ตอนที่ 79-1
คุณชายตบหน้าอย่างรุนแรง
“เขากล้าไม่ใส่ใจและไม่สนใจเจ้าหรือ” ฉินจิ่นห้าวรู้สึกสงสัย นํ้าเสียงมีความคลุมเครือยากที่จะตัดสินว่าดีใจหรือโกรธเกรี้ยว
ทว่า เท่าที่ป๋ายซีเยวี่ยสังเกต รุ่ยอ๋องเหมือนจะโกรธ และเหตุผลของเขาก็เหมือนของนางคือโกรธเกลียดมู่ชิงเกอ ป๋ายซีเยวี่ยแอบยิ้มมุมปากอย่างลำพองใจ แต่ท่า ทางกลับยิ่งดูน่าสงสารนางผลักฉินจิ่นห้าวออกเบาๆ เดินถอยหลังสองก้าว พลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “ซีเยวี่ยเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในจวนของคนอื่น จะ สูงส่งสู้องค์หญิงได้อย่างไรซีเยวี่ยเข้าใจในการกระทำของท่านพี่มู่ดี”
ฉินจิ่นห้าวเกิดความสงสัย จนเดินเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว พลางถามว่า “ช่วงนี้มู่ชิงเกอสนิทกับขนิษฐาของข้างั้นรึ”
ป๋ายซีเยวี่ยพยักหน้า พูดตามความจริงว่า “องค์หญิงเองก็มาหาท่านพี่มู่บ่อยๆ”
ข่าวนี้ทำให้สายตาของฉินจิ่นห้าวพลันมืดมนในทันที เท่าที่เขาดูแล้ว หากน้องสาวคนนี้ของตนแต่งงานกับคนไร้ค่าอย่างมู่ชิงเกอก็ถือว่าเสียเปรียบ แต่หากแต่งกับองค์ชายแคว้นรอบๆ ก็คงจะเป็นแรงเกื้อหนุนให้เขาได้ขึ้นครองแคว้นได้
เพราะฉะนั้น การที่มู่ชิงเกอและฉินอี้เหยาสนิทสนมกันมากขึ้นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น
ความคิดของเขากับเสด็จแม่เหมือนกัน ในตอนที่ตระกูลมู่ยังมีอำนาจ พวกเขาสามารถแย่งชิงอำนาจมาเป็นของตนเองได้จะเป็นการดีที่สุด การที่ฮ่องเต้จะจัดการกับจวนตระกูลมู่นั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว พอเข้ายึดอำนาจทั้งหมดจากตระกูลมู่เสร็จแล้วก็ให้เสด็จพ่อจัดการจวนตระกูลมู่เสียให้สิ้นซาก สุดท้ายค่อยให้น้องสาวของตนเองแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นเพื่อนบ้าน หากเป็นเช่นนั้นแล้วในบรรดาองค์ชายแห่งแคว้นฉินจะมีผู้ใดที่กล้าสู้กับเขาอีก อาศัยรัชทายาทไร้สามารถที่คุ้มดีคุ้มร้ายนั้นน่ะรึ?
ไม่ได้การ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องทำให้ตระกูลมู่เกิดความโกลาหล เขาจึงจะสามารถฉวยโอกาสนี้ได้
ฉินจิ่นห้าวหรี่ตา และตัดสินใจบางอย่าง
เขาพูดกับป๋ายซีเยวี่ยว่า “ซีเยวี่ย ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้านั้น ข้ารับรู้แล้ว แต่ว่าเจ้าต้องรู้ว่าด้วยฐานะของข้าแล้ว แม้ว่าอีกหน่อยจะพาเจ้าเข้าตำหนักไป ตำแหน่ง ชายาเอกนั้นก็คงไม่อาจเป็นของเจ้าได้ แม้กระทั่งตำแหน่งชายารองเองก็คง….” ในขณะที่พูด เขาก็เผยท่าทางทุกข์ใจออกมา ป๋ายซีเยวี่ยรู้สึกตื่นตระหนก
ชายาเอกก็ไม่ได้ชายารองก็ไม่เหมาะ? แล้วจะให้นางอยู่ในฐานะอะไร สิ่งที่นางต้องการคือหัวใจดวงนั้นของรุ่ยอ๋อง และที่ปรารถนายิ่งก็คือฐานะอันสูงส่งอย่าง ตำแหน่งฮองเฮา
แต่นางก็รู้ว่าสิ่งที่รุ่ยอ๋องพูดเป็นความจริง ใครใช้ให้นางเป็นได้แค่เด็กกำพร้าเล่า?
