Skip to content

พลิกปฐพี 79-2

ตอนที่ 79-2

คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง

วังตะวันออก

ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ภายในตำหนักอันโดดเด่นเป็นสง่าก็มีเสียงสิ่งของแตกหักดังขึ้นไม่หยุด หลังจากนั้น หญิงสาวสามสี่คนที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ก็ก้มหน้าวิ่งออกมาจากตำหนักอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้แม้ก้าวเดียว จะต้องสูญเสียชีวิต อย่างในขณะที่หญิงสาวคนสุดท้ายวิ่งออกจากตำหนัก ด้าน หลังตัวนางพลันมีแก้วกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งถูกโยนออกมาและกระแทกเข้าที่น่องของนาง นางร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลงพื้น น่องอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆ แก้วกระเบื้องเคลือบตกลงบนพื้นอันเงางามและกระจายเกลื่อน “ยังไม่รีบเอาตัวนางออกไปอีก” ขันทีคนหนึ่งรีบสั่งนางกำนัลให้ลากหญิงสาวที่บาดเจ็บออกไป หลังจากนั้นก็สั่งนางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ ให้รีบทำความสะอาดส่วนที่รกเลอะเทอะ ทุกคนในตำหนักตะวันออกต่างก็ตื่นตระหนก กลัวว่าตนเองจะเป็นผู้โชคร้าย

ในขณะที่ทุกคนในตำหนักตะวันออกกำลังวุ่นวาย ฮองเฮาแซ่หานแห่งแคว้นฉินก็ได้นำขบวนเสด็จมายังตำหนักตะวันออก

เพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นมายังบันไดของตำหนัก พระนางก็เห็นถึงความวุ่นวายที่ยังไม่ได้จัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย พระนางขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ และห้ามไม่ให้คนอื่นติดตาม พร้อมเข้าไปในตำหนักเพียงลำพัง

“ไสหัวไป! ข้าบอกให้ไสหัวออกไป! หากใครกล้าเข้ามา ข้าจะฆ่ามันให้หมด!”

เพิ่งจะเข้าไปภายในตำหนัก ด้านหลังม่านก็มีเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น

คำพูดนี้ยิ่งทำให้ฮองเฮาไม่ชอบใจ นํ้าเสียงพลันเยือกเย็นขึ้นหลายระดับโดยไม่รู้ตัว “จะฆ่าข้าด้วยอย่างนั้นรึ?”

ด้านหลังม่านเงียบลงในทันที สักพักก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้น หลังจากนั้นฉินจิ่นซิวที่แต่งกายไม่เรียบร้อยก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก พลางพูดกับฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ท่านมาได้อย่างไร?”

ทรงผมของฉินจิ่นซิวดูรุ่ยร่าย ตรงคางมีรอยสีเขียวชํ้าวงหนึ่ง บนร่างมีกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง พร้อมกลิ่นเหม็นพิกล

ฮองเฮาขมวดคิ้วพลางต่อว่า “ดูเจ้าสิ ยังเหลือภาพลักษณ์รัชทายาทอยู่ไหม?”

ฉินจิ่นซิวถูกต่อว่าจนไม่กล้าพูดอะไร แต่ในสายตาของเขายังคงเต็มไปด้วยโทสะ เพียงแต่พยายามปกปิดเอาไว้ก็เท่านั้น

อยู่ต่อหน้าสาธารณชน เขาเป็นถึงรัชทายาทที่ความเมตตาและความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ลับหลัง…ใครจะรู้ว่านิสัยอารมณ์ร้อนขี้โมโหต่างหากที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำตามคำสั่งของเสด็จแม่ในการเป็นรัชทายาทที่สมบูรณ์แบบ

แต่ครั้งนี้เขากลับปล่อยวางไม่ได้

ฉินจิ่นซิวเงียบ พระพักตร์เคร่งเครียดเย็นเยียบของฮองเฮาจึงค่อยอ่อนโยนลงบ้าง พระนางถามด้วยความอ่อนโยนและเอื้อเอ็นดู “ครั้งนี้ใครทำให้เจ้าโกรธได้ถึง เพียงนี้?”

