ตอนที่ 78
เขาเป็นคนอย่างไร?
ภายในตำหนักองค์หญิงฉางเล่อ ตั้งแต่ที่ฉินอี้เหยาสลบไป ตอนนี้ก็ยามสองแล้ว
ในขณะที่นางกำนัลจุดตะเกียงจนในห้องสว่างไสว ในความคิดของนางก็มีภาพความทรงจำลอยไปมาไม่หยุด และในภาพความทรงจำเหล่านั้นนางเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเดิม
ฉินอี้เหยาหน้าแดงกํ่าไปชั่วขณะ แต่ก็กลับสู่สภาพปกติแทบจะทันที
คนฉลาดอย่างนาง รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตนเอง และเรื่องแบบนี้นางเองก็กลัว ในขณะเดียวกันก็ดีใจที่ตนเองไม่ได้ทำสิ่งใดอันผิดศีลธรรม
“องค์หญิงทรงหิวหรือยังเพคะ? ข้าน้อยไปเตรียมสำรับมาให้นะเพคะ” หลังจากที่จุดตะเกียงเสร็จ นางกำนัลก็เดินเข้ามาถามฉินอี้เหยา
“เดี๋ยวก่อน” ฉินอี้เหยาสั่งคำสั่งกับนาง เม้มปากพลาง ถามเบาๆ ว่า “ระหว่างทางกลับตำหนัก ข้ารู้สึกไม่สบาย จำไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าลองเล่าให้ข้าฟัง
อกสักรอบสิ”
“ได้เพคะ” นางกำนัลไม่ปฏิเสธ และเล่าทุกอย่างให้แก่นางฟัง
รวมถึงเรื่องที่มู่ชิงเกอพลันเปลี่ยนใจให้ป้ายซีเยวี่ยรักษาตัวที่โรงหมอริมทาง จากนั้นก็ให้คนจากจวนตระกูลมู่มารับตัวนางกลับจวนไป แล้วมู่ชิงเกอก็เฝ้าอยู่หน้าประตู เป็นเวลาเนิ่นนานจึงค่อยกลับไป นางกำนัลเล่าทุกอย่างให้องค์หญิงฟังอย่างละเอียด
ฟังนางกำนัลพูดจบ หัวใจของฉินอี้เหยาก็เต้นรัว
นางสั่งให้นางกำนัลออกจากห้องไปแล้วมองไปยังเปลวไฟ และเหม่อลอยท่ามกลางไฟที่กำลังลุกโชนนั้น
“มู่ชิงเกอ เจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่?” ฉินอี้เหยาพึมพำด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
ใครๆ ก็บอกว่า มู่ชิงเกอเป็นคนเสเพลไร้ค่า ทว่าเมื่อนางได้สัมผัสกับเขาจริงๆ แล้ว กลับพบว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เขาให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่าใคร และเป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องยาพิษ การจัดการของเขาเหมาะสมมาก ไม่ได้ทำให้นางเสียชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อยและเพราะไม่ไว้ใจ จึงมาเฝ้าด้วยตนเอง หลังจากที่มั่นใจว่านางไม่ได้เป็นอะไรแล้วจึงกลับไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
หลังจากที่คิดทบทวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว หัวใจอันเยือกเย็นของฉินอี้เหยาก็อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าอันงดงาม ผุดรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง
ณ ตำหนักองค์หญิง จิตใจของฉินอี้เหยานั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ในอีกด้านหนึ่งของแคว้นลั่วตู ณ ร้านชาธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง ในที่สุดฉากรักอันยวนใจก็ได้จบลง
ป๋ายซีเยวี่ยใส่เสื้อผ้าของตนเอง ผิวอันขาวผ่องนั้นยังหลงเหลือรอยสีชมพูอยู่
“องค์ชาย ต่อไปนี้ซีเยวี่ยก็เป็นคนขององค์ชายแล้ว” หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าให้กับฉินจิ่นห้าวเสร็จแล้ว ป๋ายซีเยวี่ยจึงกอดเขาจากด้านหลัง เอาใบหน้าของตนเองแนบกับแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของเขา ฉินจิ่นห้าวตาเป็นประกาย เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ตบมือเล็กๆ ที่กอดเอวตนเอง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ทิ้งเจ้าหรอก”
พูดจบ เขาก็ดึงมือของนางและดึงนางเข้ามาอยู่ตรงหน้าตนเองพลางถามว่า “ตอนนี้บอกข้าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
การที่รุ่ยอ๋องจะถามถึงต้นสายปลายเหตุนั้น เป็นเรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยคาดการณ์เอาไว้แล้ว
