Skip to content

พลิกปฐพี 82-4

ตอนที่ 82-4

พวกเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่ยอมรับ!

ทหารจำนวนห้าพันนายเข้าสู่ประตูเมือง นอกจากเสียงเกือกม้าแล้วก็ไร้ซึ่งเสียงอื่นใดอีก

มู่ซงที่เป็นผู้นำทัพอยู่บนหลังม้าที่อยู่หน้าสุด ท่าทางของเขานิ่งสงบ นัยน์ตามีความรู้สึกซับซ้อนอยู่มากมาย

แขนขวาของเขาก็มีแถบผ้าสีขาวพันอยู่เช่นกัน ไม่ได้ดูแตกต่างออกไปเพราะฐานะของเขาเลย บนหลังม้าตัวหนึ่งข้างๆ ตัวเขาคือร่างในชุดสีแดงสด

บริเวณเอวและท่อนแขนของเขาก็เต็มไปด้วยผ้าสีขาวที่พันเอาไว้

ใบหน้าอันงดงามดูสงบนิ่งมาก นัยน์ตาอันน่าดึงดูดก็ดูสงบนิ่งแต่กลับมีความแหลมคมอย่างเต็มเปี่ยมซ่อนอยู่

ข้างหลังนางคือองค์หญิงฉางเล่อฉินอี้เหยาและข้างหลังฉินอี้เหยาก็คือองครักษ์ทั้งห้าร้อยนายของนาง

“คุณชาย!” ฮวาเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เหลียนหรงยื่นคอยาวออกไปเรียก โย่วเหอที่อยู่ข้างๆ นางหลังจากที่เห็น ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้เป็นอะไรก็เผยท่าทางยินดีออกมา

พวกนางทั้งสองถูกมู่ชิงเกอสั่งให้อยู่กับมู่เหลียนหรง ช่วงที่ผ่านมาต่างก็กระวนกระวายใจ ในที่สุดจิตใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของพวกนางก็ได้กลับคืนส่สภาวะปกติแล้ว

มู่เหลียนหรงเองก็เห็นมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างๆ มู่ซง นางมองแล้วพูดว่า “ชิงเกอดูเปลี่ยนไปนะ”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองหน้ากันในใจแอบสงสัยว่า คุณชายเปลี่ยนไปหรือ?

“หยุด— ” ม้าของมู่ซงมาหยุดตรงหน้าองค์ชายทั้งสอง

สายตาอันเยือกเย็นของมู่ซงกวาดมองทั้งสองพลางประสานมือเบาๆ แล้วทักทายว่า “รัชทายาท รุ่ยอ๋อง”

ความเย่อหยิ่งเช่นนี้ทำให้ฉินจิ่นซิวไม่ชอบใจ แต่เป็นเพราะสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องพยายามรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนไว้ “ลำบากท่านแม่ทัพแล้ว”

ฉินจิ่นห้าวยิ้มเยาะฉินจิ่นซิวพลางประสานมือคารวะ “ข้าขอแสดงความยินดีที่ท่านแม่ทัพมีชัยกลับมา ทำให้ชื่อเสียงเทพสงครามแห่งแคว้นฉินเราเกริกไกรไปยิ่งกว่าเดิม” ความชื่นชมมากถึงเพียงนี้กลับไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของมู่ซงดีขึ้นเลย

ท่าทางของเขานั้นดูเย็นชา “รุ่ยอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ชัยชนะในครั้งนี้ ไม่ได้ได้มาเพราะข้ามู่ซง แต่เพราะความเสียสละไม่สนใจในชีวิตตนเองของกองทัพตระกูลมู่นับพันนับหมื่นพวกนี้ต่างหาก”

ฉินจิ่นห้าวปากกระตุก ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไป

รุ่ยอ๋องไม่รู้จะพูดอะไรเช่นนี้ทำให้รัชทายาทอารมณ์ดีขึ้นมาก ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มที่มองไม่เห็นความเสียใจเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ทัพ เสด็จพ่อของข้า ได้ เตรียมงานเลี้ยงไว้ให้แก่ท่านแล้ว ให้ท่านกลับเข้าวังหลวงพร้อมกับข้า”

“ช้าก่อน” มู่ซงห้ามไม่ให้ฉินจิ่นซิวแสดงความคิดเห็น สำหรับการจัดการในวังหลวงของคนผู้นั้น เขาไม่ขอบพระทัยและไม่ได้ปฏิเสธ แต่มองมู่เหลียนหรงพลางเรียกเสียงดัง “เหลียนหรง”

มุ่เหลียนหรงขี่ม้ามุ่งไปข้างหน้า ด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียดเช่นกัน “ท่านพ่อ”

เลียงของหญิงสาวทำให้ดวงตาที่สงบนิ่งของมู่ซงประหนึ่งมีรอยแยกร้าวเกิดขึ้นในแววตานั้น อีกเพียงนิดเดียว อีกนิดเดียวเขาก็จะมองลูกสาวของตนเองไม่เห็น

แล้ว

มู่ซงอดกลั้นความทุกข์ภายในใจเอาไว้ แล้วพูดอย่างหนักแน่น “ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้กองทหารตระกูลมู่ห้าพันคนมาเพื่อรายงานสถานการณ์เท่านั้น สิ่งที่พวกเขาแบกอยู่ เป็นโกฐกระดูกของเหล่าทหารที่เสียสละเพื่อประชาชนชาวฉินของเรา เจ้าต้องจัดการให้เหมาะสม นำกระดูกที่นำกลับมาได้เหล่านี้ไปฝังอย่างสมเกียรติแล้วแจ้งแก่ครอบครัวของพวกเขาด้วยว่าพวกเขาไม่เสียแรงที่เป็นลูกผู้ชายแห่งแคว้นฉิน และไม่เสียแรงที่เป็นนักรบผู้กล้าแห่งกองทัพตระกูลมู่!”

