Skip to content

พลิกปฐพี 790

ตอนที่ 790

ภัยในภัยนอก

แสงเพลิงที่ตกลงมากะทันหันนั้นส่องสว่างไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำเมิ่งหลาน

แสงเพลิงเหล่านี้เมื่อตกลงบนกำแพงเมืองก็กลายเป็นลูกไฟมากมาย เผาผลาญหนอนดำจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น เมื่อถูกเพลิงแผดเผาพวกหนอนดำต่างกรีดร้องเสียงแหลมเล็กออกมาดังลั่น บนกำแพงเมืองนั้นราวกับกลายเป็นขุมนรก เสียงนั้นชวนให้คนฟังขนพองสยองเกล้าชาไปทั้งหนังศีรษะ

“ท่านแม่ทัพเปลวเพลิงเหล่านี้!” นายกองที่อยู่ในที่กำบังมองภาพนี้ด้วยความหวาดหวั่น

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้นึกถึงการใช้ไฟต่อสู้

แต่มันใช้ไม่ได้ผลต่างหากเล่า!

แต่ก่อนนี้พวกหนอนดำยังมีท่าทีไม่กลัวไฟด้วยซํ้า แต่เหตุใดเวลานี้กลับถูกเปลวเพลิงที่ตกลงมาจากฟากฟ้าเผาจนเป็นขี้เถ้าได้

“นี่คือพญาเพลิง!” หยวนฟงรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของเปลวเพลิงพลันร้องเสียงหลง

ที่แท้หนอนดำพิสดารพวกนั้นเองก็กลัวไฟ แต่ที่ไม่กลัวคือไฟธรรมดา จะต้องเป็นพญาเพลิงที่สามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เท่านั้นจึงสามารถกำจัดพวกมันได้

“พญาเพลิง? เหตุใดจู่ๆ ถึงมีพญาเพลิงตกลงมาจากฟากฟ้าได้” นายกองมารยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม

เปลวเพลิงแผ่ขยายลุกลามอย่างรวดเร็วบนกำแพงเมือง เพียงแค่ที่ไหนมีหนอนดำอยู่ เปลวเพลิงเหล่านั้นก็ราวกับมีตามองเห็นและตามไปดักจับอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเผาผลาญจนหนอนดำสลายกลายเป็นขี้เถ้าในเปลวเพลิง

กระทั่งพวกศพแห้งสีเขียวเองพอถูกเปลวเพลิงก็กลายเป็นโครงกระดูกร่วงหล่นเป็นกองขี้เถ้าสีขาวทันที

ความกดดันบนกำแพงเมืองคลี่คลายลงทันที

“นี่เป็นพญาเพลิง!” หวงฝู่ฮ่วนเก็บกระบี่เทพในมือแล้วบอกเฉินปี้เฉิงกับกู่เย่

กู่เย่และอีกสองคนก็วางมือพร้อมกัน กู่เย่มองไปยังท้องฟ้าดำมืดและคาดเดาว่า “หรือว่าพระชายาจะมาถึงแล้ว”

เขาเพิ่งพูดจบ บนท้องฟ้ายามราตรีก็ปรากฎเงาร่างสีแดงงดงามขึ้นจากที่ไกลออกไป

นางพุ่งผ่านท้องฟ้าราวกับดาวหางวาดผ่านยามกลางคืน เมื่อนางพลิ้วกายลงบนกำแพงเมือง รูปร่างที่สง่างามรัศมีองอาจนั้นก็ดึงดูดสายตาของคนทั้งหมดเอาไว้

ไม่ว่าจะเป็นหยวนฟงหรือทหารมารพันกว่าคนที่ห้อมล้อมตัวเขาหรือกู่เย่ หวงฝู่ฮ่วน เฉินปี้เฉิง สามคนต่างจำนางได้ในทันทีที่เห็น

เวลานี้นางกลับคืนสู่สถานะหญิงสาวเหมือนกับครั้งก่อนที่นางเคยปรากฎตัวที่นี่ ห่วงท่าห้าวหาญ เด็ดขาด แกร่งกล้าเหนือผู้ใด