เขาที่สังเกตถึงอาการที่เปลี่ยนไปของป๋ายซีเยวี่ย ในขณะที่นางเผยความรู้สึกหมดหวังออกมาฉินจิ่นห้าวก็พูดต่อว่า “ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่จะทำให้ ข้าสามารถแต่งเจ้ามาเป็นชายาอย่างเปิดเผยได้”
“วิธีอะไรเพคะ!” ป๋ายซีเยวี่ยถามในทันที
ฉินจิ่นห้าวลูบผมอันสวยงามของนางพลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “แน่นอนว่าต้องช่วยงานเสด็จพ่อ สร้างความดีความชอบ ถึงตอนนั้นเสด็จพ่อก็จะให้ฐานะที่เหมาะสมแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่เพียงแต่จะสามารถทวงความยิ่งใหญ่ของตระกูลป๋ายกลับคืนมาได้ กลับยังสามารถเป็นภรรยาของข้าได้อย่างเปิดเผย โดยที่ไม่ต้องตกเป็นขี้ปากของใคร”
ภาพความฝันอันสวยงามที่ฉินจิ่นห้าวสร้างขึ้นทำให้ป๋ายซีเยวี่ยคล้อยตาม
นางเดินตามทาง ‘สว่าง’ ที่เขาปูไว้ให้และถามว่า “แต่ว่า หม่อมฉันเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะทำงานให้กับองค์ฮ่องเต้แล้วสร้างความดีความชอบได้อย่าง ไร?”
“เจ้าทำได้ ทำได้แน่ๆ” ฉินจิ่นห้าวพูดจูงใจอีกครั้ง “อย่าลืมว่า ตอนนี้เจ้าอยู่ในจวนตระกูลมู่ และตอนนี้จวนตระกูลมู่ก็เป็นปัญหาใหญ่ในใจของเสด็จพ่อไปแล้ว”
ป๋ายซีเยวี่ยตกใจ ฮ่องเต้คิด…กับจวนตระกูลมู่ นางดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ยังดี โชคยังดี! โชคยังดีที่นางมาเจอกับรุ่ยอ๋องและกลายเป็นคนของเขา ในใจของป๋ายซีเยวี่ยคิดว่าตนจะต้องมีความสุขในภายหน้า เหมือนรู้สึกว่าหากตระกูลมู่ล่มสลายจริงๆ ก็จะมีรุ่ยอ๋องคอยช่วยเหลือนางอยู่ ชีวิตของนางก็จะไม่ตกต่ำเหมือนกับคนในจวนตระกูลมู่
“องค์ชาย ซีเยวี่ยต้องทำเช่นไร” ชั่วขณะ ป๋ายซีเยวี่ยก็ตัดสินใจได้นางเลือกทอดทิ้งคนในจวนตระกูลมู่ที่เลี้ยงดูนางมา
พอปลาติดเบ็ด ฉินจิ่นห้าวก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ เสด็จพ่อยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาด เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” พลางถอนหายใจพูดว่า “ความจริงแล้ว พวกเราที่เป็นขุนนางต่างก็ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งนั้น ข้าก็หวังว่าเสด็จพ่อจะไม่เล่นงานตระกูลมู่ เพราะอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นคู่หมายของน้องสาวข้า แต่ก็เถิด หากฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ตายก็ต้องตาย หากเสด็จพ่อคิดจะเล่นงานตระกูลมู่ ข้าก็คงผิดต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าและตระกูลมู่ เพราะต้องคิดเผื่อใต้หล้า”
“ความเจ็บปวดในใจขององค์ชายนั้น ซีเยวี่ยเข้าใจ” ป๋ายซีเยวี่ยอยู่ในอ้อมกอดของรุ่ยอ๋องด้วยท่าทาง ‘เข้าอกเข้า ใจ’
“ก็เหมือนกับที่ตระกูลมู่เลี้ยงดูข้ามานานหลายปี ข้าก็มีไมตรีต่อจวนตระกูลมู่ไม่น้อย แต่พระบัญชาก็ยากที่จะฝ่าฝืน เป็นประชาชนแห่งแคว้นฉิน การได้แบ่งเบา ความกังวลของเจ้าแผ่นดินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
“ซีเยวี่ย เจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก” ฉินจิ่นห้าวกล่าวชม
ป๋ายซีเยวี่ยก้มหน้าลงอย่างขวยเขินในระหว่างที่สนทนากับฉินจิ่นห้าวนางเหมือนจะรู้เหตุผลที่แท้จริงที่จำเป็นต้องเหยียบตระกูลมู่ให้จมดินแล้ว
ฉินจิ่นห้าวกอดป๋ายซีเยวี่ยเอาไว้พลางพูดเสียงต่ำว่า “ต่อจากนี้ หากเจ้าได้ยินอะไรจากจวนตระกูลมู่ ให้แอบมาบอกข้า แน่นอนว่า หากเจ้าทำให้ท่านผู้เฒ่ามู่และมู่ชิงเกอเกิดช่องว่างต่อกันได้จะเป็นการดีที่สุด”
