ตอนที่ 80-4
หากสามีจะไป ภรรยาจะติดตามไปด้วย
“แค่กๆ องค์หญิงพวกเราทำอย่างไรดีเพคะ?” นางกำนัล
ที่สำลักเพราะฝุ่นที่ฟุ้งตลบปิดปากถามขึ้น
ฉินอี้เหยามองมู่ชิงเกอที่จากไป สายตานางเยือกเย็นเป็นประกายดั่งนํ้าค้างแข็ง นางพูดกับนางกำนัลด้วยใบหน้า คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางยกแส้ขึ้นและกำชับนางกำนัลว่า “เจ้ากลับลั่วตูไป แล้วไปแจ้งข่าวแทนข้าว่า…” ฉินอี้เหยาเงียบไปสักพัก พวงแก้มทั้งสองข้างก็แดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางพูดกับนางกำนัลด้วยความเขินอายว่า : “ไปบอกว่า ฉางเล่อเป็นสะใภ้ของตระกูลมู่ ตอนนี้สามีกำลังจะไปสนามรบ ฉางเล่อจำเป็นต้องตามไป”
เมื่อพูดจบ นางก็เอาแส้หวดม้า ทำให้ม้าร้องเสียงแหลมและวิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิง~~~~~” นางกำนัลที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอึ้งไป
นางอยากจะร้องเรียกเจ้านายของตนเองไว้ แต่อีกฝ่ายกลับทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังอันสง่างามเด็ดเดี่ยว เมื่อทำอะไรไม่ได้นางจึงทำได้แค่มองส่งทุกคนแล้วกลับลั่วตูไปพร้อมกับความไม่สบายใจ
ม้าที่ฉินอี้เหยาขี่นั้นแน่นอนว่าเหนือกว่าทหารทั้งห้าร้อยนาย
ไม่นาน นางก็แซงหน้าทั้งหลายร้อยนาย ไปอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ
นางมองคนชุดแดงเจิดจ้าสะดุดตาพร้อมรอยยิ้ม ราวกับ า ที่ที่นางไปนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่มีสัตว์ดุร้าย แต่เป็นการออกไปเที่ยวกับคนรัก
คนรัก…
ฉินอี้เหยาตกใจกับคำนี้ไม่น้อย สายตาอันเยือกเย็นแฝงไปด้วยความตระหนก
“ทรงตามมาจริงๆ รึ” เสียงอันเรียบนิ่งของมู่ชิงเกอดังขึ้นที่ข้างหู ทำลายความคิดอันหอมหวานในใจนาง
ประโยคนี้ ฟังดูไม่ยินดีนัก
แต่ฉินอี้เหยารู้ว่าเป็นเพราะนํ้าเสียงที่แฝงไปด้วยการข่มขู่ของนางในประโยคสุดท้าย ทำให้ชายชุดแดงที่อยู่ตรงหน้าโกรธ
หลังจากที่มองใบหน้าอันสวยงามนั้นแวบหนึ่ง ฉินอี้เหยาก็เม้มปากและไม่ได้พูดอะไร
ฉินอี้เหยาเงียบ ไม่รอให้มู่ชิงเกอมีปฏิกิริยาตอบกลับ นางก็กลับบังคับม้าให้เร็วขึ้น
ขบวนของคนหลายร้อยคนเดินทางไปยังเมืองอี้อย่างรวดเร็วราวกับสายลม
มู่ชิงเกอไม่มีเวลามากพอที่จะมาใส่ใจนาง ในเมื่อนางอยากจะไป ก็ไปเถอะ รอจนถึงเมืองอี้แล้วเห็นสัตว์ร้ายอันน่ากลัวล้อมเมืองอยู่ ก็คงจะทำให้องค์หญิงที่เกิด มาในวังหลวงอย่างนางต้องผิดหวังกับการตัดสินใจใน
แต่ว่า ถึงตอนนั้นก็คงต้องส่งนางกลับ วุ่นวายเสียจริง
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม แส้ในมือตีไปบนตัวม้าอย่างแรง ทำให้ม้าร้องเสียงแหลมแล้ววิ่งไวขึ้น จากลั่วตูไปเมืองอี้นั้น หากเป็นคนปกติต้องใช้เวลาประมาณสิบกว่าวัน
หากเป็นม้าเร็วและลงแส้หนักๆ เดินทางไม่หยุดตลอดทั้งคืนก็จะประหยัดเวลาได้กว่าครึ่ง