สองมือนางไพล่หลัง สองตาที่เย็นเฉียบใสกระจ่างกวาดผ่านทุกคนบนกำแพงเมือง

พญาเพลิงเหล่านั้นเผาผลาญหนอนดำกับศพแห้งสีเขียวจนเกลี้ยงเกลา เพลิงนั้นรวมตัวกันเข้าไปใกล้นางและเข้าไปในร่างนางจนหมดสิ้น ริมแม่นํ้าเมิ่งหลานกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้ง

แต่ถึงแม้ความมืดจะปกคลุมอีกครั้งก็ยังไม่สามารถกั้นขวางท่วงท่างามสง่าของนางได้

“พระชายา!” หยวนฟงเรียกด้วยความตื้นตัน

หลังจากการสู้รบริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลานครั้งก่อน เขาก็ยอมรับนับถือมู่ชิงเกอยิ่งนัก ไม่เพียงแต่เขา คนเผ่ามารทุกคนที่เคยร่วมรบครั้งนั้นต่างยอมรับนับถือ มู่ชิงเกอทั้งกายและใจ

“ข้าน้อยถวายบังคมพระชายา!” กู่เย่คุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพมู่ชิงเกอด้วยความเคารพ

‘เป็นนาง!’

‘นางมาแล้ว!’

หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงนับว่าเป็นเพื่อนเก่ามู่ชิงเกอ เวลานี้พวกเขายิ่งเข้าใจดีว่า นางคืออาจารย์แม่ของพวกเขาทั้งเป็นนายหญิงแห่งแดนมารนี้

ไม่เอ่ยมากความ ทั้งคู่ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แสดงความเคารพข้างๆ กู่เย่

“ข้าน้อย ถวายบังคมพระชายา!”

“ถวายบังคมพระชายา!”

เสียงบนกำแพงเมืองนั้นดังก้องมาถึงทหารมารใต้กำแพงเมือง เปลวเพลิงเมื่อสักครู่นี้ทำให้พวกเขาแปลกใจมาก อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้น เวลานี้พวกเขายิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังคุกเข่าลงและตะโกนพร้อมกัน “ถวายบังคมพระชายา!”

เวลานั้นริมแม่นํ้าเมิ่งหลาน เสียงคารวะมู่ชิงเกอดังก้องสะท้านไปถึงฟากฟ้า

ใบหน้าของมู่ชิงเกอติดจะเย็นชา ใบหน้าที่งดงามเกินเทียบเทียมจนไม่อาจแยกหญิงชายปิดบังอารมณ์ของนางในเวลานี้เอาไว้ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า อารมณ์นางในเวลานี้ดีหรือร้าย

“ที่นี่…เกิดอะไรขึ้น” สักครู่หนึ่งมู่ชิงเกอจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้น

พอนางเอ่ยขึ้นทุกคนที่คุกเข่าอยู่ต่างก็เงยหน้าขึ้น

“ทุกคนลุกขึ้นมาเถอะ” มู่ชิงเกอพูดอีก

“ ขอบพระทัยพระชายา!”

หลังจากพิธีการเต็มรูปแบบผ่านไปทุกคนจึงลุกขึ้น

ขณะที่สายตามู่ชิงเกอกวาดผ่านกู่เย่แล้วจิตใจก็สงบลงบ้าง เนื่องจากการที่เขาปรากฎตัวที่นี่ หมายความว่าพวกเขาได้รับสาส์นจากไป่สือและมาทันเวลา เมื่อไม่เห็นกู่หยากับเจ้าเมืองย่อยคนอื่นก็มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือพวกเขาไปช่วยเหลือซือมั่วแล้ว

ขณะที่เห็นหวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงนางก็แปลกใจเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่ท่าทีปกติอย่างรวดเร็ว

นางเพียงมองอาวุธในมือเฉินปี้เฉิงอยู่หลายครั้ง อาวุธนี้ต่างกับครั้งที่เขาประลองกับตัวเอง ซือมั่วเคยบอกว่าเฉินปี้เฉิงได้อาวุธเทพจากซากปรักพักพังซ่างกู่ คงเป็นชิ้นนี้แน่นอน

“พระชายา เรื่องเป็นเช่นนี้…,” หยวนฟงรีบเดินมาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

