ตอนที่ 81-4
มู่ชิงเกอไม่ใช่คนไร้ค่า!
ภาพที่ทุกคนเห็นคือคนในชุดสีแดงดั่งดอกอิ๋งซู่ (ป๊อปปี้) สีเลือดสดลอยอยู่กลางอากาศลงไปด้านล่าง
“เกอเอ๋อร์~~~~~!” คนที่รู้สึกตัวเป็นคนสุดท้ายคือมู่ซง เขายื่นมือออกไปเหมือนอยากจะจับแขนเสื้อของมู่ชิงเกอเอาไว้และดึงนางขึ้นมา แต่เสียดายที่จับต้องได้เพียงอากาศที่ลอยทะลุผ่านร่องนิ้วออกไป
ฟุบ~~~~~
เสียงของมู่ซงยังไม่ทันได้จางหายไป องครักษ์ทัง 500 นายที่ตามมู่ชิงกอมาก็ปีนขึ้นกำแพงมืองไป พลางโดดลงกำแพงตามมู่ชิงเกอไป ทันใดนั้นบนกำแพงเมืองอี้ก็เกิดแสงประกายส้มและเหลืองไม่ขาดสาย แสงพวกนั้นตกลงกลางอากาศและ พุ่งเข้าสู่สนามรบไป
“ปกป้องคุณชาย !” มั่วหยางตะโกนเสียงดัง ทหาร ทั้ง 501 นายล้อมรอบมู่ชิงเกอเอาไว้และปกป้องนางไว้อย่างแน่นหนา
ภายในกำแพงเมืองก็พลันโกลาหลขึ้นมา
ภายในนั้น คนที่ตกใจที่สุดคือมู่ซง แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ แต่เขากลับรู้ดีที่สุดว่า องครักษ์ห้าร้อยนายที่มู่ชิงเกอพามานั้น เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้าคนพวกนี้ยังเป็นเพียงสายแดง แต่ตอนนี้ต่างก็กลับกลายเป็นสายส้มและเหลืองกันแล้ว!
นี่มัน นี่มัน……………………..
ฉินอี้เหยาที่ได้สติจากความกลัว มองเงาร่างอันสง่างามด้านล่างกำแพงแล้วกัดฟัน จากนั้นก็กระโดดตามลงไป
“องค์หญิง!” มู่ซงยังคงคว้าเอาไว้ได้เพียงแค่อากาศ จนเขาเกือบจะตามลงไปด้วย!
“ท่านแม่ทัพ เราควรทำอย่างไรดี” รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาชื่นชมกับการที่มู่ชิงเกอกระโดดลงกำแพงมืองไป แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมว่า คุณชายนั้นไม่สามารถฝึกพลังเวทได้ เขากระโดดลงไปแบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการเอาอาหารไปสังเวยให้กับสัตว์ร้ายเพิ่มหรอกหรือ แต่พวกเขากลับลืมไปแล้วว่า มู่ชิงเกอกระโดดลงไปก่อน แต่กลับยืนอยู่บนพื้นได้อย่างมั่นคง
มู่ซงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงมู่ชิงเกอดังขึ้นมา จากด้านล่างกำแพงเมือง “ปกป้องกับผีสิ! ตามข้าเข้าไปโจมตี ช่วยชีวิตคนสิ!”
ไอ้เด็กจองหองนี่!
มู่ซงฟังแล้วโกรธจนลูกตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า
เขาโน้มตัวลงบนกำแพงเมือง ขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังจะโดนอารมณ์กลืนกินและเปิดประตูเมืองเพื่อจะออกไปช่วยมู่ชิงเกอนั้น อยู่ๆ เขาก็พลันนิ่งอึ้งอยู่กับที่
มารดามันเถอะ! นี่เขาแก่จนตาฝาดไปแล้วหรือเปล่า!
เขาเห็นบนร่างกายของหลานชายของตนเองมีแสงสีเขียวส่องประกาย แสงสีเขียวนั่นเมื่ออยู่ท่ามกลางพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดแล้ว ช่างดูโดดเด่นเป็นที่สุด มู่ซงขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขามองมู่ชิงเกออีกครั้ง กลับเห็นแสงสีเขียวบนร่างกายของเขาไม่เพียงแต่ไม่ลด ลงกลับยังเพิ่มมากขึ้น นี่มันสายเขียวขั้นต้น!
“สายเขียว!”
