ตอนที่ 82-5
พวกเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็ไม่ยอมรับ!
“เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? หรือว่าเขาจะไปร่วมรบมาด้วย?”
“เมื่อเทียบกันแล้ว ข้าอยากรู้ความนัยในคำพูดของเขามากกว่า” ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็น
แต่สำหรับฉินจิ่นห้าวนั้นเขากลับรู้สึกตื่นเต้นกับการเข้าใกล้ของมู่ชิงเกอ ฉินจิ่นห้าวมองฉินจิ่นซิวที่ดูอึดอัดใจ แล้วรู้สึกชอบใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ สายตาที่เขามองมู่ชิงเกอนั้นแฝงการยอมรับอยู่บ้าง ราวกับว่าคุณชายผู้จองหองของตระกูลมู่ที่แอบชอบเขาไม่ได้น่าเกลียดถึงเพียงนั้นแล้ว
ม้าของมู่ชิงเกอหยุดตรงหน้ารัชทายาทฉินจิ่นซิว นัยน์กระจ่างของเขานั้นเต็มไปด้วยความเลือดเย็นพลางยิ้มและพูดเสียดสีว่า “รัชทายาท ทรงไม่มีอะไรจะพูดรึ?”
“มู่ชิงเกอ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?!” ฉินจิ่นซิวตกใจ พลันถามเสียงแข็ง
ราวกับเขาเริ่มรับรู้ถึงสายตาคาดเดาด้วยความสงสัย จากประชาชนที่อยู่รอบๆ
“บังอาจ!” อยู่ๆ องครักษ์ของรัชทายาทพลันตวาดขึ้นมา
มู่ชิงเกอมองเขาครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองฉินจิ่นซิว รอยยิ้มนั้นเยือกเย็น “รัชทายาทจะตื่นเต้นถึงเพียงนี้ไปเพื่ออะไรกัน กระหม่อมเพียงแค่อยากจะถามรัชทายาทว่า ทรงรู้ข่าวเกี่ยวกับหานเซิ่งหรือไม่ก็เท่านั้นเอง”
“หานเซิ่งเป็นพระมาตุลาของรัชทายาทไม่ใช่รึ?”
“คุณชายจะถามข่าวเกี่ยวกับพระมาตุลาไปเพื่ออะไรกัน?”
“นั้นสิ! เหตุใดถึงได้ไปเกี่ยวกับพระมาตุลาได้”
ประชาชนทุกคนต่างรู้สึกฉงนใจ แต่ผู้ที่มีฐานะอันสูงส่งที่อยู่ในที่นี้หลายท่านต่างก็เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว
“เจ้าจะตามหาเขาไปเพื่ออะไร?” ฉินจิ่นซิวถามหน้าเคร่ง
มู่ชิงเกอพลันหัวเราะ เสียงนั้นแม้จะเบาแต่ประชาชนทุนคนก็ได้ยิน “ที่กระหม่อมตามหาเขาแน่นอนว่าอยากจะ ถามว่าในขณะที่ทหารกองตระกูลมู่สู้กับสัตว์
ร้ายอย่างสุดชีวิต เขาผู้ที่เป็นขุนศึกกำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดกองทหารตระกูลมู่ของข้าที่กำลังต่อสู้กับศัตรูถึงได้ขาดแคลนเสบียงอาหารและต้องใช้อาวุธที่ถูกใช้งานจนทื่อเพื่อไปฆ่าฟันกับพวกสัตว์ร้าย’’
ผ่าง—
เมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยก็มีเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาเกิดขึ้นในทันที
หลังจากที่ประชาชนทุกคนตกใจกับเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ต่างก็แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมา
แต่กองทหารตระกูลมู่ทั้งห้าพันนายรวมทั้งมู่ซงเองยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ แต่ทุกคนดูออกว่าภายใต้ ความสงบนั้นมีความคั่งแค้นดั่งกระแสลมพายุซ่อนอยู่ในนั้น
ฉินอี้เหยาเองก็อยู่ในกองทัพตระกูลมู่ เมื่อเห็นเสด็จพี่ทั้งสองของตนแล้ว นางกลับไม่ได้ออกหน้า
เป็นเพราะฐานะของนาง การไปเมืองอี้กับมู่ชิงเกอถือเป็นเรื่องร้ายแรง ตอนนี้หากนางออกมาแสดงความคิดเห็น ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินอย่างไรต่อไป
เมื่อนึกถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับกองทหารตระกูลมู่ในตอนนั้น ในสายตาของฉินอี้เหยาพลันดูโศกเศร้า
นางเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในสงคราม หากไม่ใช่เพราะองครักษ์ของมู่ชิงเกอและหากไม่ใช่เพราะไหวพริบอันหลักแหลมของเขา ที่ใช้ศพของสัตว์ที่ตายไปแล้วมาเป็นอาหาร เกรงว่านางก็คงจะต้องถูกขังให้ตายอยู่ที่เมืองอี้ เพราะฉะนั้นนางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปห้ามในสิ่งที่มู่ชิงเกอกำลังจะทำ
ถึงขนาดที่ว่า หากไม่ใช่เพราะฐานะของนาง นางก็อยากจะฆ่าคนร้ายด้วยตัวเองด้วยซํ้า!
