ตอนที่ 81-2
มู่ชิงเกอไม่ใช่คนไร้ค่า!
ทว่าตอนนี้นอกกำแพงเมืองที่ถูกพังทลายลงแล้วนั้น ยังมีกองทัพสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน พยายามเข้ามาโจมตีเข้ามา
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะบุกเข้าไปสู้ตายกับเหล่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้!” รองแม่ทัพผู้หนึ่งยืนนํ้าตาคลออยู่ข้างๆ มู่ซง เขาเห็นสภาพลูกน้องของตนเองร่างฉีกขาดคากรงเล็บของสัตว์ร้ายกับตา อดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังกับมู่ซง
สู้ตาย? สู้อย่างไรเล่า?
มู่ซงทำหน้าเคร่ง เม้มปากแน่น
แม้ว่าเขาเป็นถึงสายนํ้าเงินขั้นสูง แต่จะไปต้านทานกับสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างไรกัน อีกอย่างในบรรดาสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย ความสามารถของสัตว์ที่มี พลังวิเศษนั้นแทบเทียบเท่ามนุษย์ใครจะรู้ว่าท่ามกลางสัตว์นานาชนิดนี้ จะมีสัตว์ที่มีพลังแฝงตัวอยู่มากเท่าไหร่ หากเขาเปิดประตูเมือง แล้วให้ทุกตัวกระโจนเข้ามา จุดจบมีเพียงอย่างเดียวคือ กองทัพตระกูลมู่ดับสิ้น เมืองอี้ตกสู่อันตราย ตอนนี้ เพียงหนทางเดียวที่ทำได้คือ คุ้มครองกำแพงเมืองเอาไว้ไม่ให้สัตว้รายเข้ามาได้อีกทั้งต้องเร่งให้คนไปเร่งเสบียงมา เพื่อเป็นการเพิ่มพลังในการสู้รบ ไม่แน่อาจจะสู้ให้คราวนี้ผ่านไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้น คนพวกนี้ต้องตายเป็นแน่!
“ทหาร!” อยู่ๆ มู่ซงก็ตะโกนขึ้นมา จากนั้นก็มีคนส่งสารมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาในทันที มู่ซงจ้องเขม็งไปยังการต่อสู้นอกกำแพงเมือง แรงสั่นสะเทือนจากกำแพงเมืองที่พังทลายลงเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นจุดสนใจของเขาเลย
เขาพูดเสียงเข้มว่า “อย่าหยุดสั่งการเร่งเสบียงอาหาร หากมีใครขัดขวางก็จงฆ่ามันเสีย!” พูดจบ เขาก็โยนธนูของตนเองให้กับผู้ส่งสาร
ผู้ส่งสารออกไปในทันที สักพักมีผู้ส่งสารกลุ่มหนึ่งขี่ม้ามุ่งเข้าไปในเมืองฮั่นที่เป็นเมืองใกล้เคียง
เมืองฮั่นเป็นเมืองรํ่ารวยที่มีอาณาเขตใกล้กับเมืองอี้มากที่สุด ขุนศึกจากท้องพระโรงก็อยู่ที่นั่น มู่ซงมองผู้ส่งสารจนลับสายตาไป เขาไม่เชื่อว่าผู้นำของเมืองฮั่นจะไม่รู้จักการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน
หากเมืองอี้สิ้นแล้ว เมืองฮั่นจะรอดหรือ?
มู่ซงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผู้ส่งสาร แล้วพารองแม่ทัพกลับไปยังห้องสั่งการ เพื่อหากลยุทธ์มายื้อเวลา
แต่ว่า ทุกคนต่างไม่มีอาหารและนํ้า
ขาดแคลนอาหารและอาวุธ กองทหารตระกูลมู่เหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ แล้วจะยื้อเวลาในการถูกสัตว์ร้ายโจมตี เพื่อรอเสบียงได้อย่างไร?