คำพูดของมู่ซง ทำให้ประชาชนที่อยู่รอบๆ ต่างรู้ว่าโถกระเบื้องในตะกร้าไม้ไผ่นั้นคืออะไร

ความยินดีจากการชนะสงครามของพวกเขา ค่อยๆ ลดลง ท่ามกลางผู้คนมีเสียงรํ่าไห้ค่อยๆ ดังขึ้น

“รับทราบ! เหลียนหรงจะไม่ทำให้ต้องอับอาย” มู่เหลียนหรงกลั้นนํ้าตาที่กำลังจะไหลลงมาเอาไว้ได้

ทั้งห้าพันนายต่างแบกโถกระเบื้องเอาไว้คนละห้าถึงหกโถ เมื่อนับรวมกันแล้ว ก็ประมาณสองหมื่นกว่าคน นี่ยังเป็นที่ส่วนที่หาเจอแล้วที่ยังหาไม่เจอล่ะ? ต้องฝังตนเองอยู่ในอาณาจักรสัตว์อย่างนั้นหรือ

บทสรุปนี้ไม่ได้มีเพียงมู่เหลียนหรงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แต่ประชาชนที่อยู่รอบๆ ก็รู้เช่นกัน ทันใดนั้นบริเวณประตูเมืองลั่วตูก็พลันตกอยู่ในความโศกเศร้า

ทำให้ฉินจิ่นซิวและฉินจิ่นห้าวที่อยู่ในนั้นด้วยอดไม่ได้ที่จะเก็บซ่อนความคิดของตนเองเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะฉินจิ่นชิว เขารู้สึกไม่ชอบใจกับปฏิกิริยาแบบนี้เป็นอย่างมาก สำหรับเรื่องราวของกองทัพตระกูลมู่นั้น เขารู้ดีที่สุด สำหรับเขาแล้ว ทำการใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องเล็ก หากสามารถฆ่ามู่ซงได้ แม้จะต้องเสียกองทหารตระกูลมู่ไปทั้งกองทัพแล้วอย่างไรเล่า? แต่คำพูดของมู่ซง และปฏิกิริยาของคนรอบข้าง ทำให้เขารู้สึกร้อนตัวเพราะความผิดที่ได้ก่อไว้

“เสด็จพี่ ท่านคิดว่าเมื่อประชาชนรอบๆ รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรกองทหารตระกูลมู่ถึงได้สูญเสียมากถึงเพียงนี้พวกเขาจะทำอย่างไรนะ?”

ข้างหูฉินจิ่นซิว พลันมีเสียงที่แฝงไปด้วยความยินดีในความทุกข์ของคนอื่นดังขึ้น

สีหน้าของฉินจิ่นซิวดูเปลี่ยนไป เขาหันไปมองฉินจิ่นห้าวที่เป็นคนพูดด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมพลางพูดโดยพยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังจะพูด

อะไร”

ฉินจิ่นห้าวยิ้มอย่างขี้เล่น “อ้อ?อย่างนั้นรึ ในเมื่อเสด็จพี่ไม่รู้ก็ช่างมันเถอะ”

พูดจบเขาก็ยิ้มน้อยๆ ราวกับว่า ประชาชนรอบๆ ยิ่งเสียใจ เขาก็ยิ่งมีความสุข เหมือนเขามีอาวุธที่จะจัดการกับรัชทายาทเพิ่มมากขึ้นอีกชิ้นหนึ่ง

“ท่านแม่ทัพ ลูกชายของข้าล่ะ? เขากลับมาด้วยหรือเปล่า?”

ท่ามกลางผู้คนพลันมีคนแก่ผู้หนึ่งพุ่งออกมา มองมู่ซงทั้งนํ้าตา สายตาอันแก่ชราเต็มเปี่ยมไปด้วยการรอคอย มู่ซงเงียบ เขาก็ไม่รู้ว่าลูกชายของคนแก่ผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“ท่านแม่ทัพ ลูกชายของข้าด้วย!”

“ท่านแม่ทัพ ลูกชายของข้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่!” รอบๆ เต็มไปด้วยคำถาม เพราะชื่อเสียงอันดีงามของกองทหารตระกูลมู่ ลูกหลานในแคว้นฉินจำนวนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่กันที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ เป็นไปไม่ได้ที่มู่ซงจะรู้จักทุกคนแต่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนพวกนี้ดี

เขายกมือขึ้นปลอบโยน “ทุกคนอย่าตื่นตระหนก แม้ว่าครั้งนี้จะสูญเสียคนดีไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังเหลือทหารที่เฝ้าอยู่ตามชายแดนอีกมากมาย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะมีคนคอยติดต่อสื่อสารกับพวกเจ้า เพื่อบอกทุกคนว่าลูกหลานของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

พอได้ยินคำพูดของมู่ซง ประชาชนรอบๆ ก็ค่อยๆ สงบลง พวกเขาต่างก็หวังให้ลูกของตนเองปลอดภัย และหวังว่าในโถนั้นจะไม่ใช่ลูกชายของพวกเขา “ครั้งนี้ เดิมไม่ควรจะมีการสูญเสียมากถึงเพียงนี้” ขณะที่ทุกคนเริ่มสงบลง เสียงอันเรียบนิ่งที่แฝงความเยือกเย็น ก็พูดแทรกขึ้นมา รอบข้างเงียบลงเพราะคำพูดนี้

มู่ชิงเกอค่อยๆ ขี่ม้าออกมาตรงไปทางฉินจิ่นซิว

“นั่นใครน่ะ?”

“เหมือนจะเป็นคุณชายตระกูลมู่นะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version