เสียงวิจารณ์ของคนรอบข้างทำให้สีหน้าของฉินจิ่นซิวดูแย่ลง หานเซิ่งเป็นพระมาตุลาของเขา หากเรื่องพวกนี้ถูกแพร่ออกไปจะส่งผลเสียกับเขาถึงเพียงไหนกัน พอนึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น สายตาที่เขามองมู่ชิงเกอนั้นก็เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและอาฆาตแค้น
“ขุนศึกหานเซิ่งบกพร่องในหน้าที่ หลังจากที่กลับมาก็ถูกเสด็จพ่อลงโทษสถานหนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ฉินจิ่นซิวพูดอย่างเยือกเย็น
“อ้อ แล้วฮ่องเต้ทรงลงโทษสถานหนักอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอคาดคั้นเอาความต่อ ฉินจิ่นซิวขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร แต่มู่เหลียนหรงกลับพูดขึ้นมาว่า “ฮ่องเต้ทรงลงโทษเขาด้วยการลดตำแหน่ง 2 ขั้น ตัดเบี้ยหวัด 3 ปี ทบทวนความผิดอยู่ในห้องเป็นเวลา 1 ปี”
คำพูดของนางทำให้ความโกรธแค้นของผู้คนบริเวณ รอบๆ เพิ่มมากขึ้น
มู่ชิงเกอกลับหัวเราะ
การหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของนางยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเสียใจ อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นมองมู่ซงพร้อมเสียงหัวเราะพลางถามว่า “ท่านปู่ ท่านลองคิดดูว่าทหาร ตระกูลมู่ของเรามีค่าเทียบเท่ากับแค่การลดตำแหน่ง 2 ขั้น เบี้ยหวัด 3 ปี และทบทวนความผิดอยู่ในห้องเป็นเวลา 1 ปี”
มู่ซงหลับตาลงอย่างทุกข์ใจ กำมือแน่นจนเส้นเลือดที่หลังมือปูดนูนออกมา แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกภายในใจของเขาในตอนนี้
“พวกข้าไม่ยอม—”
ท่ามกลางกองทหารตระกูลมู่นั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้น อย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ยอม! ไม่ยอม!” ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นประท้วงตาม
ใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงเกอหุบยิ้มลง นัยน์ตากระจ่างนั้นเต็มไปด้วยความเลือดเย็น “พวกเจ้าไม่ยอม ข้าก็ไม่ยอม” ยามนี้ดวงตาอันน่าดึงดูดคู่นั้นชวนให้ผู้คนยากที่จะละสายตา
แม้แต่ฉินจิ่นห้าวเองเมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกหลงใหล ในใจมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้น หากเขาเป็นผู้หญิง จะดีสักเพียงไหนกันนะ?
“มู่ชิงเกอเจ้าคิดจะทำอะไร?” ฉินจิ่นซิวพูดด้วยใบหน้าย่ำแย่
มู่ชิงเกอหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาที่แข็งกร้าว “รัชทายาทที่มีความเป็นธรรมตลอดมา รัชทายาทที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถหรือว่าแค่เพราะพระ มาตุลาของตนเองเป็นคนร้ายจึงคิดที่จะปกป้องเขาอย่างนั้นหรือ?”
ฉินจิ่นซิวอึ้งรับรู้ได้ถึงสายตาไม่พอใจของคนรอบข้าง แต่ก็ยังคงเถียงต่อไปว่า “เสด็จพ่อได้ทรงลงโทษเขาอย่างสาสมแล้ว เจ้าอย่าทำอะไรไม่เข้าท่าอีก”
“ลงโทษอย่างสาสมที่ทรงหมายถึง กระหม่อมคิดว่ายังไม่พอ!” มู่ชิงเกอกวาดสายตาอันคมกริบดั่งมีด “มั่วหยาง พาคนไปเชิญพระมาตุลามา!”
