ตอนที่ 82-2
พวกเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่ยอมรับ!
มู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาจากการฝึกพลังเวทและพบว่าภายในห้องนั้นมีใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
กู่หยายืนอยู่ที่ข้างเตียง พอเห็นว่ามู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาจากการฝึกพลังเวทแล้ว เขาก็โยนอะไรบางอย่างที่มีกลิ่นดินติดอยู่ให้กับนาง
นางยื่นมือออกไปรับและเปิดผ้าสีขาวที่พันอยู่ออก พอเห็นของที่อยู่ข้างในก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “ผลมังกรอสรพิษ!”
นางไม่ได้รู้จักผลไม้ที่มีสีแดงราวกับองุ่นนี่ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับตำรายาในจิตใต้สำนึกของนางบอกกับนาง ผลมังกรอสรพิษเป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นโดยการหลอมรวมพลังจากฟ้าดิน ปกติแล้วจะเติบโตอยู่ในถํ้าที่มืดทึบและเปียกชื้น เพราะพลังของมันอาจจะเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลาดังนั้นจึงยากมากที่จะรู้แน่ชัดว่ามันอยู่ตรงไหน หากเป็นคนธรรมดา เมื่อกินเข้าไปแล้วจะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้ในทันที มันช่วยขยายหลอดเลือด ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มพลังชีวิตให้อายุยืนยาวได้
หากนำมาปรุงยาโดยผสมกับยาสมุนไพรนานาชนิด จะได้รับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง
พูดได้ว่าผลมังกรอสรพิษนั้นหายากมาก แต่สามารถนำไปใช้สอยได้มากมายนับว่าเป็นยาสมุนไพรที่ลํ้าค่าเป็นอย่างยิ่ง
คิดไม่ถึงว่าผลไม้ที่เหนือฟ้าเช่นนี้ กลับมาอยู่ในมือของนาง!
พอเห็นว่ามู่ชิงเกอรู้จักผลมังกรอสรพิษ กู่หยาก็ไม่ต้องเสียแรงอธิบายอะไรมาก จึงพูดต่อไปว่า “มหาปราชญ์ ให้ข้ามาบอกกับเจ้าว่าที่สัตว์ร้ายคุกคามถึงเพียงนี้ เป็นเพราะว่ามีคนรู้ว่าภายในหุบเขาฉินนั้นมีผลมังกรอสรพิษอยู่ จึงต้องไล่สัตว์พวกนี้ออกไป เพื่อตามหามัน เมื่อสัตว์พวกนั้นสูญเสียบ้านไปจึงโจมตีบ้านเมืองของมนุษย์”
มู่ชิงเกอหรี่ตา นางคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังการบุกรุกของสัตว์ร้ายจะมีเหตุผลเช่นนี้อยู่
“แม่นางมู่”
เมื่อได้ยินคำสรรพนามจากกู่หยา มู่ชิงเกอพลันขมวดคิ้วแล้วพูดแก้ว่า “เรียกข้าว่าคุณชายมู่”
กู่หยายิ้มกว้าง แล้วเปลี่ยนสรรพนาม “คุณชายใช้รากวิญญาณสายฟ้า คนพวกนั้นก็สัมผัสได้ ท่านประมุขกลัวว่ามันจะเป็นอันตรายต่อคุณชายจึงฆ่าพวกมันทิ้งแล้ว ผลมังกรอสรพิษลูกนี้ถือเสียว่าเป็นสิ่งชดใช้ของพวกมันทั้งสอง ท่านประมุขบอกว่าก่อนที่คุณชายจะมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องตนเองได้ทางที่ดีอย่าใช้รากวิญญาณสายฟ้าอีก ตอนนี้ภายในดินแดนหลินชวนไม่ค่อยสงบนัก”
มู่ชิงเกอได้ยินแววก็พลันตาสาดประกาย นางหรี่ตาแล้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ตอนที่ข้าหมดสติไปและรู้สึกว่าเจ้านายของเจ้าปรากฏตัวขึ้นนั้นไม่ใช่ภาพลวงตารึ?”
กู่หยาเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดว่า “นั้นเป็นเพียงจิตที่ท่านประมุขถอดออกมา ท่านไม่ได้อยู่ในหลินชวน บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านรับรู้ได้ว่าเจ้าใช้รากวิญญาณสายฟ้า จึงทำให้ท่านเร่งตามมา”
ที่แท้ เขาก็มาจริงๆ มู่ชิงเกอจิตใจไหววูบพลันขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดถึงไม่ให้ข้าใช้พลังสายฟ้า ไม่สิรากวิญญาณสายฟ้า”
คำตอบของคำถามนี้ทำให้มู่ชิงเกอคิดทบทวนมานาน
แต่ทว่า กู่หยาไม่ได้ตอบคำถามนี้แล้วค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตามู่ชิงเกอ
“นี่!” มู่ชิงเกอห้ามเอาไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “เฮงซวยเหมือนเจ้านายของเจ้าไม่มีผิด!”
