ตอนที่ 80-2
หากสามีจะไป ภรรยาจะติดตามไปด้วย
มู่เหลียนหรงเป็นสายเขียวขั้นสูง ป๋ายซี่เยวี่ยจึงไม่กล้าแอบฟังอยู่ข้างนอก
หากถูกจับได้ กลัวว่านางจะไม่สามารถอยู่ในจวนตระกูลมู่ได้อีกต่อไป หากเป็นเช่นนั้นนางจะช่วยรุ่ยอ๋องได้อย่างไร?
ป๋ายซีเยวี่ยทำได้แค่กัดฟันแล้วเดินออกไป
แต่ว่า นางจากไปแต่แอบทิ้งของลํ้าค่าอะไรบางอย่างที่ได้จากรุ่ยอ๋องเอาไว้
เท่าที่รุ่ยอ๋องบอก ของลํ้าค่าชิ้นนี้ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดมีอย่างแน่นอน มันเป็นของที่เซียนทิ้งเอาไว้ สามารถดักฟังเสียงการสนทนาได้ แม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือระดับสายม่วง ก็ไม่มีทางตรวจจับได้
รุ่ยอ๋องให้มันไว้กับนาง เพื่อที่จะแอบล้วงความลับจากจวนตระกูลมู่
หลังจากที่นางแอบเอาหยกครึ่งหนึ่งวางไว้ในห้องรับแขกแล้ว นางก็เดินออกไปพร้อมกับหยกอีกครึ่ง
สักพักหยกชิ้นนั้นก็ส่องแสงจางๆ และมีเสียงคนพูดดังลอยออกมา
ภายในห้องรับแขกกลาง มู่ชิงเกอและมู่เหสียนหรงคงไม่มีทางคิดถึงว่าป๋ายซีเยวี่ยจะมีของลํ้าค่าเช่นนี้ ในตอนนี้จุดสนใจของพวกนางคือมู่ซง
“ท่านอา ท่านปู่ไปไหน” มู่ชิงเกอถามตรงๆ
มู่เหลียนหรงตบไหล่ของนางพลางปลอบว่า “ท่านปู่ของเจ้าไม่ได้เป็นอะไร แค่ทางเขตเทือกเขาฉินมีสัตว์ป่ารุกราน ฮ่องเต้จึงสั่งให้ท่านไปนำทหารตระกูลมู่ที่ รักษาการณ์อยู่ที่นั่นไปต่อต้าน”
สัตว์ป่ารุกรานรึ?
นี่เป็นครั้งแรก ที่นางได้ยินชื่อนี้
นางรู้จักเทือกเขาฉินเพราะในขณะที่ดูแผนที่แคว้นฉิน นางก็รู้ว่าทางชายแดนตะวันตกของแคว้นฉินนั้น มีแถบเทือกเขาฉินอยู่ เป็นส่วนเล็กๆ ของเทือกเขาที่พาดผ่านหลินชวน ภายในหุบเขาฉินคืออาณาจักรของสรรพสัตว์ และสัตว์วิญญาณทั้งหลาย
และระหว่างคนและสัตว์นั้นน้อยมากที่จะมีสงครามกัน
แล้วสัตว์ป่ารุกรานนั้นมันเรื่องอะไรกัน?
“ทำไมอยู่ๆ ถึงมีการรุกรานของสัตว์ใด้เล่า” มู่ชิงเกอถามนิ่งๆ
มู่เหลียนหรงเองก็สงสัย นางจึงส่ายหน้าด้วยท่าทางที่ดูเหน็ดเหนื่อย “เหตุผลนั้นไม่แน่ชัด ธรรมดาแล้วปีสองปีถึงจะมีการรุกรานของสัตว์ป่าสักครั้ง แต่ไม่ได้กินวงกว้างอะไรมากนัก ไม่ต้องถึงกับให้ท่านปู่ของเจ้าไปช่วย ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ที่เมืองอี้ของเราก็สามารถจัดการได้ แต่ครั้งนี้แปลกจริงๆ หลายวันนี้ข้าไปตามหาเบาะแสแต่กลับไม่พบอะไรเลย”
แท้จริงแล้วที่ช่วงนี้มู่เหลียนหรงหายตัวไป ก็เพื่อสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว
แต่นางก็พอจะฟังความกังวลที่อยู่ในนํ้าเลียงของม่เหลียนหรงออก “ท่านอากำลังกังวลอะไร?”