“คุณชายเป็นถึงยอดฝีมือสายเขียว!”
“สวรรค์ช่วย! นี่ข้าฝันไปหรือเปล่า”
“อ่าๆๆๆๆๆ! คุณชายเป็นถึงยอดฝีมือสายเขียว ความสามารถระดับนี้ ยังจะมีใครกล้าบอกว่าคุณชายเป็นคนไร้ค่าอีก?”
“คุณชาย!”
“คุณชาย! คุณชาย!”
ด้านบนกำแพง เหล่ากองทหารตระกูลมู่ที่ได้สติต่างพากันร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง ราวกับว่านี่เป็นเกียรติยศความภูมิใจของพวกเขา!
“เขา…ทำไมเขา…” ฉินอี้เหยาอึ้งกับแสงสีเขียวตรงหน้า
นางมองมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง นางตกใจจนลืมไปว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน เขาเป็นถึงสายเขียวเลยหรือ แล้วข้าที่เป็นแค่สายเหลืองขั้นกลางคิดอยากจะมาปกป้องเขา? ช่างไม่เจียมความสามารถของตนเองเสียจริง ความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นภายในจิตใจของฉินอี้เหยา วินาทีนี้ นางลืมความจริงที่ว่ามู่ชิงเกอเป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ในขณะเดียวกันก็ลืมแม้กระทั่งตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นยอดฝีมือสายเขียวไปได้ นางรู้เพียงว่าการที่นางอยู่ที่นี่ตอนนี้ถือเป็น เรื่องที่น่าตลกและเป็นส่วนเกินมากเพียงใด
ฉึก——— !
เลือดสีแดงสดเหม็นคาวกระจายอยู่ตรงหน้าฉินอี้เหยา ทำให้นางได้สติ
นางเงยหน้าขึ้น มองมู่ชิงเกอที่อยู่ในระยะประชิดอีกครั้ง
มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชา “ยืนอยู่กับที่ไม่โต้ตอบเช่นนี้ อยากตายนักหรือไร?”
แม้คำพูดจะดูเย็นชาแต่กลับทำให้ฉินอี้เหยารู้สึกอุ่นใจ ร่างของสัตว์ร้ายที่อยู่แทบเท้าตนเองในตอนนี้แยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน
‘เขายังคงเป็นห่วงตนเอง จึงมาช่วยได้ทันเวลาไม่ใช่หรือ?’ ความคิดนี้ทำให้ฉินอี้เหยาได้สติกลับคืนมา ดาบยาวส่องประกายสีเหลืองในมือสะบัดทีหนึ่ง แสงประกายวาดผ่านสัตว์ร้ายที่จะลอบกัดมู่ชิงเกอจากทางด้านหลัง ร่างของสัตว์ร้ายขาดออกจากกันในทันที เลือดนั่นกระเซ็นโดนด้านหลังมู่ชิงเกอราวกับฝนโลหิต ท่ามกลางความดุเดือด มันเย้ายวนดั่งยาพิษและดูงดงามจนน่ากลัว
แววตาของฉินอี้เหยาประดับไปด้วยความกลัว แต่ก็ยังคงจัดการกับมันได้อย่างรวดเร็ว
นางกำดาบยาวไว้แน่น พลางไปอยู่ข้างหลังของมู่ชิงเกอ เพื่อป้องกันการจู่โจมของศัตรูจากทางต้านหลัง
ท่าทางรู้ใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดนี้ทำให้มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง แววตาส่องประกายเข้าใจ แสงสีเขียวในมือเคลื่อนไหวอีกครั้ง
มู่ชิงเกอเป็นสายเขียวและยังเข้าใจทักษะการสังหารในแต่ละรูปแบบเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ลงมือ ก็จะสามารถดับชีวิตหนึ่งลงได้ ข้างหลังยังมีฉินอี้เหยาคอยเฝ้าระวัง ท่ามกลางความร่วมมือของทั้งสองทำให้ทางเดินที่พวกนางแหวกเข้าไป เต็มไปด้วยเลือดในทันทีและองครักษ์ทั้ง 500 นายของนางที่มีมั่วหยางเป็นผู้นำ ก็ทำงานกันเป็นกลุ่ม ต่างคนต่างแยกออกจากกันเป็นห้ามุมแล้วทำการสังหาร ทะลวงเข้าสู่สนามรบราวกับสว่านและค่อยๆ แบ่งแยกสนามรบที่สับสนวุ่นวายให้ออกเป็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
ปฏิกิริยาที่ว่องไวดุดันและการปฏิบัติการที่ไม่ยืดเยื้อเช่นนี้ทำให้มู่ซงที่อยู่บนกำแพงแปลกใจ
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาเพียงสามเดือน หลานชายของเขาที่ใครๆ ต่างบอกว่าเป็นจอมเสเพลไร้ค่า จะสามารถฝึกทหารธรรมดาให้มีความสามารถได้ถึงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธหน้าตาแปลกประหลาดในมือของพวกเขานั้นมันอะไรกัน?
