Skip to content

พลิกปฐพี 90-4

ตอนที่ 90-4

สารพัดวิธีรนหาที่ตาย คงมิอาจห้ามได้!

ในตอนนี้ มู่ซงเองก็เปลี่ยนมาขี่อาชาเพลิง และเดินทางอยู่เคียงข้างมู่ชิงเกอ เมื่อได้ยินคำถามจากมู่ชิงเกอ เขาเม้มปากครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “เท่าที่ข้ารู้มีเพียงผู้เดียว ซึ่งได้รับความเคารพนับถือจากราชวงศ์ เพียงแต่โดยปกติแล้ว ยอดฝีมือผู้นี้ไม่แสดงตัวออกมาโดยง่าย นอกจากจะเป็นปัญหาที่หนักหนาจริงๆ”

ในแววตาของมู่ชิงเกอฉายแววความสงสัย “ถ้าเช่นนั้น การแย่งชิงธรรมดาๆ ก็ไม่สามารถทำให้เขาแสดงตัวตนออกมาได้”

มู่ซงพยักหน้า “แต่ทว่า หากเป็นคำขอจากฮ่องเต้ไม่แน่ว่า…”

มู่ชิงเกอเงียบ

ครู่ใหญ่ เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่พูดอะไร มู่ซงจึงหันหน้ามามองนางพลางพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ชิงเกออย่ากลัวไปเลย ตอนนี้ท่านปู่ของเจ้าเองก็เป็นสายม่วง หากว่าไอ้แก่หน้าไม่อายนั่นยังกล้ามีปัญหากับเจ้า ปู่จะคอยปกป้องเจ้าเอง”

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างอุ่นใจ  “อื้ม มีท่านปู่อยู่ ข้าไม่ห่วงอะไร” ความจริงแล้วนางไม่ได้เป็นห่วงถึงการมียอดฝีมือสายม่วงอยู่ภายในวังหลวงเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่กำลังแอบประเมินความสามารถที่ราชวงศ์แอบซ่อนอยู่

“ชิงเกอ ปู่มีคำพูดหนึ่งที่เห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะบอกกับเจ้าแล้ว” สีหน้าของมู่ซงฉายแววความเคร่งขรึม

มู่ชิงเกอหันหน้าไปมองเขา แต่เห็นเพียงภาพที่เขาหยิบปลอกกริชที่มีการตกแต่งละเอียดลอออกมาจากอก และยื่นให้กับมู่ชิงเกอด้วยความเคร่งขรึม

“นี่คืออะไร?” มู่ชิงเกอรับมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย

หลังจากนั้นมู่ซงแอบปล่อยพลังคุ้มกันทั้งสองเอาไว้ เพื่อปองกันไม่ให้คนนอกแอบฟังแล้วจึงพูดว่า “นี่เป็นสัญลักษณ์ของกองทหารส่วนตัวของตระกูลมู่ สิ่งที่อยู่ในมือของข้าคือปลอกกริช ส่วนกริชจะอยู่ในครอบครองของผู้นำแม่ทัพ พวกเขาไม่ภักดีต่อแคว้นฉิน แต่ภักดีต่อตระกูลมู่เท่านั้น และพวกเขามีกันทั้งหมดหนึ่งแสนนาย ข้าให้ชื่อพวกเขาว่ากองทัพพันเพลิง คนพวกนี้หลังจากที่ท่านอาคนรอง ท่านย่า และท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าจากไป ข้าก็ได้แอบเตรียมการมาตลอด ขนาดท่านอาของเจ้าเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนแรกนี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ข้าเตรียมไว้ให้กับเจ้า และคิดว่าหากเจ้ามีอันตราย พวกเขาจะสามารถช่วยเจ้าให้หนีออกจากแคว้นฉินไปได้อย่างปลอดภัย และหาที่ซ่อนที่ห่างไกล แต่ตอนนี้ข้าคิด ว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการหนีอีกต่อไปแล้ว และปู่ก็ยังคงจะยกคนพวกนี้ให้กับเจ้า เจ้าจงจำไว้ว่า ต้องใช้อย่างมีสติและใช้ให้เกิดประโยชน์หากไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามเปิดเผยการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาโดยเด็ดขาด”

มู่ชิงเกอตะลึง นางสัมผัสได้มาโดยตลอดว่ามู่ซงยังแอบซ่อนไพ่ใบสุดท้ายเอาไว้ แต่กลับไม่คิดว่า ไพ่ใบสุดท้ายนั่นจะเป็นทหารกล้าจำนวนหนึ่งแสนนาย จากคำพูดของมู่ซง นางเดาได้ว่า ทหารหนึ่งแสนนายนี้ไม่ธรรมดา แต่เป็นทหารกล้าที่คัดมาจากทหาร 1 ส่วน 100