มู่เหลียนหรงหรี่ตา พลางขมวดคิ้วและพูดว่า “ก่อนท่านปู่ของเจ้าจะไป ท่านเคยบอกว่าให้ข้าเกาะติดสถานการณ์ของเมืองอี้ไว้ หากได้ข่าวอะไรไม่ดีก็ให้ข้าพา เจ้าหนีไปทันที อย่าได้ลังเล กองทหารนอกเมืองนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเจ้า เพราะบางทีท่านเองก็คงจะรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ”
มู่ชิงเกอใจกระตุกวูบ
นางไม่คิดว่า ก่อนมู่ซงจากไปยังเป็นห่วงความปลอดภัยของนางและจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง
แต่การจัดการของมู่ซงเป็นการเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของตระกูลมู่
ตระกูลมู่ที่ดูมีศักดิ์ศรีในสายตาของประชาชนนั้น หากเสียมู่ซงไปเสียคนหนึ่งก็จะหมดสิ้นอำนาจทุกด้าน
สายตาของมู่ชิงเกอพลันเยือกเย็นลง “ท่านอา ท่านปู่ออกไปกี่วันแล้ว”
“ท่านปู่ของเจ้าออกไป 5 วันแล้ว ตอนนี้คงถึงเมืองอี้เป็นที่เรียบร้อย แต่กลับไม่มีการส่งข่าวคราวอะไรกลับมาเลย” มู่เหลียนหรงถอนหายใจหลายครั้งติด การไม่มีข่าวคราว เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเป็นห่วง
5 วันแล้วที่ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
มู่ชิงเกอแอบคาดการณ์ในใจ
เมืองอี้นั้นเป็นพื้นที่ดินศักดินาของตระกูลมู่ บอกว่าเป็นพื้นที่ศักดินาพูดว่าเป็นพื้นที่รกร้างยังจะเหมาะกว่า ที่เมืองอี้อยู่ได้ก็เพราะอาศัยเทือกเขาฉิน เพราะแต่เดิมเมืองอี้ก็สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อต้านการรุกรานของสัตว์ป่าอยู่แล้ว แล้วจะมีใครยินยอมเข้าไปอยู่เล่า?
เมืองอี้ที่ไม่มีประชาชนอาศัยอยู่ ทั้งเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตประชาชนก็พัฒนาไม่ได้หากไม่เรียกว่าที่รกร้าง แล้วจะเรียกว่าอะไรได้เล่า?
สิ่งเดียวที่คอยเฝ้าที่นั้นอยู่ก็มีแค่กองทัพของตระกูลมู่ ทหารตระกลูมู่จำนวน 500,000 นาย ใช้ชีวิตและเลือดเนื้อของตนเองเป็นดั่งปราการเหล็กขวางกั้นเพื่อปกป้องแคว้นฉินไว้
เมืองอี้…เมืองอี้ ‘อี้’ แปลว่าอะไร? ปกของเสื้อผ้า ขอบของเสื้อผ้าที่แสนห่างไกล มีคำหนึ่งกล่าวว่า เป็นประชาชนเมืองอี้ แล้วหมายถึงอะไร? หมายถึงเป็นประชาชนที่ถูกปล่อยไว้ในอาณาเขตอันน่ากลัวน่ะหรือ?
ฮ่องเต้แคว้นฉินประทานเมืองอี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลมู่ ก็ลองคิดดูว่าเพื่ออะไร
“ถ้าไม่มีข่าวคราวอะไร ข้าจะไปเมืองอี้” ในสาย
ตาของมู่ชิงเกอนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ว่าอย่างไรนะ?” มู่เหลียนหรงตกใจในความมุ่งมั่นของมู่ชิงเกอ จึงรีบคัดค้าน “ชิงเกอ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาก่อเรื่องนะ” หากจะต้องไป นางก็จะไปเอง ยังไม่ถึงคราวที่จะต้องให้เจ้าเด็กอวดเก่งนี่ไปเสียหน่อย
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ท่านอา ข้าไม่ได้จะสร้างเรื่อง ท่านรออยู่ที่นี่ เพื่อติดตามเรื่องราวทั้งหมด หากมีอะไรผิดปกติก็ทำตามที่ท่านปู่บอก รีบออกจากแคว้นไป กองทัพนอกเมืองข้าไม่พาไปด้วยข้าทิ้งไว้ให้ท่าน ข้าพาองครักษ์ส่วนตัวไปก็เพียงพอแล้ว”
“ไม่ได้! เจ้าไปไม่ได้ !” มู่เหลียนหรงปฏิเสธทันที
มู่ชิงเกอจับมือมู่เหลียนหรงและพูดกับนางอย่างจริงจังว่า “ท่านอา ท่านฟังข้านะ” ก่อนหน้านี้ที่นางให้รองแม่ทัพซ่งเตรียมการทุกอย่างเอาไว้ก็เพราะกลัวว่ามู่ซงจะ ถูกควบคุมตัว หากเป็นอย่างนั้นนางจะบุกเข้าไปในวัง แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางไม่อาจสั่งการเคลื่อนย้ายทหารจำนวนมากแบบนั้นได้ทำได้เพียงแค่พาองครักษ์ 500 นายไปยังเมืองอี้ มีพวกรองแม่ทัพซ่งอยู่ นางก็ไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เหลียนหรงแล้ว