ฟังจบแล้วมู่ชิงเกอก็เครียดขึ้นมาทันที

วิธีการพิสดารเช่นนี้ไม่ใช่ของเผ่าเทพแน่นอน อีกทั้งหยวนฟงบอกแล้วว่าขณะที่เริ่มลอบโจมตีมีเพียงคนเดียว แต่เผ่าเทพมากันเจ็ดคนแสดงว่าไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน

เป้าหมายของคนผู้นั้นคืออะไร วิธีการเช่นนี้คล้ายเป็นเผ่าอี้ คนผู้นั้นเป็นเผ่าอี้หรือ เขาจะต้องมาเพราะซือมั่วแน่นอน

คำตอบทั้งหมด มู่ชิงเกอต้องพบซือมั่วแล้วจึงจะได้รับคำตอบ

ในชั่วพริบตาเดียวนั้นแววตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดการคาดเดาหลายอย่างขึ้นในสมองมู่ชิงเกอ

บนกำแพงเมือง คนทั้งหมดต่างรอนางเอ่ยปาก

ซือมั่วไม่อยู่ คำพูดของนางก็คืออำนาจและเป็นทิศทางที่พวกเขาจะปฏิบัติตาม

มู่ชิงเกอไพล่มือและหมุนตัวหันไปทางแม่น้ำเมิ่งหลานสีดำ ฝั่งตรงข้ามสงบเงียบทั้งมืดมัว ดูไม่ออกถึงข้อเท็จจริง “ท่าทางฝั่งเผ่าอี้ที่ถูกกดดันมาสิบกว่าปี จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คนที่ลอบเข้ามาจะต้องมีแผน ไม่แน่ว่าทัพใหญ่ของเผ่าอี้อาจจะรออยู่ที่ชายแดน เมื่อพวกเจ้าด้านนี้ถูกตีพ่าย พลังบารมีราชามารสลายไป พวกเขาก็จะยกทัพมาบุกรุกมาทันที”

“พระชายา เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรดี ข้าน้อยเพิ่งรู้ว่ามีคนเผ่าเทพลอบเข้ามาเพื่อลอบทำร้ายองค์ราชา เวลานี้เผ่าอี้ก็มีการเคลื่อนไหวเตรียมเข้าโจมตี เท่ากับมีทั้งศึกนอกศึกใน!” หยวนฟงพูดด้วยความกังวล

มู่ชิงเกอแค่นยิ้ม นัยน์ตาที่ใสกระจ่างผุดความเย้ยหยัน เสียงนางราบเรียบเย็นเฉียบ “ศึกนอก ศึกใน ขอเพียงองค์ราชาของพวกเจ้าไม่มีภัย เรื่องทุกอย่างล้วนไม่มีความหมาย หยวนฟงฟังคำสั่ง!”

ร่างของหยวนฟงสะท้านรีบประสานมือรับคำสั่งทันที “หยวนฟงรับคำสั่ง!”

“ให้เจ้ารีบจัดการทัพให้เรียบร้อย เพิ่มการป้องกันการโจมตีจากเผ่าอี้” ขณะที่มู่ชิงเกอออกคำสั่งนั้นในมือพลันมีถุงเพิ่มขึ้นมา

ภายในบรรจุระเบิดวิญญาณ นางยื่นมันให้หวงฝู่ฮ่วน มองเขาและเฉินปี้เฉิง “พวกเจ้าเป็นปีกหน้า ซ้ายขวาสนับสนุนหยวนฟงและเฝ้าที่นี่ไว้ ระเบิดวิญญาณเหล่านี้ พวกเจ้าส่งทหารข้ามแม่น้ำไปฝังไว้ที่ฝั่งตรงข้าม”

“พ่ะย,ะค่ะ!”

“พ่ะย,ะค่ะ!”