ในขณะนั้นเอง ประตูห้องของมู่ชิงเกอก็ถูกเปิดออก เสียงของมู่ซงดังขึ้น “ไอ้จองหอง เจ้าด่าใคร?”
มู่ชิงเกออึ้ง ในที่สุดมู่ซงก็มาเอาความ
แน่นอนว่าเรื่องแรกที่มู่ซงต้องอยากรู้คือ ทำไมอยู่ๆ นางถึงฝึกพลังเวทได้
โชคดีที่มู่ชิงเกอคิดเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะพูดอย่างไร นางโยนความผิดทั้งหมดให้กับกู่หยาและไอ้เฒ่าตัวประหลาด
นางจึงบอกเหตุผลที่เตรียมเอาไว้แก่มู่ซง
มู่ซงเงียบไปสักพัก “เจ้าหมายความว่า ท่านมหาปราชญ์ช่วยให้เจ้าเปลี่ยนธาตุในกายสอนการฝึกพลังเวทให้แก่เจ้า และยังมอบเคล็ดวิชาระดับสวรรค์ให้ด้วยอย่างนั้นรึ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
อย่างไรเสีย คำพูดนี้ก็มีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้วมู่ซงก็ไม่สามารถจะไปถามความจริงเอาจากกู่หยาได้
“ดีๆ! ดีแล้ว! ในที่สุดฟ้าก็มีตาและมองเห็นตระกูลมู่ของข้าแล้ว” มู่ซงพูดอย่างปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด นางจ้องหน้าผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า แม้เขาจะยังดูแข็งแรง แต่ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้า ทำให้มู่ชิงเกอทนไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
วันต่อมา องครักษ์ที่มู่ชิงเกอสั่งให้ไปสอดแนมพวกสัตว์เดรัจฉานก็ได้กลับมายังเมืองอี้ และนำข่าวดีที่ว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นได้ถอยร่นกลับไปแล้ว ทันใดนั้นทั้งเมืองอี้ก็ตกอยู่ท่ามกลางความยินดี
สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอรู้ตั้งนานแล้ว
นางสามารถตัดสินได้จากคำพูดของกู่หยา หากต้นเหตุของปัญหาได้ถูกซือมั่วจัดการไปแล้ว สัตว์ร้ายที่ถูกไล่ออกมาก็คงจะกลับไปยังอาณาจักรของตนเอง นั่นก็คือกลับไปยังหุบเขาฉินนั่นเอง
ท่ามกลางความดีใจของทุกคน มู่ชิงเกอแอบเรียกมั่วหยางมาพบ แล้วกระซิบสั่งการที่ข้างหูเขา หลังจากนั้นมั่วหยางก็พาองครักษ์สิบกว่านายหายไปจากเมืองอี้
พอพวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็ย่างเข้าวันที่สี่ที่พวก เขามาอยู่ที่เมืองอี้แล้ว
มั่วหยางที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตามหามู่ชิงเกอที่นั่งอยู่กับมู่ซงจนเจอ ใบหน้าของเขานั้นมีความเคร่งเครียดอยู่
“คุณชายหานเซิ่งหนีไปแล้วขอรับ”
มู่ชิงเกอทำหน้าเคร่ง
ตอนนี้มู่ซงถึงค่อยรู้ว่าสองวันที่ผ่านมานี้มั่วหยางหายไปไหนมา
“หนีอย่างนั้นเหรอ? เขาจะหนีไปไหนได้?” มู่ชิงเกอหรี่ตา ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา มุมปากผุดรอยยิ้มอันตรายออกมา
หานเซิ่งที่มู่ชิงเกอคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั้น พอได้ข่าวจากเมืองอี้ก็รีบหนีกลับลั่วตูไป เพราะเขารู้ดีว่าหากมู่ซงไม่ตาย ต้องมาหาเรื่องตนเองเป็นแน่ เขาจึงต้องไปหาคนที่พึ่งได้จึงจะรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้
ตัวเป็นถึงขุนศึกแต่ไม่ได้ตามไปสู้รบที่แนวหน้าร่วมกับท่านแม่ทัพแล้วยังแอบยึดเสบียงอาหารของกองทัพที่ไปทำสงครามเอาไว้ มู่ซงกลับมาแล้วจะไม่ฆ่าเขาให้ตายได้อย่างไรกัน?
