Skip to content

พลิกปฐพี 93-5

ตอนที่ 93-5

คุณชาย หน้าตาเล่า?

ในวันที่สองที่ขบวนของคณะราชทูตแคว้นถูรวมทั้งขบวนเจ้าสาวของฉินอี้เหยาออกจากลั่วตูไป ก็มีข่าวกระจายออกมาว่าฮ่องเต้ทรงประชวรหนักเพราะทรงคิดถึงพระราชธิดา

มู่ชิงเกอถูกฉินจิ่นห้าวเรียกให้ไปพบในตำหนักรุ่ยอ๋อง ราวกับว่าเขาเริ่มรอไม่ไหวแล้ว

“อยู่ๆ เสด็จพ่อก็ทรงประชวรหนัก ฮองเฮากลับปิดประตูตำหนักไม่ให้เหล่าองค์ชายอย่างพวกข้าเข้าไปเยี่ยม แม้แต่เสด็จแม่ของข้าเองก็เริ่มเตรียมการป้องกันแล้ว คาดว่าเรื่องที่เสด็จพ่อทรงพระประชวรในครานี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลหานเป็นแน่ ชิงเกอเจ้าลองวิเคราะห์ดู จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ตระกูลหานทนไม่ได้จึงลงมือ” ทันทีที่พบกัน ฉินจิ่นห้าวก็พูดกับมู่ชิงเกออย่างเปิดใจ

ท่าทีของฉินจิ่นห้าวดูเปลี่ยนไป ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

ต้นเหตุที่ฮ่องเต้แคว้นฉินประชวร ใต้หล้านี้คงมีเพียงนางที่รู้ดีที่สุด

เพราะแท้จริงแล้วฮ่องเต้แคว้นฉินไม่ได้ประชวรแต่อย่างใด ทว่าพระองค์โดนวางยาพิษ

และคนที่วางยา ก็คือนางเอง มู่ชิงเกอ

ส่วนโอกาสที่ใช้ในการวางยาก็คืองานเลี้ยงเมื่อหลายวันก่อน ในตำรายาไม่เพียงมีแต่ทักษะการปรุงยา แต่ยังมีทักษะการปรุงยาพิษอีกมากมาย ในบรรดามรดกตก

ทอดของเทพโอสถแน่นอนว่าจะต้องมีพวกยาพิษอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยความสามารถของมู่ชิงเกอในตอนนี้ สามารถวางยาได้อย่างไร้ร่องรอยมาตั้งนานแล้ว

และนางมั่นใจว่า หมอหลวงภายในวังหลวงจะไม่มีทางตรวจพบเป็นแน่

การวางยาพิษฉินชาง เป็นเพียงแค่การเติมเชื้อไฟ เร่งให้รัชทายาทและรุ่ยอ๋องลงมือก็เท่านั้น พวกเขามีเวลามากพอที่จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แต่ว่านางไม่มี

ในตอนนี้ สิ่งที่ฉินจิ่นห้าวกำลังพูดนั้น สามารถตีความได้ว่า เขากำลังสงสัยว่าตระกูลหานปองร้ายฉินชาง มู่ชิงเกอไม่อยากจะอธิบายอะไรมากนัก จึงพูดไปตามที่เขาสงสัย “อืม หากตระกูลหานเป็นคนลงมือและเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้จริงๆ การที่รัชทายาทชินจิ่นซิวจะขึ้นครองบัลลังก์นั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักอยู่แล้ว”

พูดจบ นางก็พลันมองฉินจิ่นห้าวอย่างเห็นใจทีหนึ่ง ราวกับกำลังบอกว่า เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว

ตั้งแต่อดีตกาล ผู้แพ้จากการแย่งขิงบัลลังก์นั้นมีจุดจบ เพียงอย่างเดียว

ซึ่งฉินจิ่นห้าวล้วนกระจ่างเป็นอย่างดี

เขาทั้งโกรธและตื่นตระหนก จึงพูดด้วยใบหน้าดำคลํ้าว่า “เป็นไปได้อย่างไร! เสด็จพ่อทรงไม่พอพระทัยในตัว รัชทายาทและกำลังจะปลดรัชทายาทออกจากตำแหน่ง”

หากฉินจิ่นซิวสำเร็จตามเป้าหมาย ถ้าเช่นนั้น ความพยายามของเขาก็จะไร้ค่าน่ะสิ?