ตอนนี้ มู่ซงหายไปอย่างไร้ร่องรอยห้าวันแล้ว มู่ชิงเกอต้องรีบไปให้ถึงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ณ ลั่วตู ฉินจิ่นห้าวถูกเรียกตัวให้เข้าวังอย่างกะทันหัน หลังจากที่ฉินอี้เหยาหายไปจากตำหนักของเขาอย่างไม่บอกกล่าว เขาเองก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่
พอเข้าไปยังตำหนักฟ่งหยี ฉินจิ่นห้าวก็พบเสด็จแม่ที่สีหน้าดูมืดครึ้ม ส่วนนางกำนัลของน้องสาวตนตอนนี้ก็นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นตำหนัก
ฉินจิ่นห้าวมองนางกำนัลคนนั้นแล้วแอบคิดในใจ พูดกับเจียงกุ้ยเฟยว่า “เสด็จแม่เกิดอะไรขึ้นพ,ะยะค่ะ”
เพราะกดเก็บอารมณ์โกรธไว้ทำให้ใบหน้าของเจียงกุ้ยเฟยนั้นดูแย่มาก
พอได้ยินคำถามของฉินจิ่นห้าว นางก็กัดฟันและหัวเราะอย่างเย็นชา พลางใช้สายตาอันแหลมคมจ้องนางกำนัลที่ตัวสั่นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้าช่างมีน้องสาวที่แสนดีเสียจริงๆ”
เกี่ยวกับฉางเล่อจริงๆ ด้วย!
ฉินจิ่นห้าวแปลกใจ ในใจคาดเดาอะไรบางอย่าง
“น้องเป็นอะไร นางเพิ่งไปตำหนักลูก หลังจากนั้นก็กลับไปโดยไม่บอกกล่าว ก่อนเข้าวัง ลูกยังคิดจะไปหานางที่ตำหนักองค์หญิงอยู่เลย” ฉินจิ่นห้าวแสดงความแปลกใจต่อเจียงกุ้ยเฟย
ท่าทางอันไร้เดียงสาแบบนั้นทำให้เจียงกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าจะแสดงความโกรธออกมาอย่างไร ทำได้แค่ยื่นนิ้วที่ประดับไปด้วยเล็บสีแดงสดชี้ไปนางกำนัลและพูดอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าถามนางสิ”
ฉินจิ่นห้าวรีบหันไปมองนางกำนัลที่นั่งคุกเข่าอยู่
นางกำนัลไม่กล้าปิดบัง จึงพูดคำพูดที่ฉินอี้เหยาทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไปออกมา
อยู่ๆ สีหน้าของฉินจิ่นห้าวก็ดูแย่ขึ้นมา
“เจ้าคิดดู น้องสาวคนนี้ของเจ้าช่างก้าวหน้าเสียจริงๆ ปกติเห็นนิสัยเย็นชาเรียบเฉย แต่วันนี้กับทำเรื่องขายขี้หน้าเช่นนี้ รักใครไม่รักกลับไปรักอันธพาลไร้ค่าคนหนึ่ง ยังไม่ได้เป็นอะไรกันกับเขาก็ไปร่วมเป็นร่วมตายกับเขาเสียแล้ว” เจียงกุ้ยเฟยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห สายตาที่มองนางกำนัลนั้นอยากจะทุบนางให้ละเอียด ราวกับว่าคนที่คุกเข่าอยู่นั้นเป็นมู่ชิงเกอก็ไม่ปาน
สีหน้าของฉินจิ่นห้าวดูปลี่ยนไป เขามองนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่และสั่งว่า “เจ้าออกไปก่อน”
นางกำนัลราวกับได้รับการอภัยโทษรีบเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความซาบขึ้ง แต่นางก็ไม่กล้าจากไปเช่นนี้จึงมองเจียงกุ้ยเฟยผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจคนสุดท้าย พอเห็นเจียงกุ้ยเฟยไม่ปฏิเสธ นางก็รีบกล่าวขอบพระทัยและออกไปจาก ตำหนักทันที
หลังจากที่นางกำนัลออกไปฉินจิ่นห้าวก็มองเสด็จแม่ของตัวเอง พลางพูดว่า “ครั้งนี้ฉางเล่อใจร้อนเกินไปจริงๆ เสด็จแม่อย่าถือโทษนางเลย”
