ตอนที่ 80-3
หากสามีจะไป ภรรยาจะติดตามไปด้วย
ฉินอี้เหยาถอดเสื้อคลุมแล้วตอบนางกำนัลว่า “เสด็จพี่ของข้าคนนี้เอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร การตัดสินใจของเขาไม่ยอมให้ใครมาขัดได้ แล้วข้าจะไปทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปทำไม อีกอย่างก็แค่อาหารมื้อเดียว ทานเสร็จแล้วข้าก็ค่อยกลับตำหนัก”
นางกำนัลฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากและคอยปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้า
ในความเป็นจริงแล้ว ฉินอี้เหยายังอยากเจอใครอีกคน แต่รู้ว่าจะได้เจอในวันนี้หรือไม่ ในขณะที่ฉินอี้เหยาเปลี่ยนเสึ้อผ้า ป๋ายซีเยวี่ยก็ถึงตำหนักรุ่ยอ๋องพอดี
หลังจากที่ได้รับการเรียกตัว ป๋ายซีเยวี่ยก็เข้าไปในตำหนักรุ่ยอ๋อง และพบกับฉินจิ่นห้าว
“ฝ่าบาท!”กว่าจะได้เจอคนรักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยเต็มไปด้วยความดีใจและพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเขาด้วยท่าทางสนิทสนม
แต่ว่า ฉินจิ่นห้าวกลับดูไม่มีความสุขเท่านาง
เขาไม่อยากให้ฉินอี้เหยาเห็นป๋ายซีเยวี่ยในตำหนักของตนเอง จึงพูดไปตามตรงว่า “เจ้ามาหาข้าถึงที่นี่ มีอะไรเร่งด่วนรึ”
คำพูดนี้ทำให้ป๋ายซีเยวี่ยสงบลงในทันที
นางรีบพยักหน้าพลางพูดว่า “มู่ชิงเกอจะพาองค์รักษ์ไปเมืองอี้”
ฉินจิ่นห้าวตกใจ นั่งลงบนเก้าอี้ทันทีและทวนคำพูดอีกครั้ง : “เจ้าบอกว่ามู่ชิงเกอจะพาองครักษ์ไปหามู่ซงที่เมืองอี้รึ?”
ป๋ายซีเยวี่ยพยักหน้าหลายที
“เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?”ฉินจิ่นห้าวหรี่ตาทั้งสองข้างลง แววตาเย็นชา
ครั้งก่อน มู่ชิงเกอพาองครักษ์ห้าร้อยนายออกไปยังที่ราบลั่วรื่อ สุดท้ายมีเขากลับมาเพียงคนเดียว
ครั้งนี้ทางเมืองอี้นั้นมีสัตว์ป่ารุกรานอย่างหนัก ขนาดเขาเองก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วแค่อันธพาลไร้ค่าคนหนึ่ง กล้าพาคนแค่ไม่กี่ร้อยคนไปรนหาที่ตายรึ
ช่างโง่เขลานัก!
ฉินจิ่นห้าวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แล้วคิดว่าควรจะไปห้ามมู่ชิงเกอที่จะไปรนหาที่ตายหรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ดี
ผ่านไปสักพักเขาก็รู้สึกว่าหากมู่ชิงเกอตายที่เมืองอี้ คงจะดีกว่า
เพราะหากเป็นแบบนี้ ตระกูลมู่ก็จะสลายหายไปจากแคว้นฉินอย่างแท้จริง
และยิ่งไม่ต้องให้เขาเปลืองแรงเปลืองสมองไปคิดหาวิธีจัดการกับมู่ชิงเกอและไม่ต้องทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีให้กับมันอีก
เพียงแต่มู่ชิงเกอก็จะมีแต่ได้น่ะสิ ในดวงตาของฉินจิ่นห้าวสาดประกายความเจ็บใจออกมา หากมู่ชิงเกอตายที่เมืองอี้ ความอัปยศอดสูในใจของเขาก็จะไม่ได้รับการปลดปล่อยน่ะสิ ถูกไอ้เจ้าอันธพาลเสเพลคนหนึ่งมาชื่นชมบูชา ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าในใจของเขา
แล้วยิ่งไปกว่านั้น ไอ้คนไร้ค่าผู้นี้ยังกล้าเล่นกับความรู้สึกของเขาหลายครั้งหลายครา ทำให้เขาโกรธเกลียดมันจนถึงที่สุด “องค์ชาย เราควรทำอย่างไร?” ป๋ายซีเยวี่ยถาม