“แต่ว่า ราชโองการปลดตำแหน่งนี้ ยังไม่มีโอกาสได้ลงเป็นลายลักษณ์อักษร” มู่ชิงเกอพูดเตือนความจริงอันโหดเหี้ยมข้อหนึ่งแก่เขา

ใบหน้าของฉินจิ่นห้าวซีดแล้วซีดอีก

เขามองมู่ชิงเกอและพูดว่า “ชิงเกอ ในเวลานี้เราควรทำอย่างไรดี?” ในขณะนี้เขาเชื่อใจมู่ชิงเกออย่างสุดหัวใจ จนถึงขั้นที่ว่าเริ่มพึ่งพานางโดยไม่รู้ตัว

หากเป็นเมื่อก่อน มีคนบอกว่าในอนาคตข้างหน้า เขาจะต้องพึ่งพามู่ชิงเกอเพื่อการสำเร็จการใหญ่ เขาคงจะหัวเราะเพื่อเยาะเย้ยคนๆ นั้น รวมทั้งคงจะสังหารเขา อย่างไร้ปรานี

“แล้วเหล่าที่ปรึกษาของรุ่ยอ๋องมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง” มู่ชิงเกอเปลี่ยนสายตาเป็นการย้อนถามแทน

“พวกเขารึ?” ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างไม่พอใจว่า : “ล้วนเป็นพวกไร้ประโยชน์นอกจากให้ข้าเข้าวังหลวงไปขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีกเลย”

“แล้วรุ่ยอ๋องคิดว่าอย่างไร” มู่ชิงเกอขยับตัวไปข้างหน้า ในแววตาแฝงการคาดคั้น ฉินจิ่นห้าวอึ้ง แล้วจึงพูดอย่างจริงใจว่า “ความคิดของข้า ชิงเกอยังไม่กระจ่างหรือ ตอนนี้หากข้าแพ้ คนที่ลงเรือลำเดียวกับข้าก็คงจะเอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ได้” พูดจบ เขาพลันมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยการเตือน

มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มและไม่ใส่ใจคำข่มขู่ที่ไม่มีสาระนั่น นางนั่งพิงเก้าอี้ในขณะเดียวกันก็ผุดรอยยิ้มและพูดว่า “ในตอนนี้ สิ่งที่รุ่ยอ๋องขาดมากที่สุดคือเวลา แต่สิ่งที่ รัชทายาทมีมากที่สุดก็คือเวลาเช่นกัน หากฮ่องเต้ทรงพระประชวรจริงๆ หรือถูกกักบริเวณ เราก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ว่า มีสิ่งเดียวที่ต้องทำให้ได้นั่นก็คือเข้าเฝ้าฮ่องเต้”

ฉินจิ่นห้าวขมวดคิ้ว ไม่ค่อยพอใจในคำพูดของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอมองเขาครู่หนึ่ง พูดอย่างขบขันว่า “หากใช้ไม้อ่อนแล้วไม่สำเร็จ เราก็ต้องใช้ไม้แข็ง”

ฉินจิ่นห้าวตาเป็นประกาย พลันถามว่า “ไม้แข็งอย่างไร”

“ฮ่องเต้ทรงพระประชวร แม้กระทั่งคนสนิทอย่างเจียงกุ้ยเฟยก็ยังไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ซึ่งแน่นอนว่า ขุนนางใหญ่ท่านอื่นก็คงยากที่จะได้พบ รวมถึงรุ่ยอ๋องเองก็ขอเข้าเฝ้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ ทั้งความไม่พอพระทัยที่ฮ่องเต้มีต่อรัชทายาท เรามีเหตุผลที่เพียงพอที่จะสงสัยว่าฝ่ายรัชทายาทกักบริเวณฮ่องเต้ไว้ ท่านเป็นถึงองค์ชายที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญ ก็ควรจะเข้าไปเพื่อช่วยเหลือมิใช่หรือ” ในนํ้าเสียงอันเยือกเย็นของมู่ชิงเกอแอบซ่อนความยั่วยวนที่อันตรายถึงชีวิตไว้ชนิดหนึ่ง