เจียงกุ้ยเฟยหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินใจของบุตรสาวตนเองเป็นอย่างมาก ไทเฮาอยากจับคู่ฉางเล่อกับมู่ชิงเกอ ตอนแรกนางคิดว่าลูกสาวของตนเองเป็นคนหัวสูงเย่อหยิ่ง ความสามารถระดับนั้น ชายผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมนางยังไม่ชอบ แล้วจะไปชอบคนไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกฝนพลังคนหนึ่งได้อย่างไร เพราะฉะนั้นนางจึงไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไรมากมายแต่กลับไม่คิดว่าขณะที่นางเผลอนั้นลูกสาวของนางกลับถูกมู่ชิงเกอหลอกเอาไป ไม่รู้ว่าจะเสียเปรียบอะไรหรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเจียงกุ้ยเฟยก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ ในใจคิดเพียงแต่ฉินอี้เหยาได้เสียเปรียบให้แก่มู่ชิงเกอแล้ว
ลูกสาวของนางควรได้ดีกว่านี้ แล้วตอนนี้ทำไมต้องตกเป็นของอันธพาลคนหนึ่ง
ยิ่งคิดก็ยิ่งเคืองใจ ใบหน้าที่เจียงกุ้ยเฟยบรรจงแต่งอย่างสวยงามนั้นดูบิดเบี้ยว
“ห้าวเอ๋อร์เจ้านำกำลังคนไปตามตัวฉางเล่อกลับมา!” เจียงกุ้ยเฟยพูดด้วยนํ้าเสียงโหดเหี้ยม ฉินจิ่นห้าวนิ่งไปสักพัก “เสด็จแม่ ฉางเล่ออยากไปเอง และด้วยนิสัยของนางแล้วคงจะไม่ยอมกลับมาแต่โดยดีแน่”
“เจ้าต้องพานางกลับมาให้ได้!” เจียงกุ้ยเฟยพูดด้วยสีหน้าดุดัน
“นี่มัน” ฉินจิ่นห้าวยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ
“ทำไมรึ เจ้าไม่อยากไปตามตัวน้องสาวตนเองกลับมารึ” เจียงกุ้ยเฟยพูด มองฉินจิ่นห้าวด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม
ฉินจิ่นห้าวก้มหน้าลง พูดตรงๆ ว่า “ลูกเพียงกำลังคิดว่า การไปหรืออยู่ของฉางเล่อจะส่งผลกระทบต่อแผนการของเราหรือไม่”
“หมายความว่าอย่างไร?” เจียงกุ้ยเฟยสงสัย การวางแผนที่ฉินจิ่นห้าวพูดถึง ทำให้นางสงบลงในทันที
ฉินจิ่นห้าวแอบเงยหน้าขึ้นมองนาง เห็นนางไม่ได้โกรธจึงพูดต่อว่า “หากเสด็จแม่รับปากว่าจะไม่โกรธลูก ลูกถึงจะกล้าพูด”
“เจ้าอธิบายมาให้ละเอียด” ในตอนนี้เจียงกุยเฟยลืมความโกรธที่ฉินอี้เหยาแอบออกไปชั่วขณะ
สิ่งที่นางใส่ใจในตอนนี้คือคำพูดที่บุตรชายกำลังจะพูด ฉินจิ่นห้าวเรียบเรียงคำพูดในใจสักพักจึงพูดว่า “ทั้งลูก และเสด็จแม่ต่างก็ไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของมู่ชิงเกอกับฉางเล่อนั้นพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว หากทั้งสอง…กันแล้ว ถึงแม้ว่าจะพาตัวฉางเล่อกลับมาก็คงจะมีประโยชน์อะไรไม่มากนัก และอาจจะขัดขวางเราได้ เสด็จแม่ก็รู้จักนิสัยของฉางเล่อดี หากทำให้นางผิดหวังเสียใจ เทียบกันแล้วนางยังไร้เยื่อใยได้มากกว่าพวกเราเสียอีก”
เจียงกุ้ยเฟยหรี่ดวงตาอันสวยสะดุดตา นิ้วมือเรียวยาวที่ทาเล็บสีแดงสดนั้นลูบไล้ขนสัตว์บนที่วางมือของเก้าอี้ ขนสัตว์ที่ได้รับการทำความสะอาดมาแล้วทะลุออกมาตามร่องนิ้วมือและลู่ขึ้นลงไปตามการเคลื่อนไหวของนาง
