Skip to content

พลิกปฐพี 84-4

ตอนที่ 84-4

องครักษ์เขี้ยวมังกรพลิกฟ้า!

มู่ชิงเกอพลันรีบแกะจดหมายออกมาดู พบว่าฉบับหนึ่งมาจากตระกูลมู่ ตัวหนังสืออันสวยงามเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นและมีคำเรียกที่คุ้นเคยทำให้ นางรู้ว่าจดหมายนี้มาจากท่านอาของนาง มู่เหลียนหรงนั้นเอง

เนี้อหาในจดหมายนั้นไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ถามไถ่ว่านางคุ้นเคยกับการใชชีวิตอยู่ที่เมืองอี้แล้วหรือไม่ กินอิ่มนอนหลับหรือไม่ ต้องดูแลตนเองให้ดีไม่ต้องเป็นพะวงตระกูลมู่ที่อยู่ในลั่วตู

จดหมายฉบับที่สองมาจากเจ้าอ้วนเช่า

ตามที่มู่ชิงเกอคาดการณ์เอาไว้หลังจากที่เจ้านั่นรู้ว่าตนเองออกจากลั่วตูก็ต้องรีบเขียนจดหมายมาด่านางโดยด่วนเป็นแน่

เนึ้อหาในจดหมายบอกว่า นางไร้สัจจะ จากไปโดยที่ไม่มีคำรํ่าลา ไม่ให้ความสำคัญกับพี่น้อง…ทว่ามู่ชิงเกอกลับสัมผัสได้ถึงความคิดคะนึงห่วงใยผ่านจากตัวอักษร ราวกับว่าเขาอยากจะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางที่เมืองอี้เสียเดี๋ยวนี้

เมื่อเห็นตัวหนังสือที่เหมือนรอยประทับเท้าของสุนัขก็ไม่ปานของจอมเสเพลอันดับสองแห่งลั่วตู มู่ชิงเกอถึงกับหัวเราะ

ตัวอักษรพวกนี้เหมือนเป็นความอบอุ่นที่ไหลบ่าดั่งสายนํ้าเข้าไปสู่หัวใจของนาง

จดหมายฉบับสุดท้าย หลังจากที่มู่ชิงเกอเปิดออก นัยน์ตาก็เผยให้เห็นถึงความฉงนใจและคาดไม่ถึงว่าคนที่เขียนจดหมายให้กับนางจะเป็นองค์หญิงตัวน้อยฉินอี้เหลียน

เท่าที่เจอกับนางหลายรอบแล้วนางก็ยังคงไว้วางใจในตัวมู่ชิงเกอ นางจึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อการจากมาของมู่ชิงเกอในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

จดหมายฉบับนี้ตัวหนังสือไม่ได้สละสลวยมากนัก เนี้อหาในจดหมายก็เกี่ยวกับการบรรยายถึงชีวิตประจำวันขององค์หญิงตัวน้อย ความคิดคะนึงถึงที่มีต่อนาง จดหมายฉบับนี้ไต่ถามว่านางจะกลับไปเมื่อไหร่ราวสิบกว่าครั้ง และในตอนท้ายของจดหมายยังเขียนว่า นางยังคงรอคอยให้พี่ชายกลับมายังลั่วตู เมื่อถึงตอนนั้น จะเลี้ยงขนมพี่ชายและมีความลับจะบอกมู่ชิงเกออีกมากมายด้วย

จดหมายทั้งสองฉบับนั้น มู่ชิงเกอตอบกลับไปเพียงสั้นๆ เว้นแต่จดหมายฉบับเดียวซึ่งเป็นจดหมายของฉินอี้เหลียนที่นางไม่ได้คิดจะตอบกลับ องค์หญิงตัวน้อยผู้ไร้เดียงสาผู้นี้นางไม่อยากจะดึงเข้ามาในวัฏจักรนี้จริงๆ รักษาระยะห่างเอาไว้บางทีอาจจะสามารถรักษาความดีภายในใจขององค์หญิงไว้ได้ตลอดไป หลังจากที่จัดการกับเรื่องราวต่างๆ นานาเสร็จสิ้นแล้ว มู่ชิงเกอจึงพาสาวใช้ทั้งสองไปยังสนามโล่งแจ้งด้านล่างกำแพงเมือง ทหารองครักษ์ทั้งห้าร้อยนายรวมทั้งมั่วหยางรวมกันเป็นห้าร้อยหนึ่งคนได้ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบ ร้อยอยู่ในสนามเป็นเรียบร้อยแล้ว

ในระยะอันห่างออกไป ทหารประจำการของตระกูมู่กำลังสอดส่องมองดูพวกเขาอยู่ห่างๆ ราวกับว่ากำลังดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอเดินเข้ามาใกล้ ผู้นำทหารประจำการของเมืองอี้พลันเดินเข้าไปต้อนรับ

