Skip to content

พลิกปฐพี 83-5

ตอนที่ 83-5

ยกเลิกการหมั้นหมาย

ฉินจิ่นห้าวที่นิ่งเงียบก็พลันตกตะลึงไปพราะประโยคนี้

ยกเลิกการแต่งงาน งั้นความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวของเขาและตระกูลมู่ก็จะจบสิ้นน่ะสิ? ตอนนี้ความสัมพันธ์ของฉางเล่อกับมู่ชิงเกอควรจะเป็นความสัมพันธ์ อันลึกซึ้งไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดจู่ๆ ตระกูลมู่ถึงจะขอถอนหมั้น

ความแปลกใจวาบขึ้นในสายตาของฉินจิ่นห้าว เขามองมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ มู่ซงราวกับอยากรู้เรื่องราวจากตัวนาง

ฮ่องเต้ฉินชางไม่ทรงรู้เรื่องที่ฉินอี้เหยาไปเมืองอี้กับมู่ชิงเกอ สำหรับการแต่งงานครั้งนี้พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเห็นด้วยอยู่แล้ว ที่พระราชทานสมรสให้ในตอนแรกก็เป็นเพราะไทเฮา

ในใจของพระองค์ ฉางเล่อเป็นหญิงสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถและมีผลประโยชน์มากกว่าการจะแต่งงานกับคนเสเพลคนหนึ่ง พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการใช้ไม้อ่อนของไทเฮาในการจัดการกับตระกูลมู่แต่แรกแล้ว

เพราะฉะนั้น ข้อเสนอของมู่ซงก็ตรงกับความคิดของพระองค์พอดี ทำให้โทสะในใจของพระองค์บรรเทาลงไปบ้าง

“ขุนนางมู่ เจ้าคิดดีแล้วรึ หลานสะใภ้อย่างเหยาเอ๋อร์นั้น ไม่ได้หาง่ายๆ นะ!” ฮ่องเต้ฉินชางได้ตัดสินพระทัยไปแล้ว เพียงแค่อยากจะทดสอบความคิดของมู่ซง

ใบหน้าของมู่ซงนั้นฉายแววลังเล ไม่ได้พูดอะไร

ฮ่องเต้ฉินชางตกพระทัยจนแทบจะทรงตอบตกลงถอนหมั้นแทบไม่ทัน

โชคดีที่หลังจากที่มู่ซงลังเลสักพักก็กลั้นใจพูดว่า “เกอเอ๋อร์ไม่คู่ควรกับองค์หญิงฉางเล่อ ขอพระองค์ทรงมีราชโองการได้เลยพ่ะยะค่ะ”

ได้ยินคำนี้โทสะในใจของฮ่องเต้ฉินชางก็พลันลดลง ตอนที่มองไปยังมู่ชิงเกออีกครั้งก็เหมือนกับว่าพระองค์ไม่ได้ทรงพิโรธมากถึงเพียงนั้นแล้ว

พระองค์ทำพระพักตร์เศร้าพลางตรัสว่า “เอาเถิด หากท่านยืนยันเช่นนี้ ข้าก็คงต้องทำตาม” พูดจบก็มองมู่ซง เพื่อรอคำพูดต่อไปของเขา

มู่ซงรู้ดีอยู่แก่ใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาท ข้าพระองค์รู้สึกว่าลงโทษโดยการถอนการหมั้นนั้นอาจยังไม่พอ หลายปีมานี้ กระหม่อมสั่งสอนเขาได้ไม่ดีพอจนทำให้เจ้าเด็กนี่กระทำความผิด อวดดีเป็นอันธพาลนิสัยไม่เชื่อฟังเช่นนี้ กระหม่อมเองก็ควบคุมเขาไม่ไหวแล้ว ไม่สู้ส่งตัวเขาไปไว้ที่เมืองอี้ จะได้ทำให้กระหม่อมเบาใจ กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะทรงลงโทษกักบริเวณมู่ชิงเกอไว้ที่เมืองอี้ รอจนกว่าเขาจะเข้าพิธีสวมหมวกถึงจะให้กลับมายังลั่วตูพะย่ะค่ะ”

ข้อเสนอนี้ทำให้ฮ่องเต้ฉินฉินชางพระเนตรเป็นประกาย ตกอยู่ในภวังค์ความคิดขององค์เอง

ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็ลอบคิดไปต่างๆ นานาเช่นกัน การที่มู่ชิงเกออยู่ในลั่วตูนั้นมีมู่ซงอยู่ด้วยทำให้พวกเขาลงมือลำบาก แต่หากออกไปจากลั่วตูแล้วเกิดขึ้นอะไรขึ้นระหว่างทาง มู่ซงก็คงโทษอะไรพวกเขาไม่ได้

ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครปฏิเสธความคิดของมู่ซง

ฮ่องเต้ฉินชางทรงลังเลไปสักพักสุดท้ายก็ตอบตกลง

เรื่องของหานเซิ่งจึงจบลงแต่เพียงเท่านั้น

ฮ่องเต้ได้รับผลประโยชน์จึงไม่อยากเอาผิดมู่ชิงเกออีก

คนที่ไม่พอใจมีเพียงแค่หานฮองเฮาและรัชทายาท

มู่ชิงเกอถือราชโองการแล้วเดินออกจากวังหลวงแล้วแยกกับมู่ซงที่นอกวัง

มู่ซงต้องเดินทางไปยังค่ายพักแรมทหารตระกูลมู่เพื่อปลอบใจกองทหารที่กลับมาจากเมืองอี้และคนพวกนี้จะกลับไปยังเมืองอี้พร้อมกับมู่ชิงเกอ

เพราะเรื่องของหานเซิ่ง งานเลี้ยงต้อนรับจึงต้องยืดเวลาออกไปอีกสามวัน

แต่ว่าสามวันหลังจากนี้ มู่ชิงเกอก็คงจะอยู่ในระหว่างการเดินทางไปเมืองอี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในลั่วตูจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อนาง

“ชิงเกอหยุดก่อน”

มู่ชิงเกอที่จะเตรียมจะกลับจวนถูกรุ่ยอ๋องฉินจิ่นห้าวเรียกตัวเอาไว้

นางหันหลังกลับไป พลางขมวดคิ้วถามว่า “รุ่ยอ๋องมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้”

ฉินจิ่นห้าวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างน่าดึงดูด เดินเข้ามาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ธาตุในตัวของชิงเกอนั้นไม่สามารถฝึกพลังเวทได้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นยอดฝีมือสาย เขียว ทำให้ข้าตกใจมากจริงๆ”

“พระองค์จะทรงพูดเรื่องนี้หรือ” มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มอย่างขี้เล่นพลางพูดว่า “มีอะไรน่าดีใจ รุ่ยอ๋องจำทรงมหาปราชญ์ได้หรือไม่ ที่กระหม่อมสามารถฝึกพลังเวทได้ก็เพราะท่านทั้งนั้น” มู่ชิงเกอยังคงโยนทุกอย่างไปให้คุณตัวประหลาดโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ

ฉินจิ่นห้าวดวงตาเป็นประกายแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ พลางพูดว่า “แบบนี้นี้เอง ดูเหมือนว่าชิงเกอจะมีวาสนามาก แต่ว่าน้องสาวของข้านั้นมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเจ้ามาโดยตลอด ถอนหมั้นเช่นนี้ไม่รู้ว่านางจะเสียใจมากเพียงใด”

“องค์หญิงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ หากต้องคู่กับกระหม่อมนั้นถือว่าเสียดาย เรื่องนี้ฝากรุ่ยอ๋องไปบอกองค์หญิงด้วย ชิงเกอไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสม ขอให้องค์หญิงได้พบกับความสุขในภายภาคหน้า” มู่ชิงเกอพูด

“อ้อ? ฉางเล่อไม่ใช่คู่ครองที่เหมาะสมกับเจ้า หากเป็นเช่นนั้นในใจของชิงเกอมีคนอื่นแล้วรึ?” ฉินจิ่นห้าวตาเป็นประกายคาดคั้นเอาความ

มู่ชิงเกอได้ยินแล้วก็รู้สึกขบขัน ชายผู้นี้หวังจะได้ยินอะไรจากปากนางกัน

หรือว่าจะหวังให้นางพูดว่า ‘แท้จริงแล้ว คนที่ข้ารักคือ ท่าน’ อะไรเช่นนี้

มู่ชิงเกอยิ้มกว้างและตอบไปตามตรงว่า “ไม่มี”

ฉินจิ่นห้าวยิ้มค้าง นัยน์ตานั้นพลันเยียบเย็นขึ้น

“หากรุ่ยอ๋องไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอตัวก่อน” มู่ชิงเกอพูดจบก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่ไยดี

ฉินจิ่นห้าวมองนางที่เดินจากไป ใบหน้าพลันเย็นชา พลางพูดเสียงต่ำว่า “มู่ชิงเกอ เจ้ายังจะเล่นตัวอีกเหรอ?” ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าปฏิกิริยาที่มู่ชิงเกอมีต่อเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงเพียงนี้

สายตาในอดีตของมู่ชิงเกอนั้นไม่ได้แสร้งทำเป็นแน่

เขามั่นใจว่า ท่าทางในตอนนี้ของมู่ชิงเกอนั้นต้องเป็นการแสดงที่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากเขาแน่นอน

ฉินจิ่นห้าวแอบหัวเราะเยาะในใจ หากเจ้าเป็นหญิงก็คงจะเรียกร้องความสนใจจากข้าได้ แต่เจ้าเป็นชาย แต่กลับบ้าคิดเช่นนี้กับข้า เจ้าคงต้องเสียใจไปทั้งชีวิต

มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าฉินจิ่นห้าวจะคิดเองเออเองเก่งถึงเพียงนี้ หากนางรู้นางคงจะพูดว่า โชคดีเพียงไรแล้วที่มีดไม่พุ่งมาทางเจ้า เหตุใดยังจะทิ้งชีวิตตัวเองอีกเล่า

หมายความว่าอย่างไรน่ะรึ?