มู่ซงที่สายตาเฉียบคมเห็นนานแล้วว่าบนสนามรบนั้นมีอาวุธที่มีความสามารถแปลกประหลาดอยู่และสิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคืออาวุธพวกนี้เมื่ออยู่ในมือของเหล่าองครักษ์ของมู่ชิงเกอจะเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นถึงห้าเท่า
แทบจะในพริบตา เหล่าทหารพิการที่ยังเหลือรอดอยู่ ก็ถูกรวบรวมให้อยู่ด้านหลังขององครักษ์ทั้ง 500 นาย มู่ซงตาเป็นประกายยกมือขึ้นพลางตะโกนว่า “เปิด ประตูเมือง แล้วไปรับเหล่าพี่น้องทหารของพวกเราเข้ามา!” ในขณะเดียวกันเขาก็ชักกระบี่ของตนเองออกมา กระโดดลงกำแพงและเข้าสู่สนามรบไป หลานชายของตนเองกำลังเผชิญหน้ากับการฆ่าฟันกันในสงคราม เขาที่เป็นท่านปู่จะแอบอยู่ในเมืองเหมือนเต่าในกระดองได้อย่างไร
มู่ซงไม่ได้สั่งการให้ออกโจมตี เขาเพียงกระโดดลงไปคนเดียว เป็นตัวแทนของตัวเขาเองไม่ใช่ตัวแทนจากกองทัพตระกูลมู่
แต่เขาที่เป็นผู้นำสูงสุดกระโดดลงไป แล้วคนที่เหลือจะทนต่อไปได้อย่างไร?
ในขณะที่มู่ซงกระโดดลงไป เหล่ารองแม่ทัพต่างก็กระโดดลงไปเช่นกัน ทหารที่เฝ้าประตูพลางเปิดประตูเมืองเพื่อรับคนเจ็บเข้ามาและเข้าสู่สนามรบ
ในชั่วขณะ การออกไปเพื่อคุ้มกันในตอนแรกกลับกลาย เป็นการโจมตี
ความเลือดร้อนของมู่ชิงเกอจุดประกายความบ้าคลั่งภายในจิตใจของกองทัพตระกูลมู่ พวกเขาเข้าสู่สนามรบอย่างรวดเร็วดั่งลมพายุ จนลืมไปแล้วว่าดาบและอาวุธในมือนั้นทื่อจนไม่สามารถตัดอะไรได้แล้ว ในขณะเดียวกันก็ลืมไปว่าหลายวันที่ผ่านมานี้พวกเขาไม่ได้กินอิ่มเลยแม้แต่มื้อเดียว
อาวุธไม่คม พวกเขาก็พร้อมจะใช้ฟันของตนเอง
กองทหารตระกูลมู่ที่ทิ้งอาวุธในมือ ใช้ฟันในการฉีกเนื้อของสัตว์ร้ายออกเป็นชิ้นๆ โดยไม่สนใจร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดของตนเอง
นี่เป็นการประชันความป่าเถื่อนกันโดยแท้
ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีการแบ่งแยกคนหรือสัตว์อีกต่อไป มีเพียงแพ้หรือชนะเท่านั้น
มู่ชิงเกอยิ่งลงมือฆ่านัยน์ตายิ่งนิ่งสงบ ก่อนที่จะมา นางรู้มาจากมู่เหลียนหรงว่า การโจมตีของสัตว์ครั้งนี้นั้นไม่ธรรมดา พอได้มาเห็นกับตาถึงที่นี่ก็ยิ่งรู้สึกเห็นด้วย
สัตว์พวกนี้พุ่งเข้ามาโจมตีเมืองอี้อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
อะไรที่สามารถยั่วให้พวกมันคลั่งได้ถึงเพียงนี้?