ใบหน้าหล่อเหลางดงามของฉินจิ่นซิวดูหงิกงอขึ้นมา ท่าทางพลันเปลี่ยนไปดูน่ากลัวมากกว่าเดิม

“มู่ชิงเกอ!” เขากัดฟันขานชื่อนี้ออกมา

“เขาเองรึ?” ฮองเฮาขมวดพระขนง

ฉินจิ่นซิวหรี่ตาที่เยือกเย็นทั้งสองข้าง แผ่กลิ่นอายเแห่งความอันตรายออกมา

มู่ชิงเกอไอ้คนไร้ค่า ไม่เพียงแต่ชนะคนของเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่ยังบังคับให้เฉากุ้ยขอโทษ ไอ้สวะไร้ค่า นั่นต่อหน้าทุกคน หลังจากนั้นยังทำลายเรื่องดีๆ ของเขาจนป่นปี้หมด ไม่เพียงแค่ข่มขู่แต่ยังเอาเนื้อที่กำลังจะเข้าปากของเขาไปอีก

เหยียดหยามกันถึงเพียงนี้ เขาจะลืมได้อย่างไร

“เสด็จแม่ ข้าอยากให้มันตาย!” ฉินจิ่นซิวพูดคำขอของตนเองออกมาเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ ฮองเฮามองเขาอย่างจนปัญญาค่อยๆ ส่ายพระพักตร์ พลางตรัสว่า “ตราบใดที่มู่ซงยังอยู่ แม้จะเป็นเสด็จพ่อของเจ้าก็ทำอะไรมู่ชิงเกอไม่ได้ง่ายๆ”

คำตอบนี้ทำให้ฉินจิ่นซิวโกรธกว่าเดิม กลิ่นอายรอบกายแฝงด้วยความโหดร้าย “เป็นเช่นนั้นก็ให้มู่ซงตายก่อน ไม่มีคนให้ท้าย ข้าอยากรู้นักว่ายังจะมีผู้ใดช่วยมันได้อีก รอให้ข้าทรมานมันจนพอใจ ข้าก็จะส่งมันไปโลกหน้าด้วยตัวเอง”

ในขณะที่พูด ฮองเฮาไม่ได้สังเกตว่าในสายตาของฉินจิ่นชิวนั้นเกิดประกายแปลกประหลาดขึ้นมา รัชทายาทผู้นี้มีรสนิยมที่ยังคงเป็นความลับ ที่แม้กระทั่งฮองเฮาเองก็ยังไม่ทรงทราบ

นั้นก็คือเขาสนใจทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีใบหน้าอันงดงาม

เมื่อก่อนมู่ชิงเกอเป็นเพียงชายเสเพลไร้ค่าคนหนึ่ง จึงไม่เป็นที่สนใจของเขา แต่เมื่อวานบนสนามล่าสัตว์เขากลับถูกดึงดูดด้วยท่าขี่ม้า ความเป็นธรรมชาติและโอหังของชายผู้นั้น

หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอกระตุ้นอารมณ์ของเขา เขาก็คงจะไม่รีบร้อนอยากให้ป๋ายซีเยวี่ยมาช่วยบรรเทาหรอก

หากมู่ซงตาย มู่ชิงเกอสูญเสียที่พึ่งพิง ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะทำตามใจตนเองได้ไม่ใช่หรือ? รอให้เขาเล่นจนเบื่อ ก็ค่อยฆ่ามันซะ เพื่อคิดบัญชีที่มันทำให้เขาต้องได้รับ ความอัปยศเมื่อวาน

“เจ้าก็พูดง่ายไป หากสามารถสังหารมู่ซงได้ง่ายดายเพียงนั้น เสด็จพ่อของเจ้าจะต้องรอจนถึงตอนนี้หรือ” ฮองเฮาส่ายพระพักตร์พลางถอนพระทัย สำหรับลูกชายคนนี้แล้ว พระนางผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่จะทำอย่างไรได้เล่า? ใครใช้ให้พระนางมีเพียงเขาที่เป็นลูกชายแท้ๆเพียงคนเดียวล่ะ