“คุณชาย ท่านกำลังจะ…” การเข้ามาช่วยเมืองอี้เมื่อครั้งที่แล้ว ทำให้กองทหารตระกูลมู่ต่างเคารพและนับถือในตัวมู่ชิงเกอและไม่มีความดูแคลนหลงเหลืออยู่อีก ตอนนี้หากมีใครกล้าพูดเรื่องไม่ดีของมู่ชิงเกอต่อหน้าพวกเขา เกรงว่าคงจะทำให้พวกเขาโต้กลับอย่างสุดความสามารถเป็นแน่

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองเขาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามาพอดีเลย เจ้าอยู่เมืองอี้มานาน คงจะมีแผนที่ของเทือกเขาฉินใช่หรือไม่”

“แผนที่ของเทือกเขาฉินอย่างนั้นหรือ” ผู้นำทหารประจำการได้ฟังแล้วประหลาดใจ พูดอย่างระมัดระวังว่า “เรียนถามคุณชาย ท่านจะนำแผนที่ของเทือกเขาฉินไปใช้เพื่อการใด”

มู่ชิงเกอที่ไม่ได้ปิดบัง พูดตรงๆ ว่า “ข้าจะพาพวกเขา เข้าไปฝึกในเทือกเขาฉิน เวลาน้อยสุดหนึ่งเดือน มากสุดสามเดือน”

ใครจะรู้ว่าเมื่อผู้นำได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป และรีบทักท้วงว่า “ไม่ได้เป็นอันขาดคุณชาย ภายในเทือกเขาฉินนั้นเต็มไปด้วยภยันตรายและเป็นอาณาเขตของสรรพสัตว์ถึงแม้ว่าคุณชายจะเอาแผนที่ไปด้วยแต่ก็ยังคงไม่ปลอดภัย ขอให้คุณชายล้มเลิกความคิดนี้และโปรดอยู่ในเมืองอี้หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชาย ข้าไม่รู้ว่าควรจะบอกท่านแม่ทัพอย่างไร”

มู่ชิงเกอมองเขาครู่หนึ่ง แล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าว

พลันตะโกนเสียงสูงกับทหารองครักษ์ของนางว่า “พวกเจ้าได้ยินหรือยัง แล้วกลัวหรือไม่?”

“ไม่กลัว!” เสียงอันเป็นระเบียบเรียบร้อยดุจดั่งเสียงเกลียวคลื่นซัดโหมดังก้องไปทั่วฟ้าเมืองอี้

เลียงที่ดังออกมาอย่างไม่ลังเลนั้น ทำให้กองทหารประจำการถึงกับหันหน้าหนี

เพราะเขาคิดว่าคนพวกนี้ใจกล้าและช่างโอหังเหลือเกิน พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองอี้เป็นเวลาเนิ่นนานไม่มีใครจะรู้ไปมากกว่าพวกเขาว่าเมืองอี้แห่งนี้เป็นสถานที่เช่นใด

สายตาเหยียดหยาม เย้ยหยันมองไปยังทหารองครักษ์ทั้งห้าร้อยนาย

แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผ่านมาทำให้พวกเขามีความเชื่อที่มั่นคงเพียงความเชื่อเดียวคือเชื่อในตัวคุณชาย และทั้งชีวิตนี้หากติดตามคุณชายแน่นอนว่าจะไม่มีใครต้องตกตาย!

ไม่มีใครเห็นความตื่นเต้นและความบ้าคลั่งที่หลบซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขา ความไว้เนี้อเชื่อใจที่พวกเขามีต่อมู่ชิงเกอนั้นได้เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ธาตุในร่างกายของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไป และไม่ว่าจะเรื่องอะไรหรือจะเป็นใครหน้าไหนก็ไม่อาจลบล้างมันได้

“ดีมาก” มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มอย่างสมใจ สายตาของนางนั้นแนบนิ่งดั่งสายนํ้า นางกวาดสายตามองทุกคนด้วยสายตาอันเย็นเยียบราวกับธารนํ้าแข็ง แม้ว่านางจะไม่สามารถจดจำใบหน้าของคนเหล่านี้ได้ทุกคน แต่แววตามุมานะนั้นคงเหล่านี้นางจำได้ขึ้นใจ ช่างสมกับที่เป็นทหารองครักษ์ของนาง “ข้าเคยบอกว่า เมื่อถึงเวลาที่ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าเหมาะสม ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าข้าได้ตั้งชื่ออะไรให้กับหน่วย ของพวกเจ้า และวันนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้ว” มู่ชิงเกอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วตะโกนเสียงดังพูดกับ ทหารองครักษ์ทั้งห้าร้อยหนึ่งนาย

ผู้นำทหารประจำการในเมืองอี้ขมวดคิ้วดกหนาของเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร

บางทีเขาคงจะอยากรู้ว่ามู่ชิงเกอคิดจะทำอะไรกันแน่ ทหารในเมืองอี้ต่างเงียบสงบ ทว่าทุกสายตากำลังจดจ้องเป็นหนึ่งเดียวกันที่ด้านล่างกำแพงเมือง

เมื่อสิ้นเสียงขอมู่ชิงเกอ ทั้งห้าร้อยนายนายต่างมีสีหน้าแววตาเคร่งขรึมและเม้มปากเงียบ

สายตาของพวกเขามีทั้งความตื่นเต้นและบ้าคลั่งราวกับว่า ในที่สุดสิ่งที่พวกเขามุมานะพยายามมาทั้งหมดก็ได้รับการยอมรับจากมู่ชิงเกอ ในที่สุดพวกเขาก็มีชื่อเรียกเป็นของตนเอง

“ตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรของข้า มู่ชิงเกอ” มู่ชิงเกอตะโกนชื่อเรียกที่อยู่ในใจของนางมานานออกมาเสียงดัง

องครักษ์เขี้ยวมังกร!

