ตอนที่ 77
นายท่านมั่วป่วย
เห็นท่าทางจริงใจของนาง ซือมั่วก็ไม่อยากสาวความยาวต่อความยืดว่านางพูดจริงหรือไม่
ที่พานางมาที่นี่ จริงๆ แล้วเพียงอยากจะลงโทษนาง
ลงโทษนางที่ไม่รู้จักเก็บซ่อนสายตาอันงดงามต่อหน้าผู้อื่น ทำให้มีสายตาหื่นกระหายแอบมองนางตามมามากมาย สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาไม่พอใจ
ทว่า พอมู่ชิงเกอปรากฎตัวต่อหน้าเขา เขาก็ไม่เหลือกะ จิตกะใจที่จะลงโทษนางเลยแม้แต่นิด เพียงแค่อยากจะพูดคุยกับนางอย่างผ่อนคลายและไม่ต้องสนใจสิ่งใด เหมือนดั่งตอนนี้
อืม ควรจะบอกว่า นางปฏิบัติต่อเขาอย่างกำเริบไม่สนใจสิ่งใด
และเขา ก็เหมือนจะทนความกำเริบแบบนี้ได้
‘หรือว่า ข้าจะป่วยเหมือนที่กู่หยาและกู่เย่บอก’ ซือมั่วถามตนเองในใจ
“นี่ เจ้าพาข้ามาทำอะไรที่นี่ หากไม่มีอะไรก็รีบปล่อยข้ากลับไป” เห็นแก่ซือมั่วที่ให้เคล็ดวิชาพันสายฟ้ากับนาง นางจึงถามอย่างอดทน
“มั่ว” ซือมั่วช่วยแก้
คิ้วที่ขมวดอยู่ ทำให้นางแทบจะอดไม่ได้อยากจะเอามือไปคลายให้ตรง
และมู่ชิงเกอก็เกือบจะทำแบบนั้นแล้ว แต่โชคดีตอนที่มือของนางกำลังจะยื่นออกไปนางรีบดึงกลับมาได้อย่างทันห่วงที หยุดยั้งการกระทำอันน่าขายหน้าของตนเองไว้ใด้ บางคนก็ยังคงมองนางอย่างแน่วแน่ ทำให้นางยักไหล่
พูดอย่างจนปัญญาว่า “เอาเถอะ ถอยกันคนละก้าว คุณตัวประหลาด”
“…” ซือมั่วเงียบ
เอาเถอะ คุณตัวประหลาดก็คุณตัวประหลาด สักวันหนึ่ง เขาจะต้องได้ยินชื่อของตนเองออกมาจากปากเล็กๆ ที่แสนจะน่าดึงดูดนี้ให้ได้
“คุณตัวประหลาดหากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนได้หรือไม่ ข้ารีบ!” มู่ชิงเกอพูดขึ้นอีกครั้ง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ชอบที่นี่และอยากออกจากที่นี่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” ซือมั่วพูด
มู่ชิงเกอพูดอีกว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินคำว่าปราสาทเงิน ปราสาททอง มิอาจเท่าเพิงหมาของตนเอง (เปรียบเทียบ ที่ใดก็ไม่เท่าบ้านตนเอง) รึ?” นางรีบจริงๆ ไม่มีเวลามา พูดคุยอย่างสบายอารมณ์กับคนแก่เช่นนี้
เรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยบาดเจ็บ นางต้องกลับไปอธิบายให้ท่านผู้เฒ่าได้ทราบ
องครักษ์อีก 500 กว่านายยังรอให้นางไปทรมาน อ้อ ไม่สิ ไปฝึกฝน
และตำรายาที่เพิ่งได้มา…พันสายฟ้าก็ยังฝึกได้ไม่ชำนาญมากพอ นางยุ่งมาก ยุ่งมากๆ จริงๆ รู้หรือไม่
“ปราสาทเงินปราสาททอง มิอาจเท่าเพิงหมาของตนเอง” ซือมั่วทวนคำพูดของมู่ชิงเกอพลางยิ้มพลันพูดว่า “ถือเป็นการอุปมาที่ใช้ได้” เงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อว่า “ก็เหมือนบทกลอนที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ประพันธ์ขึ้นในวันนั้น ช่างน่าอัศจรรย์ใจ”
มู่ชิงเกอตกใจ พลางถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ตั้งแต่วันที่นางทะลุมิติมาจนถึงตอนนี้ นางแอบขโมยใช้คำกลอนไปแค่บทเดียวเท่านั้น และในตอนนั้นนางเองก็มั่นใจว่า คุณตัวประหลาดไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เขารู้ได้อย่างไร?
ซือมั่วยิ้มอย่างลึกลับ “สำหรับเรื่องของเสี่ยวเกอเอ๋อร์แล้ว ข้ารู้ทุกอย่าง”
ไม่นะ! ความเป็นส่วนตัวล่ะ พื้นที่ส่วนตัวล่ะ ทำไมนางต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การสอดส่องของไอ้เฒ่าผู้นี้ด้วย
ใบหน้าเล็กๆ อันงดงามของมู่ชิงเกอดำคลํ้าดั่งก้นหม้อ
หากนางสู้ชนะผู้ชายตรงหน้าได้นางจะเหยียบเขาให้จมดิน
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังโกรธหรือ?” ซือมั่วถาม ชัด! เจน! มาก! ใช่ไหมล่ะ?
มู่ชิงเกอไม่อยากจะพูดคุยกับใครบางคนอีกต่อไปแล้ว
“เพราะเหตุใด?” ซือมั่วถามอีกครั้ง
ไม่นะ! ไม่นะ! ไม่นะไม่นะ! กล้าใช้คำถามราวกับตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นนี้มาถามนางว่าทำไมงั้นรึ?