“สองวัน อย่างน้อยต้องยื้อเวลาไปให้ได้ถึงสองวัน” นี่เป็นระยะเวลาที่สั้นที่สุดในการใช้ไปกลับระหว่างเมืองอี้ และเมืองฮั่น หากการถ่ายทอดคำสั่งครั้งนี้สำเร็จ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองวันในการขนย้ายเสบียงอาหารกลับมายังเมืองอี้ มู่ซงบอกเวลาที่ต้องการออกไป แต่ทุกคนกลับเงียบไป
สองวันรึ? อย่างว่าแต่สองวันเลย แค่สองชั่วยามก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนต่อไปได้ไหม
รองแม่ทัพท่านหนึ่งพลันพูดทั้งนํ้าตาว่า “ท่านแม่ทัพ ทหารของเราสู้รบมาหลายวันติดกัน แต่ไม่ได้กินอิ่มท้องมา 3 วันแล้ว อาวุธของพวกเขาเองก็ไม่อาจใช้ใด้อีกแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะต้องยื้อเวลาโดยการใช้ชีวิตแลกชีวิต”
มู่ซงหลับตาลงอย่างเจ็บปวดใจ เขาจะไม่รู้เหตุผลข้อนี้ได้อย่างไร
แต่ทว่าแม้จะไม่มีวิธีก็ต้องคิดหาวิธีให้จงได้
มู่ซงปากสั่นเพราะแรงสะอื้น เขาอยู่กับกองทัพและผ่านการสงครามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่เจ็บปวดและเสียใจมากที่สุด
เพราะว่า เขาไม่ได้แพ้เพราะศัตรูแต่กลับแพ้เพราะแคว้นที่เขาให้ความจงรักภักดี
“รายงาน! รายงานท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพเจินและท่านแม่ทัพซิวขอเข้าพบขอรับ” อยู่ๆ ก็มีผู้ส่งสารมารายงานข่าว
มู่ซงลืมตาขึ้นในทันที “เข้ามา” แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกใจ เมื่อวานสองท่านนี้บาดเจ็บสาหัสในขณะสู้รบมิใช่เหรอ
ทันใดนั้น แม่ทัพสองคนที่แขนขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลสีขาวและแดงเพราะเลือดก็เดินเข้ามา
มู่ซงรีบลุกขึ้นมาต้อนรับ “พวกท่านทั้งสอง เหตุใดถึงไม่พักรักษาตัว มาทำอะไรที่นี่”
ท่านแม่ทัพเจินและท่านแม่ทัพซิวมองหน้ากัน จากนั้นก็ประกบมือทั้งคู่ตรงหน้ามู่ซง
ท่านแม่ทัพเจินพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ข้ามีวิธียื้อเวลา”
มู่ซงตาเป็นประกาย พลางถามอย่างตื่นเต้นว่า “วิธีอะไรรีบพูดออกมา”
ท่านแม่ทัพเจินยิ้ม “วิธีของข้าก็คือ รวบรวมทุกคนที่บาดเจ็บนำโดยข้าทั้งสอง แล้วเปิดประตูเมืองออกไปสู้กับสัตว์ร้ายให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! ไม่ได้!” มู่ซงปฏิเสธอย่างตื่นตระหนก จะให้เขาส่งทหารของตนเองไปตาย จะเป็นไปได้อย่างไร รองแม่ทัพคนอื่นๆ เม้มปากเงียบ ในดวงตานั้นพร่าเลือนไปด้วยนํ้าตา
ท่านแม่ทัพซิวยิ้ม “ท่านแม่ทัพ พวกข้าติดตามท่านมาสิบกว่าปี มีความเป็นความตายอะไรบ้างที่ไม่เคยเผชิญ ครั้งนี้เป็นการชี้เป็นชี้ตายของกองทัพตระกูลมู่ของเรา หากข้าสามารถสละตนเองเพื่อสร้างโอกาสได้ แล้วยังมีอะไรที่จะต้องลังเลอีกเล่า อีกอย่าง ภายในค่ายของเราไม่มียารักษาเลย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ไป อีกไม่กี่วันก็คงจะกลายเป็นคนพิการ เมื่อเทียบกันแล้ว ให้พวกข้าจากไปอย่างยิ่งใหญ่ดีกว่า ”
“ไม่ รอก่อน ข้าให้คนไปเร่งเสบียงอาหารและยาแล้ว พวกเจ้าจะไม่เป็นอะไรหรอก” มู่ซงอดทนต่อความเจ็บปวดภายในใจ
