Skip to content

พลิกปฐพี 84-3

ตอนที่ 84-3

องครักษ์เขี้ยวมังกรพลิกฟ้า!

ทว่ามู่ซงไม่แม้กระทั่งจะมองหน้ามู่ชิงเกอ ไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “บางที ท่านมหาปราชญ์อาจจะแลเห็นถึงความสามารถภายในตัวเกอเอ๋อร์ อย่างไรเสีย เกอเอ๋อรของเราสามารถกลายเป็นยอดฝีมือสายเขียวจากที่เป็นคนที่มีธาตุในร่างกายที่ไม่สามารถฝึกพลังได้ ความสามารถระดับนี้ไม่เคยมีมาก่อน หากท่านมหาปราชญ์อยากจะได้เจ้าเป็นศิษย์ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

มู่ชิงเกอมองท่าทางของคนแก่ที่ดูลำพองใจแล้วผุดรอยยิ้มออกมา

โธ่ คนแก่อย่าหลงตัวเองไปนักเลย

ไม่ว่าอย่างไร คำพูดนี้ของมู่ชิงเกอก็ทำให้มู่ซงและมู่เหลียนหรงเบาใจเรื่องความปลอดภัยของนางในที่สุด

วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง ทุกคนต่างก็ออกเดินทาง มู่ซงและมู่เหลียนหรงขี่ม้าไปส่งและยํ้ามู่ชิงเกอให้เขียนจดหมายส่งกลับมาที่จวนและให้ระมัดระวังสุขภาพรวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งสองไปส่งมู่ชิงเกอตั้งแต่ก่อนฟ้าสางจนถึงยามบ่าย หลังจากนั้นจึงกลับไปยังลั่วตู หนทางที่เหลือมู่ชิงเกอจำเป็นต้องพึ่งพาตนเอง มู่ชิงเกอนำขบวนทหารห้าพันนายเดินทางไปยังเมืองอี้ อย่างเปิดเผย สำหรับคนที่คิดจะปองร้ายนางนั้น นางไม่เพียงแต่ไม่กลัว ทว่ากลับยังตั้งหน้าตั้งตารอคอย ราวกับว่าพวกคนที่อยากจะได้ชีวิตของนางเหล่านั้นเป็น เพียงแค่หมากตัวที่เอาไว้ฝึกพลังให้กับนาง แต่ว่าพอนางค่อยๆ เดินทางและถึงเมืองอี้นั้น การลอบทำร้ายที่รอคอยก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้นางรู้สึกฉงนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อกลับไปถึงป้อมปราสาทของเมืองอี้อีกครั้ง มู่ชิงเกอพลันเรียกกู่หยาออกมาด้วยท่าทางแลดูเคร่งเครียด “เจ้าบอกว่าเจ้าจะลงมือแค่เพียงตอนที่ข้าเกิดอันตรายถึงชีวิตไม่ใช่หรือ” มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงไม่สู้ดีนัก

กู่หยาท่าทางดูไร้เดียงสา “ไม่เกี่ยวกับข้านะ”

มู่ชิงเกอไม่เชื่อแม้แต่น้อย “หากไม่เกี่ยวกับเจ้า แล้วมือสังหารที่คิดจะเอาชีวิตของข้าอยู่ไหนกัน”

“ข้าไม่ได้ทำอะไร แต่มีคนลงมือแทน” กู่หยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มีคนลงมืออย่างนั้นหรือ?!

มู่ชิงเกอประหลาดใจและคิดทบทวนถึงทุกคนที่อยู่ในความทรงจำของนาง ใครหน้าไหนเล่าจะมาช่วยนาง องค์หญิงฉางเล่อหรือ เป็นไปไม่ได้ ถอนการหมั้นหมายเช่นนี้นางไม่สังหารมู่ชิงเกอก็ดีแค่ไหนแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะแอบปกป้องนาง อีกอย่างคนที่อยากจะสังหารนางนั้นมีความสามารถไม่น้อย ด้วยความสามารถของฉินอี้เหยาแล้วจะปกป้องนางได้รอบด้านถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าจะเป็นเจ้าอ้วนเช่า ยิ่งเป็นไปไม่ได้พอเดาว่าเป็นเจ้าคนนี้ มู่ชิงเกอก็ปฏิเสธเป็นพัลวันโดยไม่ต้องคิด แต่ครั้งนี้ด้วยความเร่งรีบนางจึงไม่ได้บอกลากับเจ้าอ้วนจึงทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

ก็ไม่รู้ว่าเจอกันครั้งต่อไปเจ้าอ้วนจะโกรธหรือไม่

คนนั้นก็ไม่ใช่คนนี้ก็ไม่ใช่ แล้วจะเป็นใครกัน?