ชื่อเรียกอันแสดงถึงสัญชาตญาณนักฆ่า ทำให้ในสายตาของทั้งห้าร้อยหนึ่งคน เป็นประกาย ในแววตาราวกับมี เปลวเพลิงโหมไหม้

“เฮ้ๆ—องครักษ์เขี้ยวมังกร!”

“เขี้ยวมังกร ! เขี้ยวมังกร ! เขี้ยวมังกร !”

เสียงพวกนี้ได้ถูกเปล่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดย ไม่ต้องสั่งการใดๆ ทำให้คำว่าเขี้ยวมังกรดังก้องไปทั่วท้องนภาเหนือเมืองอี้อยู่เนิ่นนาน

มู่ชิงเกอเองก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกันไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าคำว่า ‘เขี้ยวมังกร’ นั้นมีที่มาความหมายสำคัญสำหรับนางมากเพียงใด เขี้ยวมังกรคือรหัสลับของนางเมื่อชาติที่แล้ว

มังกรผู้นำแห่งสรรพสัตว์และเขี้ยวก็คือส่วนที่แหลมคมที่สุด แม้จะซ่อนอยู่ภายในปาก แต่ยังคงแสดงถึงรังสีกลิ่นอายของความแหลมคม

นางเคยถูกขนานนามว่าเป็นมีดเล่มที่แหลมคมที่สุดในประเทศและเป็นที่หนึ่งของหน่วยพิเศษของโลกเพราะฉะนั้นรหัสลับของนาง คือเขี้ยวมังกร

บางทีหลังจากที่นางสละชีพไปแล้ว คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้เลยว่า คนที่ทำให้ผู้มีอิทธิพลมืดบนโลกใบนี้รู้สึกหวาดกลัวและทำให้องคกรของประเทศอื่นๆ ต้องปวดหัว เขี้ยวมังกรแห่งหัวเซี่ยที่ยากจะต่อกรนั้นเป็นเพียงหญิงสาว อายุแค่ 29 ปีเท่านั้น

เขี้ยวมังกร คำนี้ได้แสดงถึงความภาคภูมิใจทั้งหมดเมื่อชาติที่แล้วของนาง

ในวันนี้นางจะส่งมอบรหัสลับนี้ให้กับทหารองครักษ์ของตนเอง หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้รหัสลับนี้ของนางต้องเสียชื่อเสียง

เรื่องเล่าของเขี้ยวมังกรไม่เพียงแต่เป็นตำนานที่ไม่มีอะไรสามารถแทนที่ได้ของหัวเซี่ย แต่ในโลกอีกใบนี้ก็จะดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ และสร้างตำนานใหม่ขึ้นมา!

องครักษ์เขี้ยวมังกร อย่างนั้นหรือ

ชื่อนี้วนเวียนอยู่ในความคิดของกองทหารตระกูลมู่ที่ประจำการอยู่ในเมืองอี้ บางทีตอนนี้ นอกจากที่พวกเขาจะรู้สึกว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่แสดงถึงความเป็นนักรบแล้วก็อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรอีก แต่สักวันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ คำว่าเขี้ยวมังกร

มู่ชิงเกอกำหมัดแล้วยกขึ้น เสียงทั้งหมดพลันเงียบลงในทันที

ในใจของคนทั้งห้าร้อยหนึ่งคน เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่เก็บความรู้สึกไว้และมองนางด้วยแววตาอันร้อนแรง

“นับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าต้องแบ่งกลุ่มกันเอง กลุ่มละ 25 คนและเลือกหัวหน้ากลุ่มที่ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่ง โดยมั่วหยางจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของทุกกลุ่มที่จะรับคำสั่งจากข้าโดยตรง หัวหน้าของแต่ละกลุ่มรับคำท้าได้หาก แพ้ต้องสละตำแหน่งให้ผู้ชนะ ให้ผู้ชนะเป็นหัวหน้าแทน โดยการแข่งขันไม่เพียงแต่จะเป็นการแข่งขันด้านพลังการรบเท่านั้นและต้องแข่งขันเกี่ยวกับการออกคำสั่ง สำหรับมั่วหยาง หากข้ารู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับการเป็นหัวหน้าใหญ่ก็จะตัดตำแหน่ง และให้ทุกคนแข่งกันเพื่อเลือกผู้นำอย่างยุติธรรม” มู่ชิงเกออธิบายระเบียบการ ขององครักษ์เขี้ยวมังกรสั้นๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version