“ช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ” ในแววตาของฉินจิ่นห้าวพลัน เกิดความลังเล แต่กลับลุกขึ้นอย่างแน่วแน่ “ใช่ ! เข้าไปช่วยเหลือเสด็จพ่อ”

ฉินจิ่นห้าวมองมู่ชิงเกอ ในแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแผนการของเขานั้นราวกับมีเปลวเพลิงลุกไหม้

รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอยิ่งชัดเจนมากขึ้นกว่า เดิม นางจึงพูดต่อว่า “ต้องเร่งลงมือให้ทันการ ข้าบอกแล้วว่า สิ่งที่รุ่ยอ๋องขาดคือเวลา หากจะยื้อเวลาต่อไป จนเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ทั้งหมดก็จะสายเกินไป”

“ใช่  เสด็จพ่อถูกพวกเขากักตัวเอาไว้และไม่รู้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด ข้าจะไปช่วยเสด็จพ่อ! ประจานแผนการชั่วๆ ของคนพวกนั้นให้โลกได้รับรู้!” ฉินจิ่นห้าวพูดอย่างสมเหตุสมผล

มู่ชิงเกอยิ้ม “หากรุ่ยอ๋อง มีใจที่กตัญญูต่อบุพการี ข้าและกองทหารตระกูลมู่ที่พร้อมจะรับคำสั่งจากรุ่ยอ๋อง และข้าก็จะนำทหารองครักษ์ของข้าไปเป็นกองหน้าให้กับการรบในครั้งนี้ด้วย”

กองทหารตระกูลมู่! กองทัพแคว้นฉินที่ไม่เคยพ่ายแพ้! ตระกูลมู่ ผู้เป็นที่นับถือของประชาราษฎร์แคว้นฉิน!

ท่ามกลางภาพจินตนาการที่มู่ชิงเกอสร้างขึ้น ฉินจิ่นห้าวราวกับมองเห็นภาพตนเองได้ครอบครองอำนาจอันสูงสุดจนถึงขั้นเห็นภาพอนาคตที่ตนเองนำกองทหารตระกูลมู่สู้รบไปทั่วทุกสารทิศ จนแคว้นทุกแคว้นต่างยอมศิโรราบ

ณ วังหลวงแคว้นฉิน ภายในตำหนักข้างธรรมดาแห่งหนึ่ง มีกลิ่นหอมจางๆ ของยาลอยฟุ้งออกมา

ภายในตำหนัก มีคนอยู่ไม่มากนักและมีเตียงนอนเตียงหนึ่งที่มีร่างอันแสนอ่อนแรงนอนอยู่

เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ คนผู้นั้นกลับเป็นฮ่องเต้แคว้นฉิน คิดไม่ถึงว่า คนผู้นี้จะเป็นผู้ที่หลายวันก่อนหน้านี้ดูแข็งแรงปราดเปรียวคนนั้น……….

นอกม่านหนาหลายชั้น มีคนยืนอยู่สองคน

คนหนึ่งสวมมงกุฎหงส์งามสง่า อีกคนหนึ่งสวมชุดประจำตำแหน่งรัชทายาท ใบหน้าหล่อเหลา

“เสด็จแม่ หมอหลวงว่าอย่างไรบ้าง” ฉินจิ่นซิวมองบริเวณม่านครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถาม

หานฮองเฮาส่ายหน้าพูดด้วยสายตาที่ฉายแววเคร่งขรึมว่า “ยังไม่รู้สาเหตุ สิ่งเดียวที่ตรวจพบคือพลังจิตภายในร่างกายของเสด็จพ่อของเจ้ากำลังค่อยๆ ถูกกลืนกิน หาไม่เช่นนั้น พระองค์ก็คงจะไม่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ เช่นนี้”