“ตอนนี้อย่างไรเสียฉางเล่อก็ตามไปแล้ว หากสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว เสด็จแม่ค่อยต่อว่านางก็ยังไม่สาย แต่หากไม่สามารถกลับมาได้” ฉินจิ่น
ห้าวแอบมองเสด็จแม่ของตนเองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางยังคงนิ่งเงียบจึงพูดต่อว่า “ข้อหาในการจัดการกับตระกูลมู่ของเราก็จะมากขึ้นอีกข้อไม่ใช่หรือ ลักพาตัวองค์หญิง ทำให้องค์หญิงต้องสิ้นพระชนม์มีโทษประหารสถานเดียว”
เจียงกุ้ยเฟยกำขนสัตว์แน่น นัยน์ตาหงส์เป็นประกายแต่ดูเย็นเยียบเป็นที่สุด
นางเม้มปากแน่นไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ฉินจินห้าวเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เขารู้ว่าเสด็จแม่ของเขากำลังคิดและพิจารณาสิ่งที่เขาพูดเมื่อสักครู่นี้พอนางคิดทบทวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้คำตอบที่น่าพอใจที่สุดกับเขาเอง
หลังจากนั้นสักพัก เจียงกุ้ยเฟยก็คลายนิ้วมือทั้งห้าออก
นางกวาดตามองฉินจิ่นห้าวอย่างเย็นชา พูดด้วยนี้าเสียงอันสูงส่งว่า “ห้าวเอ๋อร์เจ้าต้องจำไว้ว่าน้องสาวของเจ้านั้นเพื่อการใหญ่ของเจ้าแล้วนางต้องเสียสละสิ่งใด ไปมากมายเพียงใดรอให้เจ้าจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น แล้วหากเจ้าไม่มอบเกียรติยศตอบแทนในสิ่งที่นางพึงได้ ข้าไม่ยอมอย่างเด็ดขาด”
ฉินจิ่นห้าวฟังประโยคนี้แล้วก็เข้าใจทันที
เขาตอบกลับว่า “เสด็จแม่วางใจเถิด ฉางเล่อเสียสละเพื่อลูก ลูกจะไม่มีวันลืม”
เจียงกุ้ยเฟยหลับตาลง พลางยกมือขึ้น พูดอย่างเหน็ดเหนื่อยว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
“ขอเสด็จแม่ถนอมสุขภาพด้วย อย่าหักโหมเกินไป ลูกขอทูลลาก่อน!” ฉินจิ่นห้าวค่อยๆ เดินออกไป
ตำหนักหว่านเสีย อีกหนึ่งตำหนักของสนมที่ได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ฉินชาง
เจ้าของตำหนักนี้ ถูกพระราชทานยศให้เป็นอวิ๋นเฟย กิริยาเรียบนิ่งเรียบร้อยไม่ชอบการแก่งแย่งชิงดี จึงทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขที่สุด ท่ามกลางการแย่งชิงของหานฮองเฮาและเจียงกุ้ยเฟย
เสียงพิณอันเศร้าโศกดังออกมาจากตำหนักหว่านเสีย ในเสียงเพลงนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์และเย็นชา นอกจากนี้ยังมีเกราะบางๆ ที่คนนอกไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ภายในตำหนัก ชายชุดเหลืองนวลกำลังนั่งตัวตรงและตั้งใจดีดพิณ
ฉินอี้เหลียนเอามือเท้าใบหน้าซาลาเปาน่ารักเอาไว้ มองคนดีดพิณไม่กะพริบตา
หญิงกลางคนบอบบางในชุดสีขาวนั่งอยู่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกล ในมือนั้นกำลังปักผ้า คอยเงยหน้าขึ้นมองบุตรชายและบุตรสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอัน แสนอ่อนโยน