เพราะฉะนั้น นางจึงพยักหน้าอย่างไม่เร่งรีบ พูดในสิ่งที่คิดมาเป็นอย่างดีแล้ว
นางคิดไว้แล้วว่า นางจะพูดตามความจริงกับรุ่ยอ๋อง แบบนี้ก็จะสามารถให้รุ่ยอ๋องแก้แค้นแทนนางได้ แน่นอนว่า บางอย่างที่ควรปิดบัง และรายละเอียดที่ไม่ควรให้รุ่ยอ๋องรู้นางจะไม่พูดถึงอย่างแน่นอน
สายตาที่แนบนิ่งดั่งสายนํ้าพลันมีไอร้อนชื้นเกาะกุมชั้นหนึ่ง ป๋ายซีเยวี่ยตัวอ่อนราวกับไร้กระดูกพิงอยู่บนหน้าอกของฉินจิ่นห้าว พลางพูดว่า “ซีเยวี่ยไปงานล่าสัตว์ชมไม้กับองค์หญิงฉางเล่อและพี่มู่ แต่ว่าข้าไม่ได้พบพระองค์มานาน หวังจะได้แอบมองท่านห่างๆ อีกสักครั้ง ทว่ายังไม่ทันจะเจอพระองค์ข้าก็ชนเข้ากับรัชทายาท”
เรื่องที่ตนเองโดนลงโทษไม่ได้ถูกป่าวประกาศออกไป เพราะฉะนั้นหญิงสาวที่อยู่แต่ในจวนอย่างนางจะไม่รู้ ฉินจิ่นห้าวก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่า ในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งกับความรู้สึกที่ผู้หญิงในอ้อมกอดมีให้กับตน แต่ว่ามันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
พอได้ยินคำว่า ‘รัชทายาท’ ในสายตาของเขาก็พลันเยือกเย็น ตรงหางตามีความโหดเหี้ยมปรากฎขึ้น
ป๋ายซีเยวี่ยที่ไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฉินจิ่นห้าว พูดสิ่งที่อยู่ในใจต่อว่า “หลังจากนั้น รัชทายาทก็พาซีเยวี่ยไปยังที่เปล่าเปลี่ยว และคิดจะ…จะ…” คิดถึงความหมดหวังในตอนนั้น ในใจของป๋ายซีเยวี่ยนอกจากโกรธเกลียดแล้ว ยังคงมีความหวาดกลัว
ร่างกายของนางสั่นอย่างอดไม่ได้นํ้าตาไหลออกมาไม่หยุด
ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้ว เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้โดยเร็วที่สุด เขาจึงกอดหญิงสาวในอกแน่นขึ้น เพื่อเป็นการปลอบโยนนาง
สำหรับการกระทำของฉินจิ่นซิวแล้ว เขาแค่ใช้หัวแม่เท้าเดายังเดาออก โกรธหรือ? ฉินจิ่นห้าวไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแม้แต่น้อย กลับรู้สึกสมใจ ผู้หญิงที่ฉินจิ่นซิวตีตราเอาไว้ สุดท้ายกลับกลายเป็นผู้หญิงของตนเอง คิดแล้วก็ช่างสะใจจริงๆ
รู้สึกได้ว่า สองแขนที่โอบกอดตนเองนั้นแน่นขึ้น ป๋ายซีเยวี่ยพลันอุ่นใจมากขึ้น รู้สึกว่าตนเองเลือกไม่ผิด องค์ชายมีใจให้แก่นางและเห็นใจนาง ทั้งยังปลอบใจนางด้วยการกระทำ
“โชคดีที่หลังจากนั้นองค์หญิงฉางเล่อไปทันเวลาทำให้รัชทายาทจำเป็นต้องออกไป แต่ฤทธิ์ยาพิษในตัวข้านั้น.. แล้วข้าทั้งบาดเจ็บและโดนยาพิษ หลังจากนั้น
ถูกส่งตัวกลับจวน ข้าคิดว่าคงจะไม่มีใครช่วย เพื่อหาทางรอด ข้าจึงแอบออกจากจวนมา ทำให้ซีเยวี่ยมาพบกับองค์ชาย ทั้งหมดนี้ราวกับเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต” พูดจบนัยน์ตาของป๋ายซีเยวี่ยพลันเกิดความอิ่มเอมใจ
ฟังคำอธิบายของป๋ายซีเยวี่ยจบ ฉินจิ่นห้าวก็กะพริบตาไปหลายหน พลางประทับรอยจูบกลางศีรษะนาง พูดอย่างเห็นใจว่า “ทำให้เจ้าลำบากเข้าแล้ว วางใจเถอะ
ข้าจะทวงความยุติธรรมให้แก่เจ้าเอง” คำพูดนี้ กำลังเป็นคำพูดที่ป๋ายซีเยวี่ยอยากได้ยิน และตอนนี้พอได้ยินองค์ชายเป็นคนเอ่ยปากก่อน ในใจจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
“แล้วมู่ชิงเกอล่ะ” ฉินจิ่นห้าวพลันถามขึ้น
พูดถึงมู่ชิงเกอ ในสายตาของป๋ายซีเยวี่ยก็เกิดความเยือกเย็นขึ้นและหลั่งนํ้าตาและทำท่าทางน่าสงสารในทันที “พี่มู่จะมีกะจิตกะใจอะไรมาสนใจข้า หลังจากที่ ช่วยชีวิตข้าน้อยแล้ว เขาก็ทิ้งเขาไว้ตรงโรงหมอข้างตลาดแล้วก็ส่งองค์หญิงฉางเล่อกลับตำหนักไป”
“เขากล้าไม่ใส่ใจและไม่สนใจเจ้าหรือ” ฉินจิ่นห้าวรู้สึกสงสัย นํ้าเสียงมีความคลุมเครือยากที่จะตัดสินว่าดีใจหรือเสียใจ