สิ่งที่ฉินจิ่นห้าวพูด คือสิ่งเดียวกับที่ป๋ายซีเยวี่ยคิด มู่ชิงเกอทำแบบนี้กับนาง นางจะไม่ยอมปล่อยเขาไป ง่ายๆ แน่ เพราะฉะนั้น นางจึงรับปากโดยไม่ต้องคิดอะไร
ในที่สุดก็สามารถแอบวางหมากลับไว้ในจวนตระกูลมู่ได้สำเร็จ ฉินจิ่นห้าวอารมณ์ดีนัก เขาก้มหน้าลงมองหญิงสาวในอ้อมกอดที่หลังจากผ่านศึกอันโหมกระหนํ่ามาแต่ ก็ยังดูเย้ายวน ช่วงล่างก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เขายื่นมือเรียวยาวของตนเองออกมา อุ้มป๋ายซีเยวี่ยขึ้น และเดินไปยังตั่งหลังฉากกบังลมที่จัดไว้สำหรับให้แขกได้งีบหลับ
ชั่วข้ามคืน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง ฉินจิ่นห้าวก็กลับเข้าวัง และไปเข้าพบเสด็จแม่ของตนเอง
หลังจากที่พบกับเจียงกุ้ยเฟยที่สวมมงกุฎอันงดงาม เขาก็เล่าเรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยไปหาตนออกมาอย่างละเอียด
เจียงกุ้ยเฟยเงียบฟัง แล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “ห้าวเอ๋อร์ ข้าให้เจ้าไปสร้างสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่ เพื่อให้เจ้ารับช่วงต่อทหารจวนตระกูลมู่อย่างง่ายดาย แต่เจ้ากลับสั่ง ให้ป๋ายซีเยวี่ยไปทำให้ปู่หลานตระกูลมู่แตกคอกัน และยังไปบอกแผนการของเสด็จพ่อของเจ้ากับนางอีก…เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ฉินจิ่นห้าวยิ้ม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนกุมชัยชนะอยู่ในมือ “เสด็จแม่คงยังไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่มู่ชิงเกอกลับจากที่ราบลั่วรื่อ ก็เหมือนจะดูต่างไปจากเดิม เมื่อ ก่อนเขาเป็นแค่แมลงวันตัวหนึ่ง ที่บินวนไปวนมาอยู่รอบตัวลูก ไม่กล้าไปไหน แต่ตอนนี้เขากลับไม่ค่อยสนใจลูก กลับไปสนิทสนมกับน้องสาวแทน ที่ลูกให้ป๋ายซีเยวี่ยทำเช่นนี้ ก็เพี่อที่จะรอไปแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในตอนที่ความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอและมู่ซงอยู่ในขั้นวิกฤติ ทำให้เขาเห็นลูกเป็นที่พึ่งดังเดิม ให้ได้รับความเชื่อใจทั้งหมดจากเขา สำหรับเรื่องที่บอกแผนการของเสด็จพ่อให้ กับป๋ายซีเยวี่ยนั้น”
หยุดไปสักพัก เขาก็หัวเราะเสียงเย็นอย่างเหยียดหยาม “หญิงผู้นั้น จิตใจทะเยอทะยาน แต่กลับโง่เขลานัก แล้วยังคิดว่าตนเองฉลาดเกินใคร ในเมื่อนางไม่ชอบใจจวนตระกูลมู่อยู่แล้ว และตอนนี้ก็มีเป้าหมายอยู่ที่ตัวลูก หากไม่ใช้เป็นเครื่องมือสักหน่อยก็คงจะเสียดายน่าดู”
เจียงกุยเฟยพยักหน้าเบาๆ “หากนางไม่พอใจในจวนตระกูลมู่อยู่แล้ว บอกแผนการของเสด็จพ่อกับนางก็ไม่เลว จะทำให้นางมาอยู่ข้างเราได้ไวขึ้น’’
เงียบไปสักพัก นางก็กล่าวต่อว่า “มีนางเป็นหนอนบ่อนไส้เช่นนี้ สำหรับตระกูลมู่แล้วถือว่าเราถือไพ่เหนือกว่า เจ้าต้องรักษาโอกาสเอาไว้ให้ดี อย่าให้มีอะไรผิดพลาดอีก สำหรับเหยาเอ๋อร์ที่นางไปสนิทกับมู่ชิงเกอก็เพราะคำสั่งของไทเฮาทั้งนั้น เจ้าอย่าเป็นกังวล เหยาเอ๋อร์เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ไปชอบคนไร้ค่าอย่างมู่ชิงเกอหรอก”
ไร้ค่าอย่างนั้นเหรอ?
ในใจของฉินจิ่นห้าวเกิดคำถาม มู่ชิงเกอใช้กระบวนท่าเก้าดาราเรียงยิงธนูในสนามล่าสัตว์ พอข่าวนี้มาเข้าหูเขา เขาก็ไม่ค่อยเชื่อนักว่าคนไร้ค่าผู้หนึ่งจะทำได้ถึงเพียงนี้ และมันก็ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของฉินจิ่นห้าวมาโดยตลอด เขาจึงปล่อยวางสิ่งที่เขาสงสัยนี้ให้เป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น