ทันใดนั้น นางก็เกิดฉงนใจ มู่ซงมีกำลังคนหนึ่งแสนคนนี้ได้อย่างไร

ใครจะรู้ว่า มู่ซงราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงอธิบายว่า “หลายปีที่ผ่านมานี้ ทุกๆ ปีข้าจะเลือกทหารจำนวนนับหมื่นนายจากกองทัพ หลังจากที่พวกเขายอม เป็นทหารที่พลีชีพไปแล้วของตระกูลมู่ และแจ้งข่าวกับราชสำนักว่าพวกเขาตายในสงครามไปแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็จะท่องไปยังชายแดนของแคว้นต่างๆ ฝึกทักษะสงครามด้วยการทำสงคราม พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีฝีมือมากเทียบเท่าคน 100 คนยิ่งไปกว่านั้น พร้อมที่เสียสละทุกอย่างเพื่อตระกูลมู่ เจ้าจงรับปากกับ ปู่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะได้ใช้พวกเขาหรือไม่ ก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตา”

มู่ชิงเกอพยักหน้าด้วยความตกใจ

ไพ่ใบสุดท้ายใบนี้ทำให้นางทั้งตกใจและคาดไม่ถึง

แม้ว่า ในครานี้คงจะไม่ได้ใช้ทหารพวกนี้ แต่ใครจะรู้ว่าในอนาคตจะได้ใช้หรือไม่ หากแม้ว่าจะไม่ได้ใช้นางก็อยากจะพบเจอกับกองทหารพันเพลิงที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดและมีชีวิตอยู่ในสถานะที่ตายไปแล้วนี้ดู มู่ชิงเกอหรี่ตาและคิดในใจว่า ตอนที่พบกับกองทหารพันเพลิงควรจะหาของสักชิ้นที่ควรค่าไปรับขวัญ “เกอเอ๋อร์เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ว่า ตอนนี้พลังของเจ้าอยู่ในสายอะไร” ทันใดนั้น มู่ซงก็ได้ถามขึ้น

ม่านพลังในตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพลังของนางอยู่ในระดับใด

มู่ชิงเกอตะลึง ทันใดนั้นก็ผุดรอยยิ้ม พลางโน้มตัวไปข้างหูท่านปู่และพูดเสียงตํ่าคำหนึ่ง จากนั้นก็โน้มตัวกลับมา ท่ามกลางความตกใจของมู่ซง

เดินทางอยู่บนหลังเพลิงรัตติกาลสักพัก มู่ชิงเกอจึงพูดกับมู่ซงว่า “ท่านปู่ ข้ามีธุระต้องไปจัดการต่อ ท่านกลับจวนก่อนเถิด” พูดจบ ก็หายไปท่ามกลางผู้คน

มู่ซงที่ได้สติจากความตกใจ รู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองคอแห้งผาก

ทันใดนั้นก็ได้รู้สึกว่า หากหลานสาวสุดที่รักคนนี้ยังทำเรื่องอะไรพลิกฟ้าอีก เขาก็จะไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไปแล้ว

ความรวดเร็วระดับนั้นในการฝึกพลังเวท ช่างมหัศจรรย์เป็นที่สุด

หลังจากที่บอกลากับมู่ซง มู่ชิงเกอก็เดินทางอยู่บนถนนโดยลำพัง

ราวกับ กำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

แต่ทว่า เมื่อนางมาหยุดอยู่ตรงโรงเตี้ยมที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง ก็มีเสี่ยวเอ้อร์สองคนเดินเข้ามาขวางนางเอาไว้ พลางพูดประจบด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณชาย แขกผู้สูงศักดิ์ ท่านหนึ่งรออยู่ภายในร้านเป็นเวลานานแล้ว หากท่านไม่รีบ จะเข้าไปพบเขาได้หรือไม่”

มู่ชิงเกอนิ่งอยู่บนหลังเพลิงรัตติกาล ผุดรอยยิ้มอย่างเย็นเยียบ

นางลงจากหลังม้าและโยนเชือกให้กับเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสอง จนทำให้พวกเขาตกใจและถอยหลังหนีใบหน้าอันขาวซีดร้องขอชีวิต “ไอ่โหย๋ว! คุณชาย นี่เป็นถึงสัตว์พลังวิญญาณ ข้าน้อยไม่ได้มีความสามารถดั่งคุณชายที่จะกล้าไปดึงตัวสัตว์พลังวิญญาณท่านนี้ ขอรบกวนท่านจูงเข้าไปด้วยตนเองได้หรือไม่”

พูดจบ เขาก็ฝืนยิ้มบนใบหน้า มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไร หันไปมองอาชาเพลิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

เพลิงรัตติกาลของนางไม่ดื้อเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่านางได้ลืมการสู้รบอันโหดเหี้ยมกับเพลิงรัตติกาลในตอนแรกไปแล้ว

ลูบคอมันแล้ว มู่ชิงเกอก็พูดกับเพลิงรัตติกาลว่า “จำทางกลับจวนได้หรือไม่? เจ้ากลับไปก่อน ระหว่างทางหากมีใครกล้ายั่วโทสะเจ้า ก็ฆ่ามันเสีย ข้าจะเป็นคนรับ

ผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง”