ราวกับเปลวเพลิงพวยพุ่งออกจากดวงตาทั้งคู่ของม่ชิงเกอ นางกัดฟัน พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองพลางพูดว่า “หลังจากนี้ ห้ามติดตามชีวิตข้าอีก ไม่อย่างนั้น เราสองคนถือเป็นศัตรูกัน!”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์โกรธเพราะเรื่องนี้เองหรือ” ในที่สุด ซือมั่วก็เหมือนจะเข้าใจเหตุผลที่มู่ชิงเกอโกรธ
“ได้” เขาตอบอย่างไม่ลังเล เหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอเกือบจะรู้สึกเศร้าใจ ผู้เก่งกาจทำไมถึงเป็นเช่นนี้นางก็เคยเป็นคนเก่งกาจคนหนึ่ง แต่ไม่ได้อวดดีขนาดนี้ มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองฟ้า โดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้น นางก็รู้สึกเหมือนชกเข้าไปยังสำลีก้อนใหญ่ ทำให้รู้สึก ไม่! ดี! มาก!
เหมือนจะรู้สึกว่ามู่ชิงเกอจะโกรธจริงๆ ซือมั่วจึงไม่บังคับ แต่พูดอย่างมีความสุขว่า “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
หลังจากนั้น มู่ชิงเกอทันมองหน้าเขาแค่แวบเดียว ก็หายออกไปจากสวนต้นสาลี่
ซือมั่วนั่งอยู่ที่เดิม หยิบขวดเหล้าที่มู่ชิงเกอเคยดื่มขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางแบบเดียวกันกับนาง
อยู่ๆ ตรงหน้าเขาก็ปรากฏเงาร่างสีดำของคนสองคน
เงาคนชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นกู่หยาและกู่เย่นี่เอง
“มหาปราชญ์!”
ทั้งสองพูดพร้อมกัน
ซือมั่วทำเหมือนไม่ได้ยินพึมพำว่า “ตอนแรกอยากจะเรียนวิธีการเต้นเพลงแปลกๆนั้น แต่ดูเหมือนว่าคงต้องรอครั้งหน้าตอนที่นางอารมณ์ดีแล้ว”
พอคำพูดนี้เข้าหูกู่หยาและกู่เย่ นัยน์ตาของทั้งสองพลันมีความแปลกประหลาดขึ้นมา อาการของเจ้านายหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมรึ?” จบความเสียดายภายในใจแล้ว ซือมั่วก็พูดกับทั้งสอง
กู่เย่รีบพูดว่า “หลังจากที่คนพวกนั้นรู้ว่ามหาปราชญไม่ได้อยู่ในอาณาจักรแล้ว ก็เหมือนจะเริ่มไม่สงบ”
นัยน์ตาสีนั้าตาลลึกลํ้าของซือมั่ว มีรังสีสังหารอันเยือกเย็นพวยพุ่งออกมา อุณหภูมิทั่วร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ความรุนแรงของความเยือกเย็นนั้นชวนให้ผู้คนหายใจติดขัด
ในสายตาของกู่หยาและกู่เย่มีเปลวเพลิงรุ่มร้อนลุกโชนขึ้น พูดอย่างพร้อมเพรียงกันในใจว่า ‘แบบนี้สิถึงจะเป็นมหาปราชญ์ที่พวกเขาคุ้นเคย ถือเป็นการปลดปล่อยที่ถูกวิธี’
“ดูเหมือนว่าจะได้เวลากลับไปอีกรอบแล้ว” ซือมั่วตัดสินใจ
คิดแล้วเขาก็พูดว่า “กู่เย่กลับไปกับข้า กู่หยาอยู่ที่นี่คอยปกป้องเสียวเกอเอ๋อร์อย่างลับๆ จำไว้ หากนางไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต เจ้าห้ามปรากฏตัวเด็ดขาด และ ห้ามไปติดตามชีวิตประจำวันของนาง ยิ่งห้ามไม่ให้นางรู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของเจ้า”
บนใบหน้าอันเย็นชาหล่อเหลาของกู่เย่ที่ได้ไปกับซือมั่วนั้น ปรากฏความกระหยิ่มยิ้มย่อง ส่วนเด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งอย่างกู่หยาก็ทำหน้าอยากจะร้องไห้ มองซือมั่วอย่างน่าสงสาร
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากดูแลมู่ชิงเกอ แต่เขาไม่อยากจากเจ้านายของตนเองไป ฮือๆๆ~! ทำไมคนที่อยู่ที่นี่ถึงไม่ใช่กู่เย่
ไอ้คนเลวนั่น!
เสียดายที่ซือมั่วหายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่มองเขาเลยแม้แต่แวบเดียว
หลังจากที่มั่นใจว่าเจ้านายไปแล้ว กู่เย่ก็ตบไหล่ของกู่หยาอย่างเห็นใจ พลางปลอบใจว่า “น้องชาย ปล่อยวางเถิด หลายปีผ่านมา การตัดสินใจของมหาปราชญ์ เคยเปลี่ยนไหม?”
“อยากจะลองแข่งกันสักตั้งหรือ?” กู่หยามองอย่างเย็นชาพลางกัดฟันพูด
กู่เย่ไม่ได้โง่ที่จะไปเป็นที่ระบายอารมณ์ให้เขาในตอนนี้ จึงจากไป ทิ้งกู่หยาไว้เพียงผู้เดียว