หากเป็นคนที่ท่านปู่ส่งมา เขาคงจะไม่ปิดบังนางเป็นแน่ อีกอย่างนางบอกพวกเขาไปแล้วว่าตนมีกู่หยาคอยปกป้อง

มู่ชิงเกอไตร่ตรองดูซํ้าแล้วซํ้าเล่าแต่กลับคิดไม่ออกเลยว่าคนผู้นั้นที่ปกป้องนางคือใคร?

“คนที่คิดจะสังหารข้าและคนที่ปกป้อง เจ้าเห็นทั้งหมดรึ?” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นถามกู่หยา

กู่หยาพยักหน้าเงียบๆ แล้วพูดว่า “คนร้ายมาจากสามฝ่ายและตอนท้ายก็มีมาอีกฝ่าย ทุกฝ่ายต่างเป็นสายเหลืองที่มีสายครามเป็นผู้นำทัพ ราวกับว่าได้ตระเตรียม การณ์เพื่อให้สมกับความสามารถระดับสายเขียวของเจ้าโดยเฉพาะ ผู้ที่ปกป้องนั้นมีเพียงฝ่ายเดียว ทว่าผู้นำท่านนั้นเป็นสายครามและย่างเข้าสู่สายม่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะมีกำลังคนไม่มากนักแต่ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถเก่งกาจและที่เหลือต่างก็อยู่ในสายเขียว”

เก่งกาจกันขนาดนั้นเชียวหรือ!

มู่ชิงเกอรู้สึกคลางแคลงใจและตกใจเพราะคำพูดของกู่หยา

ใครกันที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ สามารถสั่งการผู้ที่กำลังจะเข้าสู่สายม่วงให้มาปกป้องนางได้

“คนผู้นั้นยังอยู่ที่นี่หรือไม่” มู่ชิงเกอคิดทบทวนแล้วถาม กู่หยาตอบว่า “หลังจากที่คุณชายมาถึงเมืองอี้ พวกเขาก็กลับไปแล้ว”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นถามกู่หยา

กู่หยาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเผยว่า “เรื่องราวของแคว้นระดับสามนั้นโดยปกติแล้วจะไม่เข้าร่วม…”

“พอเถอะ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้” มู่ชิงเกอตัดบทของกู่หยา อย่างไม่เกรงใจ

กู่หยาสีหน้ามืดครึ้ม ปิดปากเงียบ

เห็นใบหน้าโอหังของคนตรงหน้าดูกลํ้ากลืนในใจของมู่ชิงเกอก็รู้ลึกมีความสุขขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก!

พอให้กู่หยาออกไป มู่ชิงเกอก็ยกมือขึ้นมาเท้าคาง ไตร่ตรองโดยละเอียดถี่ถ้วนเป็นเวลาเนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกว่า ใครที่แอบปกป้องตนเองและยังมีความสามารถ เก่งกาจถึงเพียงนี้

เมื่อคิดไม่ตก นางก็ทิ้งเอาไว้เสียก่อน

อย่างไรซะ คนที่ปกป้องนางคงจะไม่ใช่ศัตรูเป็นแน่

เมืองอี้ที่เป็นเมืองที่ถูกลอยแพนี้ กลับทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก

สำหรับคนอื่นๆ แล้ว เมื่อมาถึงเมืองอี้ก็เทำกับการถูกทอดทิ้งแต่สำหรับนางกลับเหมือนเป็นการได้รับรางวัล เมื่อย่างเข้าวันที่สิบของการมาอยู่เมืองอี้ในครั้งนี้ ตอนเช้าที่นํ้าค้างยังไม่ทันแห้ง มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นจากการฝึกฝน เมื่อนางลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ภายในส่วนลึกของสายตาพลันมีแสงสีเขียวเข้มวาบผ่าน สายเขียวขั้นกลาง!

นางได้ทะลวงผ่านมาแล้ว เมื่อสองวันก่อน!

จากที่เป็นไม่ได้แม้กระทั่งสายแดง กลับกลายเป็นสายเขียวขั้นกลางได้ในชั่วพริบตา โดยใช้ระยะเวลาเพียงห้าเดือน ด้วยความเร็วระดับนี้ หากถูกเผยแพร่ออกไป ทุกคนในใต้หล้าฟ้านี้อาจจะตกใจจนคางหลุดออกจากใบหน้าเป็นแน่

ความสามารถอะไร หรือจะวิชามารแบบไหน

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่สู้ความเร็วดั่งจรวดของนางไม่ได้

ประตูห้องถูกเคาะเบาๆ มู่ชิงเกอพลันซ่อนแสงสีเขียวใน

แววตาของตนและพูดเสียงต่ำว่า “เข้ามา”

พูดจบประตูก็ถูผลักเปิดออก

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินเข้ามาพร้อมกันในมือนั้นกำลังถืออุปกรณ์ล้างหน้าและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ

“คุณชาย บ่าวมาปรนนิบัติท่านเจ้าค่ะ” “คุณชาย วันนี้อยากจะรับประทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”