“ขอรับ!” มั่วหยางกระจายคำสั่งและพาองครักษ์จำนวนหนึ่งร้อยคนออกไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในใจของฉินจิ่นซิวนั้นรู้สึกตื่นตระหนก เขาหันไปมองมู่ซงแล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านแม่ทัพ มู่ชิงเกอททำเรื่องที่ไม่สมควรเพียงนี้ท่านไม่คิดจะไม่ห้ามเลยรึ?” เสียดายที่มู่ซงเพียงหลับตาพลางเม้มปากแน่น ไม่ได้สนใจ
มู่ชิงเกอมองฉินจิ่นซิวด้วยสายตาเย้ยหยันครู่หนึ่ง ประหนึ่งมองคนที่ด้อยกว่า
กองทหารตระกูลมู่นับหมื่นต้องตาย ควรจะต้องมีคนชดใช้ หานเซิ่งจะหนีรอดรึ มู่ชิงเกอรู้ดีว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง นั้นไม่ใช่หานเซิ่ง แต่ไม่เป็นปัญหา นางจะเก็บดอกเบี้ยก่อนแล้วกัน
ช้าเร็วก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่นางจะเรียกร้องความเป็นธรรมกลับคืนมาให้สาสมและในวันนี้นางก็รู้สึกได้ว่า มันอีกไม่นานแล้ว
ครู่หนึ่ง หานเซิ่งก็ถูกมั่วหยางลากเข้ามา
เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยเพราะการดิ้นรน ท่าทางนั้นดูตื่นตระหนก ใบหน้าขาวซีดราวกับว่า ตั้งแต่ที่คนพวกนี้บุกเข้าไปในคฤหาสน์ของเขาและทำร้ายองครักษ์ภายในจวน บังคับให้เขามาที่นี่ เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเห็นธงประจำกองทัพตระกูลมู่และมู่ซงที่นั่งอยู่บนหลังม้า ในใจก็รู้สึกสิ้นหวังกว่าเดิม สายตาของเขาหันไปมาอย่างร้อนรน ตอนที่เห็นรัชทายาทฉินจิ่นซิวเขาก็เหมือนเห็นฟางช่วยชีวิต จึงตะโกนเสียงแหลมว่า “รัชทายาท ช่วยกระหม่อมด้วย!”
สีหน้าของฉินจิ่นซิวพลันดูมืดครึ้ม ช่วยอย่างนั้นหรือ? เขาจะช่วยอย่างไรได้? มู่ซงปล่อยให้มู่ชิงเกอทำเช่นนี้และสายตาของประชาชนก็คอยจับจ้องอยู่ เขาจะดึงตนเองไปเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลืองั้นรึ?
ฉินจิ่นซิวก้มหน้าลงสั่งการกับองครักษ์ของตนเอง องครักษ์คนนั้นก็ขี่ม้าตรงไปยังวังหลวงทันที ในยามนี้ผู้ที่สามารถช่วยหานเซิ่งได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ฉินจิ่นซิวภาวนาอย่าให้มู่ชิงเกอบังอาจไปมากกว่านี้ พลางหวังให้องครักษ์ของตนเองรีบกลับไปเชิญราชโองการมาเพื่อยุติเรื่องราวทั้งหมดนี้
การกระทำทุกอย่างของเขา อยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอทั้งหมด
แต่ นางไม่แม้แต่จะสนใจเลยสักนิด
มู่ชิงเกอลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม พลางดึงคอเสื้อของหานเซิ่งขึ้นมา แล้วพูดกับประชาชนว่า “ท่านนี้ ทุกคนคงรู้จักดี เขาเป็นพระมาตุลาของแคว้นเรา ขุนศึกของ การสงครามในครั้งนี้ แต่กลับไม่ได้อยู่ที่แนวหน้า ยึดเสบียงอาหารอันเป็นที่ต้องการของกองทัพแล้วหลบไปอยู่ที่เมืองฮั่น ได้ข่าวว่าขุนศึกท่านนี้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญในเมืองฮั่น ทุกวันมีสุราอาหารเลิศรสรวมทั้งการปรนนิบัติจากสาวงาม แต่กองทัพตระกูลมู่เล่า?” นางกวาดสายตามองมองหานเซิ่งที่ตัวอ่อนราวกับสุนัขที่ตายไปแล้วด้วยสายตาอันคมกริบราวกับใบมีดพลาง หัวเราะแล้วพูดว่า “กองทัพตระกูลมู่ที่ใช้เลือดเนื้อของตนเองในการหยุดการโจมตีของสัตว์ร้าย แต่กลับไม่มีเครื่องมือหรือเสบียงอาหารไปช่วยเสริม ต้องใช้อาวุธที่ใช้จนทื่อสู้กับสัตว์พวกนั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสุดท้ายแล้ว ทหารของเราต้องใช้อาวุธอะไร? ใช้ฟัน! พวกเขาใช้ฟันของตนเองเพื่อไปต่อสู้กับพวกสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น พวกเขาสู้อย่างสุดชีวิตราวกับตนเองไม่ใช่คนไปเพื่อใครกัน? เหล่าทหารที่ไม่มียารักษา เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องลำบากและเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้พวกเขาออกไปจากเมืองไปพร้อมบาดแผล ใช้ชีวิตของตนเองในการหยุดการจู่โจมอย่างบ้าคลั่งของพวกสัตว์ร้าย เพราะพวกเขาเชื่อว่าทางกองทัพของราชสำนักจะส่งเสบียงอาหารและอาวุธ มาช่วย แต่สุดท้ายพอสงครามจบพวกข้าก็ยังคงไม่เห็นขุนศึกอย่างหานเซิ่ง จึงส่งคนไปสืบดูถึงรู้ว่าเขาได้หนีออกจากเมืองฮั่นกลับมายังลั่วตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าคิดว่าคนแบบนี้ควรจะลงโทษอย่างไรจึงจะสาสมกับดวงวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้านับหมื่นคน?”