แล้วนางจะหยุดการโจมตีนี้ได้อย่างไรกัน?
จะฆ่าสัตว์ร้ายเหล่านี้ให้หมด? นั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ สัตว์ร้ายพวกนี้ไม่ได้มีเพียงพันหรือหมื่นตัว อย่าว่าแต่นางที่เป็นสายเขียวเลยถึงแม้วันหนึ่งนางได้กลายเป็นสายม่วง แล้วให้สัตว์พวกนี้เรียงแถวกันมาให้นางฆ่าทีละตัว ใช้เวลาเป็นร้อยปีก็ยังฆ่าไม่หมดเลย
มือของมู่ชิงเกอพุ่งเข้าเสียบตรงหัวใจของสัตว์ร้ายราวกับ
ดาบอันแหลมคม
ฉินอี้เหยาเริ่มรู้สึกหมดแรง แต่ก็ยังคงปกป้องมู่ชิงเกอจากข้างหลังอย่างสุดความสามารถ
องครักษ์ทั้ง 500 นาย คอยคุมกันนางจากรอบด้าน โชคดีที่เหล่าทหารพิการถูกนำตัวกลับมาแล้ว มู่ซงบดขยี้สัตว์วิญญาณสายเหลืองตัวหนึ่งจนเป็นผุยผงแล้วเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นคนชุดแดงอยู่ในระยะไกลๆ
เขาตกใจรีบร้องเรียก “เกอร์เอ๋อร์กลับมา~~~ ”
เสียงนั้นลอยมาเข้าหูของมู่ชิงเกอ นางได้ยิน แต่ไม่สามารถปลีกตัวออกไปจากที่นั่นได้
ครั้งนี้ นางสร้างพลังใจจากความทุกข์ใจของกองทหารตระกูลมู่ โดยคำพูดที่ว่า ผู้ตกอับมักจะมีแรงผลักดันในการต่อสู้จนได้มาซึ่งชัยชนะ เมื่อกองทัพตระกูลมู่เห็น บรรดาทหารพิการที่ต่อลมหายใจให้กับพวกเขา ในใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น เพราะฉะนั้นด้วยแรงกระตุ้นของนาง จึงสามารถทำให้เหล่าทหารระเบิดประสิทธิภาพในการรบออกมาได้ แต่หากถอยตอนนี้ไม่นานสัตว์ร้ายก็จะโจมตีมาอีก ถึงตอนนั้นจะยังรวบรวมกำลังในการรบอีกครั้งได้หรือไม่นั้นก็ยังพูดได้ยาก
นางไม่ลืมว่า กองทหารตระกูลมู่ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วและในมือต่างก็ไม่มีอาวุธใดๆ เลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ลืมว่า ผู้ส่งสารที่มู่ซงส่งออกไปนั้นตายไปตั้งนานแล้ว ลูกศรประจำกายของมู่ซงก็อยู่ที่อกของนาง ไม่มีทางมีกำลังเสริมมาช่วยแน่ เพราะฉะนั้นครั้งนี้นางจะต้องทำให้พวกสัตว์เดรัจฉานพวกนั้นรู้จักกลัวให้ได้ทำให้พวกมันไม่กล้าเข้าใกล้เมืองอี้อีกภายในเวลาอันใกล้นี้
ในส่วนลึกของดวงตาเปล่งประกายความมุ่งนั้น ความว่องไวในมือของมู่ชิงเกอเพิ่มมากขึ้นว่าเดิม
“ชิงเกอ เราคงเข้าไปลึกกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ข้างหูมีเสียงอันตื่นตระหนกของฉินอี้เหยาดังขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ต้องสู้รบอย่างจริงจังขนาดนี้ ทำให้องค์หญิงในวังอย่างนางขาชาไปตั้งนานแล้ว บนตัวยังอาบชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าตอนแรกที่เยือกเย็นตั้งภูเขานํ้าแข็ง ยามนี้ยิ่งเหมือนเทพธิดาแห่งสงครามมากกว่าเดิม
มู่ชิงเกอหยุดเดินและเรียกเสียงดัง “มั่วหยาง”
หลังจากที่หันหลังกลับไปสังหารหมาป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว มั่วหยางก็รีบกลับมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว
“พาองค์หญิงไป และพวกเจ้าทุกคนถอยทัพไป” มู่ชิงเกอสั่งการด้วยนํ้าเสียงเย็นเยียบ
มั่วหยางตกใจ แต่ก็ตอบรับคำสั่งในทันที
ฉินอี้เหยาใช้แรงที่มีในการจับแขนของนางเอาไว้พลางพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