หานเซิ่งที่เร่งรีบเดินทางกลับลั่วตูโดยไม่หยุดแม้กระทั่งยามกลางคืน พอถึงลั่วตูก็รีบเข้าวังหลวงโดยไม่แม้แต่กลับจวนของตนเองเพื่อเข้าพบฮองเฮาผู้เป็นพี่สาวของเขา
หานฮองเฮาที่อยู่ในวังพอได้ยินว่าหานเซิ่งมาขอเข้าพบ จึงคิดว่าภารกิจจะสำเร็จแล้ว แต่ไม่คิดว่าน้องชายผู้ที่ไม่เคยอะไรสำเร็จเลย กลับมาบอกกับนางว่าแผนการล้มเหลว
หานฮองเฮามองชายวัยกลางคนที่ยืนตัวสนงันงกอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าดำคลํ้า อยากจะตบหน้าเขาสักทีสองทีจริงๆ
กว่าจะมีโอกาสแบบนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นางสู้วางแผนทุกอย่าง อย่างละเอียดรอบคอบ แต่สุดท้ายทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์อย่างนั้นหรือ จะให้นางยอมรับผลแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือน้องชายคนนี้ของนางพอได้ข่าวว่าสัตว์ร้ายถอยทัพไปแล้วและมู่ซงยังไม่ตาย เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขากลัวจนปัสสาวะอุจาระราดรีบวิ่งแจ้นกลับมา โดยที่ยังไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองอี้บ้าง สัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น เหตุใดคิดจะถอยทัพก็พลันถอยออกไปเสียดื้อๆ
“เจ้าช่างเป็นสวะไร้ค่าเสียจริง!” หานฮองเฮาตวาดด่าด้วยความโกรธ
หานเซิ่งไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงรอให้พี่สาวระบายความโกรธแค้นออกมา
เขาเองก็หวังให้มู่ซงตาย ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ดั่งเช่นตอนนี้อีก แต่ว่าสวรรค์ยังไม่รับมู่ซงไป เขาจะยังทำอย่างไรได้
หานเซิ่งรู้สึกยํ่าแย่อยู่พักใหญ่ แล้วจึงเอ่ยปากพูดว่า “ท่านพี่ ท่านรีบคิดหาหนทางเร็วเข้าเถิด หากมู่ซงกลับมาคงไม่ปล่อยข้าไว้แน่ ข้าเป็นน้องชายคนเดียวของท่าน นะ และที่ข้าต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะหลานชายรัชทายาทด้วย”
“เจ้ารีบร้อนอะไร” หานฮองเฮาพูดด้วยความโมโห
นางเดินกลับไปกลับมาอยู่นาน กำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หากมู่ซงตายฮ่องเต้ก็คงจะไม่ตรัสอะไรมาก แต่หากมู่ซงไม่ตาย เพื่อเป็นการปลอบใจเขา ฮ่องเต้จะต้องหาแพะมารับบาปไปแน่
เป็นสามีภรรยากับฉินชางมานานหลายปี แน่นอนว่าหานฮองเฮาต้องรู้ถึงความเลือดเย็นของฮ่องเต้เป็นอย่างดี
หานฮองเฮาขมวดคิ้วแล้วพูดกับน้องชายว่า “ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปก่อนแล้วร่างฎีกาขอรับโทษกับฮ่องเต้โดยเนื้อหาในฎีกานั้นให้เขียนไว้ว่า ตัวเจ้าที่เป็นถึงขุนศึกนั้นกระทำความผิด ส่งกำลังเสริมไปล่าช้า ทำให้กองทัพตระกูลมู่ต้องได้รับความเสียหาย ขอให้ฮ่องเต้ทรงลงพระอาญาเจ้าสำหรับสิ่งที่เจ้าทำผิดไป”
พอหานเซิ่งได้ยิน สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “ ท่านพี่ ท่านกำลังช่วยน้องหรือกำลังทำร้ายน้องกันแน่”
“โง่!” หานฮองเฮาด่า “เจ้าต้องรีบฉวยโอกาสให้ฮ่องเต้ลงอาญาเจ้าก่อนที่มู่ซงจะกลับมา พอมู่ซงกลับมาถึง หากคิดจะเล่นงานเจ้าก็คงจะยากแล้วเพราะเขาไม่อาจ จะขัดต่อราชโองการขององค์ฮ่องเต้ได้”
หลังจากที่ได้รับคำอธิบาย หานเซิ่งก็เข้าใจในทันทีและขอตัวออกจากวังเพื่อไปทำตามคำสั่งทั้งหมดของพี่สาว