ฉินจิ่นซิวฟังนํ้าเสียงที่ไม่หนักแน่นในคำพูดของฮองเฮาออก จึงรีบเดินเข้าไปจับมือของพระนาง ออดอ้อนเหมือนตอนเด็กๆ ว่า “เสด็จแม่ทรงฉลาดถึงเพียงนี้ ต้อง คิดวิธีดีๆ ได้อย่างแน่นอน อีกอย่างเสด็จพ่อก็ไม่ชอบใจตระกูลมู่มาแต่ไหนแต่ไร หากเราช่วยกันกำจัดเสี้ยนหนามนี้ให้พระองค์ได้ พระองค์ก็จะให้ความสำคัญกับ เรามากขึ้นไม่ใช่หรือ ถึงตอนนั้นฉินจิ่นห้าวยังจะเหลือสิทธิ์อะไรมาแย่งชิงตำแหน่งกับข้าอีก”

“เจ้าน่ะ” ฮองเฮาเหมือนถูกคำพูดพวกนี้โน้มน้าว ลูบหัวของเขาอย่างเหลือทน พลางปลอบใจว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้หากโอกาสมาถึง เสด็จแม่จะบอกเจ้าเองว่าควรทำอย่างไร ตอนนี้ เจ้ารีบไปแต่งตัวและไปช่วยเสด็จพ่อว่าราชการเถิด”

“ลูกรับบัญชา” เมื่อได้รับคำยืนยันจากฮองเฮา อารมณ์ของฉินจิ่นซิวก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว

เขาหันหลังเดินเข้าไปยังห้องที่ใช้ชำระล้างร่างกายด้านใน แค่คิดว่าอีกไม่นาน มู่ชิงเกอก็จะต้องบิดกายด้วยความหฤหรรษ์อยู่ใต้ร่างของเขา ไฟร้อนในร่างกายที่เพิ่งจะมอดดับไปก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

 

ในค่ำคืนนี้ เหมือนกับว่าชะตาชีวิตของทุกคนจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะการเลือกทางเดินที่แตกต่างกัน

และตัวเอกสำคัญของเรื่องอย่างมู่ชิงเกอที่ถูกคุณตัวประหลาดส่งกลับมายังสวนสระเมฆาจวนตระกูลมู่ก็กำลังหลับฝันหวานอย่างสบาย

วันต่อมา นางตื่นเพราะเสียงดังอันตื่นตระหนกของฮวาเยวี่ย

“มีอะไร?” มู่ชิงเกองัวเงีย ในนํ้าเสียงแฝงไปด้วยความขี้เกียจ

สีหน้าของฮวาเยวี่ยนั้นดูไม่ดีนัก พลางพูดกับมู่ชิงเกอว่า “นายท่านผู้เฒ่าให้มาตามคุณชายไปที่ห้องโถงกลางเจ้าค่ะ”

นายท่านผู้เฒ่าให้มาตามงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอลืมตาขึ้น ความพร่ามัวของนัยน์ตาพลันกลายเป็นความสว่างสดใส

“กี่ยามแล้ว?” มู่ชิงเกอยื่นมือมาเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นนวดหัวของตนเอง

“เพิ่งจะเข้ายามเฉินเจ้าค่ะ ( 7-9 โมงเช้า)” ฮวาเยวี่ยตอบพลางเอาเสื้อผ้ามาให้

มู่ชิงเกอตกใจ และรู้สึกแปลกใจ “เพิ่งจะยามเฉินเองเหรอ? เช้าถึงเพียงนี้ นายท่านผู้เฒ่าคงจะเพิ่งกลับจากท้องพระโรงสินะ”

ฮวาเยวี่ยพยักหน้า “นายท่านผู้เฒ่าเพิ่งกลับมาได้สักพักเจ้าค่ะ”

