่ออุตส่าห์ใจดีดูแลเจ้า แต่ในระหว่างการเดินทางกลับองค์หญิงก็กลับทรงประชวรขึ้นมา ข้าเองก็สงสัยเหลือเกิน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

พูดจบสายตาอันสว่างและสดใสของนางก็มองไปที่ป๋ายซีเยวี่ย

ป๋ายซีเยวี่ยหน้าซีด

การโต้กลับของมู่ชิงเกอ ทำให้นางต้านทานไม่ไหว

มู่ซงเห็นสีหน้าของป๋ายซีเยวี่ยพลันเปลี่ยนไปก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “แม่หนูซีเยวี่ย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเจ้าก็พูดออก มาได้ปู่จะออกหน้าให้เจ้าเอง”

ขิงแก่อย่างไรก็เผ็ดกว่า เขาดูออกว่าป๋ายซีเยวี่ยกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่

เมื่อโดนต้อนถามเรื่อยๆ ป๋ายซีเยวี่ยทำได้แค่ต้องฝืนพูดต่อไปว่า “ข้าเข้าไปยังเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ครั้งแรก เพราะความอยากรู้อยากเห็นทำให้ไม่ทันระวังจึงหลงกับท่านพี่มู่ หลังจากนั้น….หลังจากนั้น ข้า ข้าก็ไปเจอกับสัตว์ร้ายเข้าในขณะที่หนีเอาชีวิตรอดก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนที่องค์หญิงมาตามหาข้าก็เลยอาจจะทรงตกพระทัย เพราะเลือดบนร่างของข้า ดังนั้นจึงทรงเกิดประชวรขึ้นมา”

“ที่แท้องค์หญิงฉางเล่อประชวรเพราะน้องซีเยวี่ยนี่เอง!” มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version