มู่ชิงเกอใช้แววตาเรียบนิ่งมองนาง พลางถามว่า “เจ้าจะยอมเชื่อข้าหรือไม่”
ฉินอี้เหยาพูดอะไรไม่ออก แววตากระจ่างคู่นั้น ทำให้นางไม่กล้าที่จะปฏิเสธ นางรู้สึกว่าหากเป็นคำพูดที่มู่ชิงเกอพูดและการตัดสินใจทั้งหมดของมู่ชิงเกอทั้งหมดล้วน แล้วแต่จะกลายเป็นความจริง เมื่อได้สตินางจึงพยักหน้า
มู่ชิงเกอยิ้มพลางพูดนิ่งๆ “หากเชื่อมั่นในตัวข้าก็ออกไปพร้อมกับพวกเขาก่อน เรื่องที่ข้าจะทำต่อไปนี้ หากมีเจ้าอยู่ข้างๆ จะไม่สะดวก”
ฉินอี้เหยาคลายมือออกจากแขนทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอ
ในขณะนั้นเอง มู่ชิงเกอก็ร้องเรียก “มั่วหยาง”
มั่วหยางเม้มปาก ดึงตัวฉินอี้เหยาถอยหลังไป
หากจะติดตามมู่ชิงเกอ ข้อแรกที่ต้องเรียนรู้คือ ต้องทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
องครักษ์ทั้ง 500 นายค่อยๆ ถอยทัพด้วยความแปลกใจ เหลือเพียงแค่มู่ชิงเกอคนเดียวที่อยู่ทำมกลางสัตว์ร้ายและยังคงสังหารต่อไป
ท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายจำนวนมากคอยบดบัง มู่ซงเห็นองครักษ์ถอยทัพกลับมา จึงคิดว่ามู่ชิงเกอจะเป็นหนึ่งใน นั้นใจที่กังวล ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ในขณะนั้นเอง เหล่าสัตว์ร้ายพลันบ้าคลั่งกว่าเดิมและระบายความเคียดแค้นทุกอย่างลงบนตัวของมนุษย์ที่ยังอยู่ตรงใจกลาง
ชุดสีแดงอันงามสง่า ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง เจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์ ฝ่ามือนางพลิกอย่างรวดเร็วปลิดชีพสัตว์ร้ายด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่า ฉินอี้เหยาและคนอื่นๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว มู่ชิงเกอก็เก็บฝ่ามือกลับมา มุมปากเผยรอยยิ้มโอหังชั่วร้าย ดูอันตรายแต่ก็น่าดึงดูด “ให้ พวกเจ้าได้รู้ถึงความหวาดกลัวเสียบ้าง” พอพูดจบ นางก็ผายมือทั้งสองข้างออก สิบนิ้วพลิกอย่างรวดเร็ว ใช้มือต่างดาบเพื่อเป็นการรวมพลังวิญญาณจากฟ้าดิน กลิ่นอายอันลึกลับน่ากลัวเคลื่อนตัวตํ่าลงมาจากท้องฟ้า ราวกับถูกนางเรียกให้ลงมา
เปรี้ยงๆๆ~~~
ทันใดนั้นก็พลันมีเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบดังขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองอี้
เสียงฟ้าผ่า ทำให้มู่ซงต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ตอนนี้ มั่วหยางและทุกๆ คนกลับมายังประตูเมืองแล้ว
มู่ซงรีบไปหามู่ชิงเกอท่ามกลางผู้คน แต่กลับไม่พบ
“มั่วหยาง เจ้านายของเจ้าล่ะ?” มู่ซงดึงตัวมั่วหยางไว้ แล้วถาม
มั่วหยางหันไปมองจุดกึ่งกลางฝูงสัตว์เดรัจฉานด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก “คุณชายสั่งให้พวกข้ากลับมาก่อนขอรับ”
“อะไรนะ!” มู่ซงได้ยินแล้วตกใจจนลูกตาแทบจะทะลุออกมา เกือบจะบีบมั่วหยางให้ตายคามือ ยามนี้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่งในตอนแรก ถูกกลุ่มเมฆสีดำบดบัง ก้อนเมฆลอยตํ่าจนเหมือนจะกระทบพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น