ตอนที่ 94-1
วังหลวงวุ่นวาย บังเกิดคลื่นลม!
ในตอนแรก เป็นเพราะความคิดถึงที่มีต่อเสด็จพ่อ นางจึงแอบเข้าไปภายในห้อง
แต่กลับไม่คิดว่า จะได้ยินคำพูดเช่นนี้…
พวกเขาบอกว่าจะฆ่าพี่ชาย !
ร่างเล็กนั่นหลังจากที่มั่นใจว่าภายในตำหนักไม่มีใครแล้ว จึงคลานออกมาจากใต้เตียง นางหันกลับไปมองเสด็จพ่อที่ใบหน้าเหี่ยวย่น ร่างกายผ่ายผอมบนเตียง นางกัดริมฝีปากสีแดงกํ่าแล้วจึงออกจากทางลับที่ซ่อนอยู่ในตู้ของตำหนักอย่างรวดเร็ว
เพราะการชอบผจญภัยไปทั่ววังหลวงตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นนางจึงรู้ทางลับทางนี้โดยบังเอิญและเป็นเหตุผลที่ทำให้นางสามารถแอบมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อได้
บางที หานฮองเฮาและรัชทายาทฉินจิ่นซิวเองก็คงไม่มีทางคาดคิดว่าบทสนทนาที่ไม่อาจเปิดเผยได้ระหว่างพวกเขา ฉินอี้เหลียนจะได้ยินมันทั้งหมด
วิ่งออกจากทางลับอย่างเร่งรีบ ฉินอี้เหลียนไม่ทันได้ปัดฝุ่นที่เกาะติดตามชายกระโปรงของตนเอง นางวิ่งออกจากวังหลวงไปโดยมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียวก็คือการบอกทุกอย่างที่ตนเองได้ยินกับเขาคนนั้นและห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในวังหลวง!
แต่ทว่า เพิ่งจะวิ่งออกไปไม่กี่ก้าว นางก็พลันหยุดฝีเท้า ในแววตาอันบริสุทธิ์ฉายความตื่นตระหนกและลังเลในขณะเดียวกัน
ประตูวังหลวงมีตั้งสี่บาน นางคนเดียวไม่สามารถเฝ้าได้หมด!
สิ่งสำคัญคือ นางออกไปไม่ได้!
หานฮองเฮาไม่เพียงแต่ห้ามคนนอกไม่ให้เข้า ทว่านางยังสั่งห้ามคนในไม่ให้ออกด้วย
‘ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?’
ใช่แล้ว!
ทันใดนั้น ตาของนางก็พลันเป็นประกายเพราะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาออกแล้ว
นางรู้ว่า เสด็จพี่ของตนเองได้เตรียมองครักษ์ยอดฝีมือเอาไว้เพื่อปกป้องตนเองและเสด็จแม่ ตนเองไม่สามารถออกจากวังหลวงไปได้ แต่ทว่า หากเป็นยอดฝีมือผู้นั้น แน่นอนว่าต้องทำได้
เพียงแค่เขาออกไปและไปหาเสด็จพี่ หลังจากนั้นก็ไปหาคนๆ นั้นให้พบและอธิบายเรื่องราวทั้งหมด เพื่อไม่ให้เขาเข้ามาในวังหลวง
แต่ว่า หากคลาดกันเล่าจะทำอย่างไร?