“ถ้าเช่นนั้น…เสด็จพ่อ ยังทรงเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่” ฉินจิ่นซิวรีบถามอย่างกระวนกระวาย ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ หานฮองเฮาก็ขมวดคิ้วเบาๆ ฉินจิ่นซิวไม่ทันสังเกตปฏิกิริยาของนาง จึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ เสด็จพ่อทรงไม่พอพระทัยในตัวข้าแล้ว ไอ้เจ้าสวะฉินจิ่นห้าวเองก็แอบส่งคนไปสอดแนมข้า นำความลับทั้งหมดของข้าไปบอกเสด็จพ่อ โชคดีที่ฟ้ายังเมตตา เสด็จพ่อยังไม่ได้ทำอะไรก็ประชวรเสียก่อน หากพระองค์ทรงจากไปเช่นนี้ข้าก็ยังคงเป็นรัชทายาท ฮ่องเต้แคว้นฉินในอนาคต!”

“โชคเจ้ายังดีตอนที่เสด็จพ่อเจ้าประชวรจนล้มลงเป็นตอนที่กำลังดุด่าเจ้าพอดี หากโดนนังแพศยาแซ่เจียงได้โอกาสนี้ไปก่อนล่ะก็ อยากจะรู้นักว่าเจ้ายังจะพูดด้วยท่าทางสบายอกสบายใจอย่างนี้ได้อีกหรือไม่” หานฮองเฮาตำหนิเขาอย่างหมดความอดทน

เมื่อถูกต่อว่า ใบหน้าของฉินจิ่นซิวจึงเคร่งขรึมลง

เขาเก็บความโกรธเอาไว้ มิได้ตอบกลับ

หานฮองเฮาจึงพูดอย่างกลุ้มใจว่า “เสด็จพ่อของเจ้า แม้จะดูประชวรหนัก แต่หมอหลวงบอกว่า ยังไม่ถึงแก่ชีวิตภายในเวลาอันสั้นนี้และนังแพศยาแซ่เจียงนั่นก็ไม่ ยอมอยู่เฉยเอาไทเฮามาอ้างในการขอเข้าพบเสด็จพ่อของเจ้าหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะไทเฮาไม่พอพระทัยในตัวนางตั้งแต่แรก จึงหวังให้เจ้าเป็นรัชทายาท เรื่องทั้งหมดคงจะไม่จัดการได้ง่ายดายเช่นนี้”

“สำหรับอาการประชวรของเสด็จพ่อ เสด็จแม่คิดว่า…” ฉินจิ่นซิวถามอย่างระมัดระวัง

หานฮองเฮาพูดพร้อมรอยยิ้มอันเยือกเย็น “แม้ว่านางจะไม่ได้เข้ามาโดยตรง แต่ว่านางแอบไปถามหมอหลวงที่รักษาเสด็จพ่อของเจ้า โชคดีที่ในคราวนี้ เราไม่ได้เป็นคนลงมือ ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าตอนนี้ทางตำหนักฉือเสียงจะยังนิ่งอยู่อีกหรือ”

ฉินจิ่นซิวมองไปที่หลังม่าน สายตาฉายความโหดเหี้ยมและพูดกับหานฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ ถ้าเช่นนั้น เรา…” ในขณะนั้นเองเขาก็เอามือวาดผ่านลำคอแสดงท่าทาง ‘ฆ่า’

‘เจ้าจะฆ่าเสด็จพ่อรึ!’

สายตาของหานฮองเฮาเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด สบตากับโอรสท่ามกลางความเงียบ

ทั้งสองมองคนที่ยังคงนอนอยู่หลังม่านเป็นตาเดียวกัน

“หากยื้อเวลาต่อไป ข้าเกรงว่าฉินจิ่นห้าวจะเข้ามายุ่ง” ฉินจิ่นซิวหรี่ตาทั้งคู่ พูดอย่างเหี้ยมโหด

หานฮองเฮาเม้มโอษฐ์ประเมินส่วนได้เสียในแผนการครั้งนี้ ครู่หนึ่งพระนางจึงตรัสว่า “น้าของเจ้าตั้งค่ายอยู่ทางตอนเหนือ ในตอนนี้คงจะช่วยอะไรไม่ได้ในลั่วตูแห่งนี้ นอกจากกองทหารตระกูลมู่จำนวนหนึ่งแสนนายที่ตั้งค่ายอยู่ที่ชานเมืองแล้ว ในเมืองยังมีทหารหลวงอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของตระกูลเช่า พวกเขาเป็นกลางมาตลอด ตอนนี้ไม่มีเวลามากพอที่จะดึงเข้ามาเป็นพวก ทหารรักษาเมืองฝ่ายซ้ายมีสามหมื่นคน หัวหน้าทหารเป็นคนของตระกูลเจียงส่วนฝ่ายขวาเป็นของเรา อำนาจของทั้งสองฝ่ายนี้ถือว่าสามารถลบล้างกันได้ ทหารรักษาพระองค์จำนวนสองหมื่นนายและองครักษ์ส่วนกลางอีกสี่หมื่นนายเป็นของเสด็จพ่อของเจ้าและในตอนนี้พระองค์ทรงประชวร เราสามารถใช้อำนาจของ พระองค์ในการสั่งการทหารหกหมื่นนายนี้ เจ้าพูดถูกฉินจิ่นห้าวอาจจะทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ว่า เราต้องรอ รอให้เขาลงมือเสียก่อน หากเขาลงมือ เราก็สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องการบุกรุกเข้าวังหลวงในการลงโทษและจัดการเขาเสีย”

“แต่ว่า ในตอนนี้ ตระกูลมู่และฉินจิ่นห้าวสนิทสนมกันมาก” ฉินจิ่นซิวพูดพลางขมวดคิ้ว

“ตระกูลมู่อย่างนั้นหรือ” หานฮองเฮาพูดอย่างเหยียดหยาม “มู่ซงนั้นรักความเป็นธรรม ไม่มีทางมายุ่งกับเรื่องการแย่งชิงเป็นแน่ คนที่จะออกมารับหน้าแทนก็คง จะเป็นหลานชาย เราเพียงแค่วางกับดักไว้ทั่ววังหลวงเพื่อสังหารมู่ชิงเกอ อำนาจของตระกูลมู่ก็ถือว่าหมดสิ้นลง ถึงตอนนั้น มู่ซงจะสามารถทำอะไรได้? เขาที่ซื่อสัตย์มาโดยตลอดจะลุกขึ้นมาฆ่าเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไรเล่า”

หานฮองเฮามั่นใจมาก ราวกับเดาอุปนิสัยของมู่ซงได้อย่างหมดเปลือก นางจึงได้ไร้ซึ่งความกลัวเช่นนี้

อีกประการหนึ่ง นางแอบคิดในใจว่า หลังจากที่ลูกชายของตนเองขึ้นครองราชย์คนหนึ่งที่จะต้องจัดการคือมู่ซง และการฆ่ามู่ชิงเกอเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ความมั่นใจของหานฮองเฮา ส่งผลกระทบต่อฉินจิ่นซิว ทำให้เขารู้สึกราวกับชัยชนะได้อยู่ในกำมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เขาจึงรีบพูดว่า “ข้าจะรีบไปสั่งการ ให้คนออกไปติดตามความเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ”

“ไม่ต้องลำบากเพียงนั้น แค่สร้างกับดักทั่วทั้งสี่ประตูวังก็พอแล้ว” หานฮองเฮาตรัสพร้อมรอยยิ้มอันเย็นเยียบ

พูดจบ ทั้งสองก็ออกจากตำหนักไป

ท่ามกลางพวกเขา ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งที่กำลังตัวสั่นหลบอยู่ใต้เตียงและได้ยินบทสนทนาของพวกเขาด้วยใบหน้าที่แฝงความหวาดกลัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version