“เพิ่งกลับมาก็ตามตัวข้าเลยรึ มีเรื่องด่วนอะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

“เพราะนายท่านผู้เฒ่าเพิ่งจะกลับมา แม่นางป๋ายก็ร้องห่มร้องไห้ใปหาท่าน” โย่วเหอแหวกผ้าม่านแล้วเดินเข้ามา เทนํ้าลงในอ่างให้มู่ชิงเกอล้างหน้า

ป๋ายซีเยวี่ยไปหานายท่านผู้เฒ่ารึ?

มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลง

ทำไมนางถึงได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลจากเรื่องนี้นะ?

“แล้วอย่างไรต่อ” นางถามในขณะที่หรี่ตาลง

โย่วเหอสบตากับฮวาเยวี่ย แล้วโย่วเหอก็พูดว่า “ได้ยินว่า หลังจากที่แม่นางป๋ายไปหานายท่าน นายท่านก็โกรธและสั่งให้มาเรียกท่านที่เรือน รู้สึกว่าทางฝั่งคุณหนูใหญ่เองก็ถูกเรียกตัวมาด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มที่เยือกเย็น

นางประเมินความสามารถในการสร้างเรื่องของป๋ายซีเยวี่ยตํ่าเกินไปจริงๆ ยังบาดเจ็บอยู่แท้ๆ แต่ไม่พักรักษาตัว อยู่บนเตียงดีๆ มาทำให้จวนตระกูลมู่วุ่นวายแต่เช้า

ในขณะที่คิดแบบนี้ มู่ชิงเกอก็ลงจากเตียง วางขาลงบนพื้น พูดกับหญิงสาวทั้งสองว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า ข้าจะไปดูสิว่างิ้วเรื่องนี้จะแสดงไปได้ถึงขั้นไหน” ด้วยมืออันคล่องแคล่วของทั้งคู่ ไม่นานมู่ชิงเกอก็แต่งกายเสร็จเรียบร้อย และออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว

ยังคงเป็นชุดสีแดงอันไร้ที่ติ โดดเด่นเป็นประกาย

พอนางพาโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินมาจนถึงห้องโถงกลาง ก็พบว่าบรรยากาศด้านในตึงเครียดเป็นอย่างมาก

ท่านปู่ของนาง มู่ซง ผู้นำที่แท้จริงของจวนตระกูลมู่ มีสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าดูเคร่งเครียดนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน

ส่วนคนสร้างเรื่อง ก็นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

มู่เหลียนหรงนั่งปลอบใจนางอยู่ไม่ห่าง พอเห็นมู่ชิงเกอปรากฏตัวขึ้นก็ตวัดสายตาคมปลาบดั่งมีดที่แฝงไว้ด้วยการกล่าวโทษมาทางนาง

เหอะ~! ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนกำลังจะมีการตัดสินคดีในศาลเกิดขึ้นกันนะ?

มู่ชิงเกอแอบหัวเราะเยาะ

“มู่ชิงเกอ ไสหัวเข้ามาเดี๋ยวนี้!” มู่ซงพูดเสียงดังจนสะเทือนฟ้าดิน

ในขณะนั้น ป๋ายซีเยวี่ยที่กำลังร้องไห้ ก็เงยหน้าขึ้นมองที่นอกประตู หลังจากที่เห็นมู่ชิงเกอในชุดสีแดง ก็อดกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ได้ร้องไห้ด้วยท่าทางเจ็บปวดใจดูน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ความรู้สึกเปราะบาง ไร้ที่พึ่ง และท่าทางอ่อนแอราวกับดอกสาลี่ต้องฝนแบบนั้น ทำให้ทุกคนในห้องโถงกลางรู้สึกสงสารไม่เว้นแม้แต่บ่าวและองครักษ์ของจวนตระกูลมู่ที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งของห้องโถง ต่างก็มองมายังมู่ชิงเกอด้วยสายตาดูแคลน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version