ไม่ทันได้คิดอะไรมาก นางก็พลันเรียกตัวองครักษ์ลับของตนเองออกมา เพื่อสั่งให้เขาออกจากวังหลวงไปหามู่ชิงเกอและตัวนางก็กลับไปยังตำหนักของตนเอง เรียกตัวทหารสามนายที่สามารถเชื่อใจได้ เพื่อกระจายตัวกันไปหลบซ่อนบริเวณประตูวังหลวง
แม้ว่าข้างนอกจะไม่สามารถแจ้งได้ทันเวลา พวกเขาก็ยังคงสามารถส่งเสียงเตือนในช่วงเวลาวิกฤติได้
สวมเสื้อคลุมสีดำที่รวมเป็นเนื้อเดียวกับสีแห่งรัตติกาล นางเลือกประตูทิศเหนือ เพราะจิตใต้สำนึกของนาง ราวกับมีเสียงหนึ่งกำลังบอกกับนางว่าหากเฝ้าอยู่ที่นี่ นางจะไม่ผิดหวังเป็นแน่
ในคืนนี้ ลั่วตูดูเหมือนสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา บนถนน ไม่มีเงาคนแม้เพียงครึ่งคน สิ่งปลูกสร้างอันหนาหนัก ราวกับกรงเล็บของสัตว์ป่าหน้าตาอัปลักษณ์ที่สยายโบกท่ามกลางราตรีกาลอันมืดมิด นอกเมือง เหล่าประชาชนต่างนอนหลับกันอย่างวางใจ มิได้สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันใด
ในเมือง ภายในประตูแต่ละบานที่ปิดสนิท ต่างก็ซ่อนความคิดของเหล่าเสนาบดีและตระกูลชั้นสูงเอาไว้
ณ จวนตระกูลมู่ สายลมที่พัดผ่านท่าให้โคมไฟที่แขวนอยู่ใต้หลังคาส่ายไปมา
ภายในเรือนที่ปิดสนิท แสงเทียนส่องสว่าง เผยให้เห็นคนในเรือนซึ่งยังไม่นอน
ภายในเรือน มู่ซงสวมชุดเกราะลีเงิน ฉายความน่าเกรงขาม มู่เหลียนหรงเองก็สวมชุดนักรบ ท่าทางผ่าเผยอย่างนักรบ
เมื่อเห็นว่าท่านพ่อดื่มนํ้าชาในถ้วยจนหมดแล้ว นางจึงรีบเติมให้เต็ม
วางกานํ้าชาลง นางพูดอย่างกังวลใจว่า “ท่านพ่อ เราจะปล่อยให้ชิงเกอไปเผชิญกับอันตรายคนเดียวเช่นนี้จริงเหรอ”
มู่ซงยังคงสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร นางไม่เป็นอันตรายหรอก เราเพียงแค่ดำเนินทุกอย่างไปตามแผนการของนางก็เพียงพอแล้ว”
“ทัพใหญ่มารวมตัวกันแล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะเข้ามาในเมืองทันที แต่ว่าการที่ชิงเกอบุกรุกเข้าไปในวังหลวง หากทำให้ผู้เฒ่าพวกนั้นตื่นตระหนกขึ้นมาจะทำอย่าง ไร” มู่เหลียนหรงยังคงเป็นกังวล
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่ซงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในบรรดาผู้ที่ปกป้องแคว้นฉิน เท่าที่เขารู้มีสายม่วง 1 คน สายนํ้าเงิน 5 คน ที่เหลือเป็นยอดฝีมือสายคราม ด้วยความสามารถของหลานสาวของเขาแล้ว หากต่อสู้กันก็ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
แต่ว่า…
วางถ้วยนํ้าชาลง จากนั้นมู่ซงจึงพูดว่า “คนพวกนั้น มีเพียงแคว้นล่มสลายหรือมีคนเข้ายึดครองแผ่นดินของคนตระกูลฉิน จึงจะยอมปรากฏตัว การแย่งชิงเช่นนี้ พวกเขาไม่ปรากฏตัวหรอก เหมือนดั่งที่เกอเอ๋อร์ได้พูดเอาไว้ ตระกูลมู่เพียงแต่ใช้อำนาจในการล้มล้างผู้ไม่ประสงค์ดี ฮ่องเต้แคว้นฉินยังคงเป็นตระกูลฉิน ตระกูลมู่ของเราไม่สนใจบัลลังก์นั่น”
ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกัน มู่ชิงเกอก็ได้ออกเดินทางตามเวลาในแผนการที่ฉินจิ่นห้าวได้วางเอาไว้ นางจะพาทหารองครักษ์ของตนเองตีฝ่าไปเป็นด่านแรก หลังจากที่โจมตีประตูแรก ให้ฉินจิ่นห้าวเข้าไปภายในวัง
หลวงได้แล้ว จากนั้นก็จะกวาดล้างให้สิ้นซาก
หลังจากที่วางแผนการทั้งหมดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้รู้ว่าฉินจิ่นห้าวแอบฝึกทหารลับเอาไว้ 5-6 หมื่นนาย ทหารลับพวกนี้ ด้รับการฝึกฝนและได้รับการดูแลจากฝ่ายตระกูลเจียง แต่ทว่า เท่าที่มู่ชิงเกอดูแล้ว
ฝีมือของทหารลับเหล่านี้ก็แค่กลางๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องที่มู่ซงแอบฝึกทหารกองพันเพลิงเอาไว้ จำนวนหนึ่งแสนนาย เพื่อเป็นไพ่ใบสุดท้ายของตระกูลมู่ กลับไม่ต้องเสียแรงเสยแม้แต่น้อย รวมทั้งยังสามารถเลี้ยงดูกองทหารตระกูลมู่ในเมืองอี้ให้อยู่รอดได้ในขณะเดียวกัน
ไม่ใช่เพราะตระกูลมู่รํ่ารวยกว่าตระกูลเจียง แต่เป็นเพราะมู่ซงมีความสามารถในการนำทหารมากกว่า กองทหารพันเพลิงจึงไม่ได้เพิ่มภาระให้กับตระกูลมู่ ในขณะที่ใช้สงครามในการฝึกการรบ ก็ยังนำเอาของกำนัลที่ได้ มาจากชัยชนะไปให้กับเมืองอี้ เพื่อเป็นกองเสริมให้กับกองทหารตระกูลมู่
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ากองทหารตระกูลมู่หรือกองทัพพันเพลิง ต่างก็ไม่ใช่คู่แข่งของกองทหารธรรมดาๆ อย่างกองทหารที่ฉินจิ่นห้าวเลี้ยงเอาไว้
มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนหลังของเพลิงรัตติกาล เมื่อนึกถึงใบหน้าที่ประดับด้วยความได้ใจของฉินจิ่นห้าวก็อดที่จะหัวเราะอย่างเย็นเยียบไม่ได้ ‘ได้ใจต่อไปเถิด รอให้ล้มลง เมื่อห่างจากความฝันเพียงแค่คืบเดียว จึงจะเป็นสิ่งที่น่าประทับใจจนลืมไม่ลง’
ทหารองครักษ์500 นาย ตามมู่ชิงเกอมาหยุดตรงหน้าประตูวังหลวงเพราะการนำกำลังของมั่วหยาง ประตูวังที่ปิดสนิท กำแพงวังหลวงที่สูงตระหง่าน ช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนหลังเพลิงรัตติกาลก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุด เสียงเกือกม้าดังก้องอยู่บนหนทาง สัตว์ที่มีสติปัญญา เมื่อเทียบกับสัตว์ป่าแล้ว มีความสามารถในการรับรู้อันตรายล่วงหน้าได้ดีกว่า พญาอาชาเพลิงตัวนี้ ราวกับสัมผัสได้ว่าข้างหน้ามีอันตรายและกำลังเตือนเจ้าของให้ระวัง
มั่วหยางขยับไปข้างหน้าหลายก้าว เพื่อมาหยุดข้างๆ ตัวมู่ชิงเกอ แล้วจึงพูดเบาๆ ว่า “คุณชาย ดูเหมือนจะมีกับดัก จะเปลี่ยนทางหรือไม่”
มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังป้ายที่ติดอยู่บนกำแพงวังหลวง หรี่ตาทั้งคู่ลง พลันค่อยๆ ส่ายหน้า “ประตูอื่นก็เช่นกัน แล้วจะเปลี่ยนไปเพื่ออะไร”
ทันใดนั้น นางก็กระตุกยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและพูดเสียงต่ำว่า “เป็นเช่นนี้สิ ถึงจะน่าสนุก”
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของมู่ชิงเกอ มั่วหยางเข้าใจเป็นอย่างดี