อืม ความหมายก็คือ ไม่รู้จักประเมินค่าตนเอง เหตุใดถึงไม่เข้าใจ

วังตะวันออก ทุกคนได้ถูกสั่งให้ออกไป เหลือเพียงแค่หานฮองเฮาและรัชทายาทฉินจิ่นซิว

หานฮองเฮาเช็ดน้ำพระเนตรของตนเองจนแห้งแล้ว พระนางไม่ได้มีท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ เหลือไว้เพียงความมืดมนในสายพระเนตร

ฉินจิ่นซิวเองก็ไม่ต่างจากหานฮองเฮา

เมื่อไม่มีคนนอก เขาก็เลิกแสดงภาพลักษณ์อันอ่อนโยน และเผยความโหดเหี้ยมอำมหิตซึ่งเป็นธาตุแท้ของตนเองออกมา

เขากำมือแล้วชกลงไปหนักๆ ทีหนึ่ง แล้วมองเสด็จแม่ของตนเองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว พลางถามอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “เสด็จแม่ เราจะปล่อยมันไปเช่นนี้”

หานฮองเฮาทอดพระเนตรเขาแวบหนึ่งแล้วยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยคนที่ฆ่าน้องชายของข้าไปอย่างนี้รึ?”

ฉินจิ่นซิวตาเป็นประกาย พลันรีบถามว่า “เสด็จแม่ ท่านมีแผนการอย่างไร”

หานฮองเฮาแย้มยิ้ม ในสายพระเนตรนั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร “เขาจะไปเมืองอี้ไม่ใช่รึ ระหว่างทางข้าจะเตรียมการต้อนรับเขาอย่างดีแน่นอน”

“ใช่แล้ว!” ฉินจิ่นซิวตบมืออย่างตื่นเต้น “เขามีชีวิตออกไปจากลั่วตู แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปถึงเมืองอี้หรือไม่”

พูดจบ สายตาของเขาก็เผยความเสียดายออกมา พลางพึมพำว่า “แต่เสียดายจริงๆ”

“เสียดายอะไร” หานอองเฮาตรัสอย่างเย็นชา “มู่ชิงเกอต้องตาย! ข้าส่งข่าวไปทางตระกูลหานแล้ว เชื่อว่าทางตระกูลจะจัดการกับเรื่องนี้เอง อีกอย่างเจ้าคิดหรือว่า คนที่ต้องการชีวิตของมู่ชิงเกอนั้นมีแค่พวกเรา”

ฉินจิ่นซิวเม้มปาก เก็บความรู้สึกของตนเองเอาไว้

โชคดีที่หานฮองเฮาไม่ได้ทรงสังเกตถึงท่าทางแปลกประหลาดของเขา เพราะพระนางมัวแต่จมอยู่กับความโกรธแค้น

“หรือว่าเสด็จพ่อก็จะทรงลงมือทำอะไร” ฉินจิ่นซิวถาม

หานฮองเฮามองเขาครู่หนึ่ง ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า เสด็จพ่อของเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่มีเมตตาอะไรปานนั้น บางทีไม่เพียงแค่ เสด็จพ่อของเจ้าที่จะลงมือ กระทั่งนังแพศยาแซ่เจียงนั้นก็อาจจะทนไม่ไหว หรือแม้กระทั่งไทเฮาเองก็อาจจะลงมือทำอะไรบางอย่าง”

“ไทเฮาอย่างนั้นหรือ” ฉินจิ่นซิวพูดด้วยความตกใจ หานฮองเฮาจึงตรัสว่า “เจ้าน่ะ ไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ คิดว่าไทเฮาจะทรงรักและเอ็นดูมู่ชิงเกอถึงเพียงนั้นเชียวรึ ที่ไทเฮาให้เสด็จพ่อของเจ้ากำหนดการแต่งงานในตอนแรกก็หวังที่จะใช้ไม้อ่อนเพื่อควบคุมตระกูลมู่ แต่ในวันนี้ มู่ชิงเกอกลับปฏิเสธการแต่งงาน นังแก่นั้นคงจะอับอายและโกรธแค้น แล้วส่งคนไปฆ่าเขาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยก็เป็นได้ ข้าก็จะรอดูว่ามู่ชิงเกอจะกลับไปยังเมืองอี้ท่ามกลางอันตรายรอบด้านได้อย่างไร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version