“ฆ่าเขาซะ—!”
“กรีดเนื้อเลาะกระดูกมัน!”
“เฉือนเนื้อมันจนกว่าจะตาย!”
“เอามันไปปล่อยไว้ในหุบเขาฉินให้มันได้ลิ้มรสชาติการเป็นอาหารของเหล่าสัตว์ร้าย!’’
คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้ความแค้นภายในใจของประชาชนพุ่งทะลักออกมา พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ทหารที่ปกป้องพวกเขาจะชนะสงครามมาแบบนี้ ภาพอันเลวร้ายพวกนั้นราวกับปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนทำให้ทุกคนสามารถสัมผัสได้
“ตีมันให้ตาย !”
ไข่ใบหนึ่งถูกโยนเข้ามาแล้วแตกกระจายบนใบหน้าของหานเซิ่ง
หลังจากนั้น ไข่เน่า ผักเน่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกโยนมาในนั้น ประชาชนที่มีลูกหลานเป็นทหารกองทัพตระกูลมู่มีปฏิกิริยารุนแรงที่สุด
ราวกับว่า หานเซิ่งเป็นคนที่ฆ่าญาติพี่น้องของพวกเขา
ภาพบรรยากาศที่บ้าคลั่ง ทำให้ฉินจิ่นซิวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขนาดฉินจิ่วห้าวที่กำลังเป็นผู้ชมที่ดีก็แอบมองมู่ชิงเกอที่ดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางผู้คน
นี่ไม่ใช่มู่ชิงเกอที่เขาคุ้นเคย!
มู่ชิงเกอไม่สามารถพูดคำพูดเช่นนี้ได้ไม่มีเสน่ห์เย้ายวนมากถึงเพียงนี้ และไม่น่าดึงดูดปานนี้…
ปฏิกิริยาของประชาชน ทำให้มู่ชิงเกอยกยิ้มน้อยๆ นางยกตัวหานเซิ่งขึ้นมาและโดดขึ้นไปยังแท่นสูงแท่นหนึ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน ประชาชนรอบๆ ยังไม่ทันได้คิดว่า คุณชายตระกูลมู่มีพละกำลังมากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เห็นเพียงคุณชายคว้าเอวของหานเซิ่งและยกขึ้นสูงด้วยมือเพียงข้างเดียว หานเซิ่งตกใจจนร้องเสียงหลง เปล่งเสียงร้องแหลมสูงว่า “เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้นะ! ข้าเป็นขุนนางของราชสำนักนะ! ทำร้ายขุนนางนั้นมีโทษถึงประหาร!”
สำหรับคำพูดของเขา มู่ชิงเกอทำเพียงยิ้มเยาะเย้ย นางพูดเสียงสูงว่า “หากทุกคนเห็นว่าเขาควรตาย งั้นวันนี้ข้ามู่ชิงเกอ คุณชายแห่งตระกูลมู่ ก็จะขอลงทัณฑ์แทนสวรรค์เอง” ทันใดนั้นแขนของนางก็มีแสงสีเขียวส่องสะท้อนออกมาและแสงนั้นก็พุ่งตรงไปหาหานเซิ่ง
ตูม—
เลียงระเบิดกัมปนาทดังก้องไปทั่วฟ้า ทำให้ร่างของหานเซิ่งระเบิดออกในทันที เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วทุกสารทิศดั่งดอกไม้ไฟ แต่มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่โดนเลือดเนื้อเปรอะเปือนเลยแม้แต่น้อย ท่ามกลางฝนโลหิตทั่วร่างของนางมีแสงสีเขียวส่องประกายออกมาจนทุกคนไม่กล้าสบตามองตรงๆ
“สายเขียว!” ฉินจิ่นห้าวตกใจ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฉินจิ่นซิวยิ่งตกใจอ้าปากค้างเพราะภาพตรงหน้า…