หวงฝู่ฮ่วนรับระเบิดวิญญาณและรับคำสั่งพร้อมกับเฉินปี้เฉิง

มู่ชิงเกอมองกู่เย่และบอกเขาว่า “รีบส่งข่าวไปยังวังไท่ฮวงทันที ให้จี่ฝูจัดทัพใหญ่เตรียมพร้อมออกศึก บอกให้เขารวบรวมอสูรเวหาไว้ หากด้านนี้เกิดศึกก็ ให้เขาส่งทัพใหญ่ขี่อสูรเวหามาทันที”

มู่ชิงเกอหันกลับมามองคนทั้งหมด แววตาที่ใสกระจ่างให้ความเชื่อมั่นแก่พวกเขาอย่างเต็มที่

เมื่อจัดการป้องกันชายแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอรีบให้กู่เย่นำทางไปหาซือมั่วทันที

เมื่อนางรู้จากกู่เย่ว่าหกเจ้าเมืองย่อยพร้อมด้วยกู่หยารีบเดินทางไปก่อนแล้วจึงสบายใจขึ้นมาก นางคิดคำนวณในใจ ‘เผ่าเทพมีราชาเทวะมาเจ็ดคน ทางนี้มีหกเจ้าเมืองย่อยทั้งมีกู่หยา เมื่อรวมกับตัวซือมั่วอีกคนก็ไม่น่าอันตรายจนเกินไปนัก ต่อให้เพิ่มเผ่าอี้ที่ลอบเข้ามาอีกคนก็ไม่ควรมีปัญหา รอจนข้ากับกู่เย่ไปถึง เมื่อรวมกับโห่วแล้วก็คงสามารถพลิกสถานการณ์แก้ไขเคราะห์กรรมเป็นตายของซือมั่วได้’

แต่เวลานี้นางยังไม่รู้ว่า ถึงแม้นางจะคิดคำนวณเต็มที่และได้เตรียมการล่วงหน้าไว้มากมาย แต่ก็ยังคงมองเคราะห์กรรมเป็นตายง่ายดายเกินไป

รัตติกาลเริ่มจางหาย รุ่งอรุณเริ่มมาเยือน

แต่ช่วงผลัดเปลี่ยนกลางวันกลางคืนนั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดมากที่สุด ไร้ซึ่งแสงดาว แสงตะวันยังไม่ปรากฎ ฟ้าดินราวกับซุกซ่อนอยู่ในความโกลาหล ทุกสิ่งล้วนมืดมัวไม่ชัดเจน

กู่เย่นำทางข้างหน้า มู่ชิงเกอตามอยู่ที่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด

ทั้งคู่ไปถึงบริเวณซือมั่วปิดประตูบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว แต่นึกไม่ถึงว่า ยังไม่ทันไปถึงก็เห็นพวกกู่หยาที่มาถึงก่อน สิ่งที่ทำให้มู่ชิงเกอหน้าเครียดจนดวงตาแทบจะถลนออกมาก็คือ หูของนางได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วมา

เสียงไม่ดังนักแต่สามารถรับรู้ถึงความรุนแรงภายในนั้นได้

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” มู่ชิงเกอพุ่งไปเบื้องหน้าคนทั้งเจ็ด นํ้าเสียงแฝงความดุร้าย

หากไม่ใช่เพราะนางยังมีสติอยู่ คำพูดที่ออกจากปากก็คงตำหนิพวกเขาไปแล้วว่าทำไมไม่ไปช่วยซือมั่ว เอาแต่ยืนเฉยอยู่ที่นี่ เสียเวลาเปล่าๆ

“พระชายา ที่นี่มีสิ่งกีดขวางราวกับถูกวางค่าย กลไว้ พวกเราเข้าไปไม่ได้!” กู่หยาพูดทันที

ถูกคนวางค่ายกลไว้!

ตาดำมู่ชิงเกอหดลงทันที ลมหายใจเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบ

นางก้าวเข้าไปสองก้าวจนไปถึงหน้าสุดแล้ว ยื่นมือออกไปค่อยๆ แตะเบาๆ

จริงดังนั้น เมื่อมือนางแตะถูกขอบค่ายกลก็บังเกิดฝาครอบโปร่งแสงสกัดนางไว้ภายนอก นางใช้แรงผลักไป ฝาครอบแสงนั้นก็ปรากฎพลังมหาศาลผลักนางกลับมา

มือของมู่ชิงเกอถูกดีดกลับมา ทำให้สีหน้า นางเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที

“พระชายา!” กู่หยารีบร้องเรียก

มู่ชิงเกอจ้องเขม็งไปข้างหน้า พูดเสียงเครียดว่า “หากข่าวกรองไม่ผิด เวลานี้มีเจ็ดราชาเทวะอยู่ภายใน ในนั้นราชาเทวะเส้าเทียนเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เก้า”

“พวกเผ่าเทพชั่วช้าสามานย์!” เซ่ออินด่าทันที

สั่วเซิ่งใบหน้าเย็นเฉียบพูดด้วยความแค้น “พวกผู้ดีจอมปลอม กล้ามาลอบโจมตีองค์ราชาของพวกเราเท่ากับจะให้พวกเราเปิดสงครามชัดๆ!”

“ขณะนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องพวกนี้ องค์ราชากำลังปิดประตูบำเพ็ญทะลวงขอบเขตขั้นสุดท้าย ถูกพวกชั่วร้ายนี้ก่อกวนเข้า ยังไม่รู้สถานการณ์เป็นอย่างไร เวลานี้พวกเราก็ถูกขวางอยู่ค้านนอกเข้าช่วยเหลือไม่ได้ องค์ราชาเขา…,” สีหน้าชิงเจ๋อเปลี่ยนไป คำพูดต่อมาเขาไม่กล้าพูดต่อ แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ

ต่อให้ซือมั่วร้ายกาจแค่ไหนก็เป็นเพียงคนคนหนึ่ง

ต้องต่อสู้กับราชาเทวะเจ็ดคนพร้อมกันทั้งถูกค่ายกลกักไว้ ภัยร้ายนั้นมีมากเกินไปจริงๆ

โดยเฉพาะกู่หยากับกู่เย่สองคน พวกเขารู้ว่าครั้งนั้นซือมั่วใช้ศาสตร์ต้องห้ามหวนคืน และยิ่งรู้ว่าศาสตร์ต้องห้ามเช่นนี้ทำให้เกิดแรงสะท้อนกลับมาที่ตัวซือมั่ว อีกทั้งเคราะห์กรรมเป็นตายที่ทำให้มู่ชิงเกอเป็นกังวลนักหนาก็ล้วนติดแน่นอยู่ในใจพวกเขา

เวลานี้ซือมั่วประสบเคราะห์กรรมนี้ พวกเขาก็กังวลว่าเคราะห์กรรมเป็นตายนั้นจะเป็นเรื่องจริง

“น่ากลัวจะไม่ใช่เพียงเท่านี้…” มู่ชิงเกอพูดช้าๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลกันอยู่นั้นนางก็มองออกแล้วว่านี่เป็นค่ายกลใด

ค่ายกลนี้นางยังไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยิน

อาจารย์ของนาง เทพโอสถที่ถ่ายทอดวิชาโอสถให้นาง ครั้งนั้นก็ดับสูญในค่ายกลนี้!

“นี่เป็นค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหาร ใช้เจ็ดคนเป็นตาค่ายกล เลียนแบบเจ็ดดาราสังหารบนท้องฟ้า ประกอบขึ้นเป็นค่ายกลผนึก เมื่อก่อร่างเป็นค่ายกลแล้ว คนภายนอกจะเข้าไปไม่ได้ คนภายในก็ออกมาไม่ได้ อีกทั้งตบะบำเพ็ญของคนที่ถูกกักไว้จะถูกค่ายกลดูดไปไม่หยุด เปลี่ยนไปหล่อเลี้ยงเจ็ดคนที่เป็นตาค่ายกล” มู่ชิงเกอใบหน้าเย็นเฉียบ เล่าถึงที่มาค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหารให้ทุกคนได้รู้

ทุกคนฟังแล้วสีหน้าต่างเปลี่ยนไป

“ถึงขนาดใช้ค่ายกลชั่วร้ายเช่นนี้!”

“วิญญูชนจอมปลอมเผ่าเทพพวกนี้สารเลวจริงๆ!”

“เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ มีแต่พวกจอมปลอมเผ่าเทพเท่านั้นจึงจะทำออกมาได้”

ทุกคนต่างพูดด้วยความเดือดดาล

“นี่คือค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหาร!” ชิงเจ๋อพูดอย่างตกใจ

มู่ชิงเกอมองที่เขา “เจ้าเคยได้ยินหรือ”

ชิงเจ๋อพยักหน้าด้วยสีหน้าน่าเกลียด “ข้าเคยค้นคว้าเรื่องค่ายกลมาระยะหนึ่ง เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้จึงได้ทิ้งไป แต่ข้าก็รู้จักอานุภาพเลื่องชื่อในการกักขังสังหารของค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหารนี้”

“ค่ายกลนี้จะทำลายได้อย่างไร” ซู่เหยียนถามอย่างร้อนรน

“ทำลายไม่ได้! นอกจากสังหารเจ็ดคนที่เป็นตาค่ายกล แต่พวกเราเข้าไปไม่ได้ พลังองค์ราชาคนเดียวจะสังหารพวกเขาได้อย่างไร” ชิงเจ๋อพูดจบสีหน้าก็น่าเกลียดมากขึ้นกว่าเดิม

“ก็ไม่แน่” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นกะทันหัน

คำพูดของนางทำให้ทุกคนสนใจ พวกเขาต่างพากันมองนาง รอฟังคำพูดต่อไปของนาง

มู่ชิงเกอว่า “ที่ว่าทำลายไม่ได้หมายถึงคนในค่ายกลเจ็ดคนเป็นตาค่ายกลร่วมกันประกอบขึ้นมา อาศัยพลังดวงดาวร่วมกันต่อสู้ศัตรู หากคิดจะสังหารพวกเขาเพื่อ ทำลายค่ายกลนั้นยากมากจริงๆ แต่ สำหรับพวกเราก็ใช่ว่าจะสิ้นหนทางเสียทีเดียว หากพวกเราคำนวณวงโคจรของดวงดาว หาตำแหน่งที่พวกเขาฝังยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมได้และทำลายยุทธภัณฑ์ชั้นอาคมนั้นก็จะสามารถทำลายค่ายกลได้ เพียงแต่…”

“เพียงแต่อะไรหรือ” ท่าทีลังเลของมู่ชิงเกอทำให้ชิงเหยียนถามด้วยความร้อนรน

มู่ชิงเกอเม้มปากขมวดคิ้ว “เพียงแต่การคำนวณวงโคจรของดวงดาวต้องใช้เวลา ข้าไม่รู้ว่าระหว่างนี้…”

นางมองเข้าไปในค่ายกล เสียงการต่อสู้ดุเดือดยังคงดังอยู่ที่ข้างหู เนื่องจากค่ายกลซ่อนเร้นทุกอย่างไว้ภายในทำให้มองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แต่การที่พวกเขายังพอได้ยินเสียงต่อสู้ดังแว่วออกมาได้ นั่นแสดงว่าการต่อสู้ภายในนั้นต้องรุนแรงมากเพียงใดกัน

ก่อนพวกเขาจะทำลายค่ายกลได้ ซือมั่วจะยังยืนหยัดอยู่ได้ไหม

ปัญหานี้มู่ชิงเกอไม่ได้พูด แต่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ

มู่ชิงเกอกัดฟันแล้วหันกายบอกทุกคนว่า “พวกเจ้าช่วยคุ้มกันข้า ข้าจะเริ่มคำนวณการทำลายค่ายกล”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องใช้ความเร็วสูงสุดในการทำลายค่ายกลตาข่ายฟ้าเจ็ดดาราสังหารเพื่อช่วยซือมั่ว มู่ชิงเกอสงบจิตใจและอารมณ์ เริ่มจำลองค่ายกลทันที ที่นางเป็นห่วงไม่เพียงแค่การคุกคามของเจ็ดราชาเทวะเท่านั้น แต่ยังมีมือสังหารเผ่าอี้อีกคนที่หลบอยู่ในที่มืด คอยหาโอกาสโจมตี เขาสามารถต้านพลังบารมีของซือมั่วลอบเข้ามาฝั่งนี้ ทั้งยังสร้างความสูญเสียและปั่นป่วนให้เผ่ามารอย่างมากมายที่ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลานได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาทีเดียว ภัยในที่แจ้งหลบง่าย ภัยในที่ลับป้องกันยาก!

เวลานี้มู่ชิงเกอจึงรู้สึกว่าเคราะห์กรรมเป็นตายของซือมั่วครั้งนี้ มีโอกาสรอดริบหรี่เหลือเกิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version