ฉินจินห้าวเผยรอยยิ้มที่เยือกเย็นและโหดเหี้ยม “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
ไม่ได้รับคำตอบจากฉินจิ่นห้าว ทำให้ป้ายซีเยวี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าต่อต้าน จึงรีบกล่าวลา การมาครั้งนี้นางไม่ได้รับคำพูดที่อ่อนโยนจากรุ่ยอ๋องตามที่คิดเอาไว้ทำให้นางแอบรู้สึกน้อยใจ
ฉินจิ่นห้าวกล้าคุยกับป๋ายซีเยวี่ยในห้องรับแขกกลาง เพราะคิดว่าอย่างไรฉินอี้เหยาก็คงจะทำธุระส่วนตัวไม่เสร็จในเร็วๆ นี้แน่
แต่ว่าเขากลับไม่รู้ว่าฉินอี้เหยาไม่ได้อาบนํ้าหวีผม เพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินกลับมา
ช่างบังเอิญ ที่นางได้ยินข่าวที่มู่ชิงเกอจะไปเสี่ยงอันตรายที่เมืองอี้ ตอนจะเดินเข้าประตูมาพอดี สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป ยังไม่ทันที่จะได้บอกลาเสด็จพี่ของตนเอง นางก็พาคนของตนเองออกไปจากตำหนักรุ่ยอ๋อง ทางหนึ่งก็สั่งให้คนไปสืบว่าช่วงนี้ในลั่วตู เกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกทางก็สั่งให้คนไปแกะรอยมู่ชิงเกอ ส่วนตัวนางก็รีบรุดไปนอกเมือง คิดจะไปห้ามมู่ชิงเกอระหว่างทางออกจากลั่วตู เพื่อไม่ให้เขาทำอะไรวู่วาม ระหว่างทางที่ออกจากลั่วตูไปยังเมืองอี้ ฉินอี้เหยาที่อยู่บนหลังม้ามองออกไปไกล
สักพักนางก็เห็นว่าข้างหน้ามีฝุ่นฟุ้งปลิวกระจายจากมาจากที่ไกลๆ และเสียงเกือกม้าราวกับพายุดังก้องใกล้เข้ามา
“องค์หญิง มีคนมาแล้ว จะใช่คุณชายหรือไม่เพคะ” นางกำนัลของฉินอี้เหยายืดคอยาวไปดู
จะใช่เขาหรือ?
ฉินอี้เหยาแอบถามตนเองในใจ
บนหลังม้าที่ควบมาด้วยความเร็วสูง มู่ชิงเกอที่อยู่ด้านหน้าสุดเห็นเงารางๆ ของหญิงสาวที่ยืนอยู่บริเวณเนินข้างทางเล็กๆ บนเส้นทางหลัก แต่ว่า เพราะไกลมากจึงมองไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด
พอค่อยๆ เข้ามาใกล้นางจึงพบว่าเป็นองค์หญิงฉางเล่อ คู่หมายของนาง ฉินอี้เหยา
“อี้—!”
นางกระตุกเชือกม้าทันที เกือกม้ายังคงย่ำอยู่กับที่ไม่หยุด มู่ชิงเกอเห็นฉินอี้เหยาจึงถามว่า “องค์หญิงทรงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
นางในชุดสีแดง ขี่อยู่บนหลังม้าสีดำปลอดตัวใหญ่ ดูเต็มไปด้วยความกล้าหาญ ใบหน้าอันงดงามเป็นหนึ่งนั้น เพราะไม่ได้เจอกันนานจึงดูเหมือนจะเติบโตและน่าดึงดูดขึ้นมาก
ฉินอี้เหยามองนาง แล้วลืมเป้าหมายในการมาที่นี่ของตนเองไปชั่วขณะ
ได้ยินคำถามจากมู่ชิงเกอ นางจึงขี่ม้าเข้ามาใกล้แล้วถามว่า “ เจ้าจะไปเมืองอี้รึ?’’นางพูดพลางเงยหน้าขึ้น
มองไปที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ ทหารหลายร้อยนายที่สวมชุดเกราะ ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงความปลอดภัยของมู่ชิงเกอด้วย
“องค์หญิงทรงทราบมาจากไหน” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง สายตาอันตราย
ฉินอี้เหยากัดปากพลางพูดว่า “ตอนที่ป๋ายซีเยวี่ยมายังตำหนักรุ่ยอ๋อง ข้าอยู่กับเสด็จพี่พอดี”
นางไม่ได้ตอบคำถามของมู่ชิงเกอโดยตรง แต่กลับใช้คำพูดอย่างชาญฉลาดเพียงไม่กี่คำ อธิบายทุกอย่างได้กระจ่าง
ป๋ายซีเยวี่ย ฉินจิ่นห้าว?