เสียงพิณค่อยๆ เงียบลง มืออันเรียวยาวงดงามวางอยู่บนพิณ
“เพราะมากเลย!” ฉินอี้เหลียนพยายามอดทนกับการอยากหาวของตนเองและปรบมืออย่างสุดแรง
ฉินจิ่นเฉินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าซาลาเปาที่ดูเหมือนจะตั้งใจฟังมากแล้วยิ้มพลางพูดด้วยเสียงอันไพเราะว่า “เหลียนเหลียนช่างให้เกียรติพี่เฉินเสียจริง เพลงนี้เป็นเพลงที่เจ้าไม่ชอบมากที่สุดเลยนะ”
ฉินอี้เหลียนที่ถูกจับได้แอบแลบลิ้น นางลุกขึ้นและเดินไปหาฉินจิ่นเฉิน พลางจับมือของเขาแล้วพูดอ้อนว่า “พี่เฉิน เหลียนเหลียนเบื่อมาก ถ้าเช่นนั้นท่านพาเหลียน
เหลียนออกจากวัง แล้วเราไปหาพี่ชายกันเถอะ”
พอได้ยินคำร้องขอของลูกสาว อวิ๋นเฟยพลันขมวดคิ้วแล้วตำหนิว่า “เหลียนเหลียน อย่าเหลวไหล”
องค์หญิงตัวน้อยที่หมดหวังทำปากจู๋ นัยน์ตาอันสว่างสดใสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
สายตาอันเรียบนิ่งของฉินจิ่นเฉินที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่อยากให้นางเสียใจเช่นนี้จึงพูดว่า “ตอนนี้พี่ชายของเจ้าไม่อยู่ในลั่วตู แม้ว่าเจ้าจะออกจากวังไปก็ไม่เจอเขาหรอก”
“พี่ชายไม่อยู่ในเมืองลั่วตูหรือ? แล้วเขาไปไหนกัน” ฉินอี้เหลียนถามด้วยความสงสัย
“เขา…”
“เหลียนเหลียน เจ้าควรกลับไปพักได้แล้ว”อวิ๋นเฟยพลันพูดขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของฉินจิ่นเฉิน แล้วเรียกนางกำนัลในวังมาพาตัวฉินอี้เหลียนที่ท่าทางไม่ยินยอมเดินออกไป
หลังจากที่ฉินอี้เหลียนออกไป สายตาของฉินจิ่นเฉินก็หันกลับไปมองพิณของตนเองเหมือนเดิม
อวิ๋นเฟยวางผ้าที่กำลังปักอยู่ลงแล้วเดินไปหาเขา พอเดินมาข้างๆ ตัวเขา อวิ๋นเฟยก็ก้มหน้าลงมองและยกมือขึ้นจับผมของเขา พลางพูดอย่างรักใคร่ว่า “เฉินเอ๋อร์เจ้าเคยรับปากกับข้าว่าจะไม่ไปแย่งชิงอะไรพวกนั้นและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปทั้งชีวิต”
ฉินจิ่นเฉินก้มหน้าลง ขนตาอันยาวงอนปิดบังความรู้สึกของเขา เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกไม่ลืม”
พอได้รับการยืนยัน อวิ๋นเฟยก็โล่งใจ “ไม่ลืมก็ดีแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ายังคำนึงถึงไมตรีที่คุณชายตระกูลมู่เคยมีให้แก่เจ้า แต่เรื่องบางเรื่องดวงชะตาเราไม่อาจฝืน ข้าหวัง
เพียงให้เจ้ากับเหลียนเหลียนปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”
“เสด็จแม่ลูกรู้อีกอย่าง…” ฉินจิ่นเฉินยิ้มอย่างคลุมเครือ “เหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว บางทีสำหรับเขาแล้วเรื่องพวกนั้นอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”
“เจ้าปล่อยวางได้ข้าก็ดีใจ” อวิ๋นเฟยพูดด้วยความเอ็นดู
ฉินจิ่นเฉินเงยหน้าขึ้น เขายิ้มจางๆ ให้กับอวิ๋นเฟย จากนั้นก็ลุกขึ้นพลางกอดพิณของตนเองแล้วเดินออกไป…