ท่านแม่ทัพเจินหัวเราะพลางกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ นี่ไม่ใช่ความคิดของพวกข้าทั้งสองคนหรอก แต่เป็นความคิดของพี่น้องทุกคนที่นอนอยู่บนเตียงในค่าย พวกข้านอนติดเตียงมาหลายวัน ได้ยินเสียงการสู้รบของเหล่าพี่น้อง ในใจก็รู้สึกละอายเป็นอย่างมาก ท่านให้พวกข้ามีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อกองทหารตระกูลมู่อีกหน่อยเถิด” มู่ซงเม้มปากแน่น ไม่พูดอะไร กัดฟันจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว ในระหว่างทางไปเมืองอี้ ฝุ่นปลิวกระจายอยู่เหนือพื้นดิน มู่ชิงเกอยังคงพาองครักษ์เร่งเดินทางโดยไม่หยุดเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีแม้กระทั่งในยามคํ่าคืน
“คุณชาย อีกไม่กี่ชั่วยามเราก็จะถึงเมืองอี้แล้ว” องครักษ์ที่คุ้นเคยเส้นทางนี้ซึ่งตอนนี้อยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอพูดขึ้น มู่ชิงเกอทำหน้าเคร่ง ค่อยๆ พยักหน้า อยู่ๆ ตรงหน้าก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมา ในเหล่าองครักษ์พลันมีคนทำให้ม้าดีดขาขึ้นซึ่งการกระทำแบบนี้เป็นผลจากการฝึกที่ดีเยี่ยม และการตอบสนองที่ดีมากทำให้ฉินอี้เหยาที่ตามมาตลอดทางรู้สึกแปลกใจ
“คุณชาย เป็นพวกมั่วหยาง” เมื่อองครักษ์คนนั้นเห็นอย่างแน่ชัดแล้วผู้มาเป็นใคร ก็รีบพูดกับมู่ชิงเกอ
มั่วหยางที่พาคนไปสำรวจทางและอยู่ด้านหน้ามาตลอด ตอนนี้ได้กลับมาแล้ว แต่ว่าเกิดอะไรขึ้น?
มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย จึงรีบขี่ม้าตามไป
“คุณชาย!” มั่วหยางหยุดม้าตรงหน้ามู่ชิงเกอ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาดั่งน้ำแข็งพลางพูดว่า “พวกเราเจอศพของผู้ส่งสารของกองทัพตระกูลมู่ข้างหน้าขอรับ”
ในสายตาของมู่ชิงเกอดูเย็นเยียบ นางพูดอย่างเย็นชาว่า “ไป”
ทันใดนั้น ทุกคนก็มุ่งไปทางศพนั้น
เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจริงๆ หรือ?
ฉินอี้เหยาตกใจ มองแผ่นหลังของมู่ชิงเกออย่างกังวล แล้วจึงรีบตามไป
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เห็นร่างของผู้ส่งสารแห่งกองทหารตระกูลมู่ที่มั่วหยางบอก บนถนนนั้น มีร่างจำนวนเจ็ดถึงแปดร่างที่สวมใส่ชุดของกองทหารตระกูลมู่นอนเกลื่อนกลาดอยู่
ก่อนตาย พวกเขาได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา
แต่กลับไม่มีศพของอีกฝ่าย ทำให้เห็นว่าฝ่ายศัตรูนั้นมีกำลังเหนือกว่าพวกเขา
จะมีใครกล้าลงมือกับผู้ส่งสารของตระกูลมู่
มู่ชิงเกอลงจากหลังม้าไปคุกเข่าตรงหน้าร่างไร่วิญญาณนั้น แล้วสังเกตอย่างละเอียด
สภาพร่างที่ยับเยิน ทำให้มู่ชิงเกอรู้ว่าสถานการณ์การรบของเมืองอี้นั้นไม่ดีมากนัก ปากแผลที่เรียบเฉียบพวกนั้น ทำให้นางพอจะประเมินความสามารถของฝ่ายศัตรูออก
“คุณชาย!” อยู่ๆ มั่วหยางก็เรียกขึ้นมา
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน หันหลังไปเห็นมั่วหยางถืออะไรบางอย่างแล้วเดินมาหานางอย่างรวดเร็ว
มู่ชิงเกอต้องจ้องมองของในมือของเขาโดยอัตโนมัติ
มีเหล็กชิ้นหนึ่งที่มีปลายแหลมเหมือนศรธนู ข้างบนมีสลักอักษรคำว่า ‘มู่’ อยู่ “คุณชาย นี่เป็นลูกศรธนูของนายท่าน ดูเหมือนว่าครั้งนี้เมืองอี้คงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นนายท่านคงไม่มอบธนูประจำกายให้ผู้ส่งสารแบบนี้”
มู่ชิงเกอรับธนูจากมั่วหยางมาและกำแน่น พลิกกายขึ้นหลังม้าไป “ไป”
ผู้คนหลายร้อยคนขี่ม้าและมุ่งไปทางเมืองอี้อีกครั้ง ท้ายขบวน ต่างก็รู้กันจึงทิ้งคนไว้สองสามคนเพื่อจัดการกับร่างของผู้ส่งสารตระกูลมู่