ในสายตาของมู่ชิงเกอนั้นฉายแววเย็นชาออกมา ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะสมคบคิดกันจริงๆ สินะ
แต่ว่าแล้วป๋ายซีเยวี่ยรู้ได้อย่างไรว่าตนเองจะไปเมืองอี้ ท่านอาบอกบอกรึ? ไม่น่าจะใช่ เรื่องแบบนี้ท่านอาไม่ บอกป๋ายซีเยวี่ยแน่ๆ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบเรื่องนี้
มู่ชิงเกอพยายามเก็บซ่อนไอเยียบเย็นในดวงตา มองฉินอี้เหยาพลางพูดว่า “แล้วทำไมองค์หญิงทรงมาอยู่ที่นี่”
“เจ้าไปไม่ได้นะ มันอันตรายเกินไป” ฉินอี้เหยาบอกจุดมุ่งหมายในการมาของตนเอง ในช่วงที่นางรอคอย คนที่นางสั่งให้ไปสืบก็นำข่าวมาแจ้งนางแล้ว
เหตุการณ์สัตว์ป่ารุกรานในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ยากจะพานพบในรอบร้อยปี มู่ชิงเกอไปครั้งนี้ไม่เท่ากับไปตายหรือ?
แม้ว่ามู่ซงจะอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ามู่ชิงเกอจะปลอดภัย!
“องค์หญิงทรงคิดมากไปแล้ว ข้าแค่ไปหาท่านปู่จะมีอันตรายได้อย่างไร อีกอย่างที่เมืองอี้ยังมีทหารกองทัพใหญ่จากตระกูลมู่อีกนับห้าแสนนายคอยคุ้มครองอยู่”มู่ชิงเกอพูด
เห็นเขายังยืนยันฉินอี้เหยาจึงบอกว่า “ เจ้าจะไปจริงๆ รึ”
มู่ชิงเกอไม่เสียเวลาคิดพยักหน้าทันที
“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับเจ้า”ฉินอี้เหยาบอกการตัดสินใจของตนเอง
มู่ชิงเกอเบิกตาโตหลุดปากพูดว่า “บ้าไปแล้วหรือ!” ที่นางไปเพราะว่ามีเหตุผลจำเป็น แต่ฉินอี้เหยาจะไปทำไม
“คุณชาย องค์หญิงของข้าห่วงความปลอดภัยของท่านเป็นที่สุด จึงกล้าเสี่ยงอันตรายแบบนี้ ทำไมท่าน…”
“เงียบนะ!” ฉินอี้เหยาพูดเสียงเย็น หยุดนางกำนัลที่กำลังไม่พอใจแทนนาง
ฉินอี้เหยาค่อยๆ หันไปมองมู่ชิงเกอ นางเม้มปากแล้วพูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจที่นางพูด หากเจ้ายืนยันว่าจะไป ก็ต้องให้ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“นี่ไม่ใช่เวลามาล้อเล่นนะ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วพูดเสียงเข้ม
ฉินอี้เหยายิ้มและพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าก็ไม่เคยล้อเล่น”
คำตอบดึงดันนี้ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง นางที่อยู่บนหลังม้าควบม้าไปทางฉินอี้เหยาหลายก้าว เมื่อมาอยู่ข้างๆ นางก็โน้มตัวไปพูดข้างหูนางเบาๆ ว่า “พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าการไปครั้งนี้อาจจะไม่ได้กลับมา”
“ข้ารู้” ฉินอี้เหยาตอบตรงๆ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ทรงกลัวหรือ?”
ฉินอี้เหยามองนาง เม้มปากแล้วส่ายหน้าเบาๆ
มู่ชิงเกอหรี่ตา ขยับกายกลับมาที่เดิม อยู่ๆ ก็ยิ้มแล้วถามว่า “หากกระหม่อมยืนยันจะไม่พาพระองค์ไปด้วยเล่า?”
ฉินอี้เหยาเองก็ยิ้มพลางตอบว่า “ทางไปเมืองอี้นั้นไม่ใช่แค่เจ้าคนเดียวที่รู้จัก”
ในแววตาของมู่ชิงเกอมีประกายความเยือกเย็นวาบผ่าน นางมองใบหน้าอันงดงามแต่เย็นชาของฉินอี้เหยา แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ตามมา” แล้วหวดแส้เฆี่ยนม้าพุ่งตรงไปข้างหน้าทันที
พอนางจากไป คนข้างหลังอีกหลายร้อยคนก็รีบตามไป เกือกม้าทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายบดบังใบหน้าและดวงตาทั้งคู่