มู่เหลียนหรงส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็ไม่ให้เจ้าไปเผชิญอันตรายหรอก การรุกรานของสัตว์ป่าในครั้งนี้ หากโดนจับได้ สัตว์พวกนั้นก็จะกินเจ้า ไม่ไว้ชีวิตเจ้ารอให้เจ้าไปเจรจากับมันแน่”
“ท่านอา ท่านวางใจเถอะ ข้าดูแลตัวเองได้อีกอย่างยังมีท่านปู่อีกคนไม่ใช่หรือ” มู่ชิงเกอจับมือของมู่เหลียนหรงแน่น พลันมีแสงสีเขียวส่องประกายออกมา
มู่เหลียนหรงแสบตาเพราะแสงสีเขียวนั้น นางตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
แสงสีเขียวเป็นประกายส่องแสงออกมาชั่วขณะหนึ่งแล้ว
จางหาย
มู่เหลียนหรงรีบถาม “ชิงเกอ เมื่อครู่…”
“ท่านอา เรื่องบางเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว” มู่ชิงเกอรีบกุมมือของมู่เหลียนหรงแล้วพูด
มู่เหลียนหรงพยักหน้าอย่างอึ้งๆ พยายามเก็บความตกใจและตื่นเต้นเอาไว้
“ท่านปู่ของเจ้ารู้หรือไม่?’’ มู่เหลียนหรงไม่รู้ว่าตอนนี้น้ำเสียงของตนเองนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เพราะฉะนั้น ข้าไปครั้งนี้ไม่มีอะไรหรอก ถึงจะเกิดอะไร ข้าก็สามารถหนีกลับมาได้ แต่ทางท่านปู่นั้นมีเพียงคนเดียว ท่านอาไม่วางใจ ข้าเองก็เช่นกัน”
มู่เหลียนหรงตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตะลึง ไม่สามารถตอบสนองคำพูดของมู่ชิงเกอได้ ทำได้เพียงพยักหน้าไปตามสัญชาตญาณ
พอนางรู้สึกตัว ตรงหน้าก็ไม่มีเงาร่างของมู่ชิงเกออีกแล้ว
“มู่ชิงเกอไอ้เด็กบ้านี่!” มู่เหลียนหรงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แต่ทว่ากลับรู้สึกอุ่นใจ ในที่สุดต้นกล้าของตระกูลมู่ก็สามารถฝึกพลังเวทได้แล้วและยังมีพรสวรรค์เหนือฟ้าถึงเพียงนี้ อายุแค่นี้เข้าสู่สายเขียวแล้ว
มีความสามารถถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะไปเมืองอี้ก็คงไม่มีอะไรหนักหนา
มู่เหลียนหรงพยายามปลอบใจตนเอง ให้ยอมรับการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ
ทางนี้ได้จบการสนทนาแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง ป๋ายซีเยวี่ยที่แอบฟังทุกอย่างจากแผ่นหยก ก็รีบออกจากจวนไป
มู่ชิงเกอกล้าไปเมืองอี้อย่างไม่กลัวตาย ข่าวนี้ทำให้นางต้องรีบไปบอกรุ่ยอ๋อง เพราะเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ป๋ายซีเยวี่ยจึงต้องไปหารุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวถึงตำหนัก
แต่ว่าสิ่งที่นางไม่รู้คือ ฉินอี้เหยาที่เพิ่งกลับจากการถือศีลกับไทเฮาก็อยู่ในตำหนักรุ่ยอ๋องเช่นกัน
ที่นางมา ก็เพื่อที่จะมาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่ของตนเอง
ภายในวัด ไทเฮาได้อธิษฐานให้กับพระราชวงศ์ทุกพระองค์ ฉินอี้เหยาจึงนำบุญและวัตถุมงคลมาฝาก
ฉินจิ่นห้าวเก็บวัตถุมงคลที่ฉินอี้เหยาเอามาไว้ในอก แล้วพูดกับน้องสาวว่า “เหยาเอ๋อร์นานๆ จะมาหาข้าที่นี่สักที วันนี้ไม่สู้อยู่ทานอาหารด้วยกันเถอะ’’ ฉินอี้เหยานั่งเม้มปาก คิดทบทวนอยู่บนเก้าอี้ แล้วค่อยพยักหน้า
อยู่ๆ นางก็ลุกขึ้นพลางพูดกับฉินจิ่นห้าวว่า “เสด็จพี่ หลังจากที่น้องกลับมาลั่วตูกับไทเฮา ก็รีบรุดมาหาท่านที่ตำหนักรุ่ยอ๋องเลย เนี้อตัวเลอะไปด้วยฝุ่น เสด็จพี่ทรงเตรียมห้องให้น้องได้ชำระกายผลัดเปลี่ยนอาภรณ์หน่อยได้หรือไม่?”
ฉินจิ่นห้าวพยักหน้า แล้วสั่งพ่อบ้านให้พาฉินอี้เหยาออกไป หลังจากที่เข้าไปยังห้องรับแขกภายในตำหนักของรุ่ยอ๋อง นางกำนัลคนสนิทก็ถามฉินอี้เหยาว่า “องค์หญิงเพคะ ในเมื่อไม่ทรงอยากอยู่ต่อ เหตุใดทรงรับปากเล่าเพคะ?”