ในขณะที่ทั้งสองไต่ถามก็ได้เดินมาหยุดตรงหน้ามู่ชิงเกอเพื่อตระเตรียมทุกอย่าง

มู่ชิงเกอลงมาจากเตียงพลางรับการปรนนิบัติจากทั้งสอง พลางพูดว่า “ข้าไม่ได้เคร่งเรื่องการกินมากนัก ก็แค่อร่อย ไม่แปลกเกินไป ไม่มันเกินไป ไม่จืดจนเกินไป และเผ็ดนิดหน่อยก็เพียงพอแล้ว”

โย่วเหอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและแอบคิดในใจว่า คุณชายของข้า ท่านไม่เคร่งเรื่องการกินเลยจริงๆ หริอ

“จริงด้วย ที่เมืองอี้แห่งนี้ทั้งแห้งแล้งและรกร้าง พวกเจ้าทั้งสองอยู่ได้หรือไม่” อยู่ๆ มู่ชิงเกอประหนึ่งเพิ่งคิดคำถามอะไรออก

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม โย่วเหอพูดว่า “คุณชายไม่ ต้องเป็นห่วงพวกข้า บรรยากาศของเมืองอี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่ลั่วตูจะสามารถสู้ได้ อยู่ที่นี่เราสองพี่น้องไม่เพียงแต่สามารถปรนนิบัติคุณชายทั้งยังสามารถฝึกพลังเวทกับพี่น้องที่นี่ได้อย่างสบายใจ ช่างมีความสุขอย่างหาที่สุดไม่ได้

“เจ้านี่ช่างพูดเอาใจเก่งเสียจริง” มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปจับปลายจมูกของโย่วเหอแล้วกระตุกยิ้ม

ทันใดนั้น นางก็หยุดทุกการเคลื่อนไหวและในหัวก็มีภาพเช่นนี้เกิดขึ้น ราวกับว่ามีคนเคยทำท่าทางเช่นนี้กับนาง…

มู่ชิงเกอสลัดภาพในหัวทิ้ง นางจะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่านางเคยโดนตัวประหลาดที่สมควรตายผู้นั้นหยอกล้อ

“คุณชาย ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” อยู่ๆ ท่าทีของมู่ชิงเกอก็นิ่งไป ทำให้โย่วเหอที่สังเกตอาการอย่างละเอียดอ่อนสามารถสัมผัสได้

ครั้นได้สติ มู่ชิงเกอก็ส่ายหน้าเพื่อเป็นการบอกว่าตนเอง ไม่ได้เป็นอะไร พลันพูดกับทั้งสองอย่างจริงจังว่า “หลัง จากที่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ไปบอกให้ทุกคนมารวมตัวกันบริเวณด้านล่างเมือง”

พูดจบนางก็หรี่ตาและคิดในใจว่า พักผ่อนมาสิบวันก็ถึงเวลาที่จะต้องฝึกฝนในขั้นต่อไปกันแล้ว

แม้ว่าทหารองครักษ์ที่นางสร้างขึ้นมาใหม่จะได้แสดงความสามารถให้ได้เห็นในขณะที่สู้รบกับสัตว์ป่าแล้ว แต่สำหรับนาง เท่านี้ยังไม่พอและมันยังห่างจากสิ่งที่นางต้องการอีกมาก

หากคนพวกนี้ยังอยากจะเดินตามนางไปข้างหน้าได้ตลอด ก็ต้องผ่านการฝึกฝนที่ทรมานเป็นที่สุด

ในสิบเดือนนี้ไม่เพียงจะเป็นเวลาที่นางจะยกระดับความสามารถของตนเองให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ทหารองครักษ์ของนางเก่งกาจขึ้นด้วย เช่นกัน

เมื่อสัมผัสถึงประกายไอสังหารจากตัวของมู่ชิงเกอ โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็มองหน้ากันแล้วรู้ว่าช่วงเวลาดีๆ แห่งความสุขของพวกนางกำลังจะหมดไปแล้ว ความท้าทายใหม่ๆ ที่น่าตื่นตากำลังจะมาถึง

“คุณชาย มีจดหมายจากลั่วตู!” ทันใดนั้นผู้ส่งข่าวของเมืองอี้ก็มาขอเข้าพบอย่างเร่งรีบและเผยให้เห็นจดหมายสามฉบับที่มาจากลั่วตูให้แก่มู่ชิงเกอ

ในขณะนี้ มู่ชิงเกอเพิ่งสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จและฮวาเยวี่ยกำลังจัดชายเสื้อให้กับนางอยู่ โย่วเหอเองก็กำลังขะมักเขม้นกับการเก็บอุปกรณ์ล้างหน้า

โย่วเหอเข้าไปรับจดหมายแล้วส่งให้แก่มู่ชิงเกอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version