เพลิงรัตติกาลส่งเสียงตอบรับ และจากไปด้วยความหยิ่งยโส

แน่นอนว่าคำพูดของของนาง คนรอบข้างได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอ ทุกคนต่างก็หลีกทางให้กับเพลิงรัตติกาล และบนถนนก็มีเพียงแค่ความสูงส่งและหยิ่งยโสของเพลิงรัตติกาลที่กำลังเดินไปอย่างไม่เร็วและไม่ช้าในทันที

เมื่อเพลิงรัตติกาลจากไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงก้าวเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว

ด้วยการนำทางของเสี่ยวเอ้อร์ตอนนี้ได้ขึ้นไปอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปยังห้องส่วนตัว เงาร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังอยู่ตรงหน้านาง คนๆ นั้นสวมชุดตัวยาวสีดำสนิท แม้จะพยายามทำตัวปกติแต่ก็ไม่สามารถลบล้างกลิ่นไอความสูงศักดิ์ลงได้เลย

ทันทีที่ห้องส่วนตัวถูกปิดลง ร่างนั้นก็หันหน้ามา ในสายตาของมู่ชิงเกอนิ่งสงบ ราวกับคิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็น เช่นนี้จึงผุดรอยยิ้มมุมปาก และพูดอย่างเย็นชาว่า : “รุ่ยอ๋อง”

“ชิงเกอ เจ้ามาแล้วรึ นั่งก่อน” ใบหน้าอันเย็นชาของฉินจิ่นห้าวได้ผุดรอยยิ้มออกมา

รอยยิ้มนั่น ทำให้มู่ชิงเกอนึกถึงเพียงแค่คำว่า ‘หลอกลวง’

แต่ทว่า นางรู้ถึงเป้าหมายที่ให้นางมาในวันนี้ จึงยอมนั่งลง

เหล้าและกับแกล้มถูกยกมาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่คิดที่จะกินมัน นางมองฉินจิ่นห้าว และพูดตรงๆ ว่า “รุ่ยอ๋องทรงมีเรื่องอะไร ก็ตรัสมาได้เลยพะย่ะค่ะ”

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอรู้จุดประสงค์ ฉินจิ่นห้าวก็ไม่ต้องเสียเวลาเกริ่น

เขาเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงพูดอย่างนุ่นนวลว่า “หลังจากที่ชิงเกอกลับมา ก็คงจะรู้ข่าวความขัดแย้งของข้ากับรัชทายาทแล้ว ความจริงแล้ว ข้าไม่ได้คิดจะแย่งชิงอะไรกับรัชทายาท แต่รัชทายาทคอยระแวงและบีบบังคับจากทุกทาง เพื่อเอาตัวรอด ข้าจึงทำได้เพียงแค่สู้สุดกำลัง ข้ารู้ว่า ในขณะที่เมืองอี้เกิดสงคราม ความบาดหมางระหว่างเจ้าและรัชทายาทนั้นมากจนไม่สามารถให้อภัยกันได้ ชิงเกอเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากรัชทายาทได้ขึ้นครองบัลลังก์เจ้าหรือตระกูลมู่จะเป็นอย่างไร?” เขาหยุดและมองมู่ชิงเกอ อยากจะเห็นความตื่นตระหนกในสายตาของนาง แต่ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย หลังจากที่ผิดหวังสักพัก ฉินจิ่นห้าวก็พูดต่อว่า “แต่ข้า ไม่ได้เป็นแบบนั้น ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่มาโดยตลอด กับชิงเกอก็เป็นเสมือนพี่น้อง หากว่าข้าสามารถเอาชนะรัชทายาทได้ในอนาคตตระกูลมู่และความปลอดภัยของชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไรอีกต่อไป วันนี้ที่ข้านัดพบกับชิงเกอก็เพียงอยากได้ยิน คำๆ หนึ่งจากชิงเกอ รับปากกับข้าว่าจะร่วมชื่นชมแผ่นดินนี้ไปพร้อมกับข้า”

หลังจากที่พูดจบ ฉินจิ่นห้าวก็รอคำตอบจากมู่ชิงเกออย่างตื่นเต้น

หลังจากที่มู่ชิงเกอกลับลั่วตู เขาคิดว่าจะพบนางโดยลำพัง เพื่อให้ตนเองได้รับการสนับสนุนจากตระกูลมู่อีก หากว่ายังไม่ได้ และไม่มีทางออก เขาก็ทำได้เพียงแค่รอให้ทางป๋ายซีเยวี่ยลงมือ และจึงใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ให้ตระกูลมู่เป็นหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ที่ยากจะชดใช้ใด้หมดกับเขา

การรอยคอยนั้น มักจะยาวนานเสมอ

ภายในห้องส่วนตัว บรรยากาศอึดอัด เงียบจนหากมีเข็มตกลงพื้นต้องได้ยินเป็นแน่

จนกระทงฉินจิ่นห้าวรอจนใกล้จะหมดความอดทน และเกือบจะยอมแพ้ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้พูดขึ้น “ได้สิ”

มู่ชิงเกอผุดรอยยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่แฝงความอันตรายและความเด็ดเดี่ยว ทำให้ฉินจิ่นห้าวที่มองอยู่ตกใจ ราวกับได้ถูกดูดเข้าไปอยู่ใน รอยยิ้มนั้นจนไม่อาจถอนตัวได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version