Skip to content

พลิกปฐพี 93-4

ตอนที่ 93-4

คุณชาย หน้าตาเล่า?

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ตอบเขาตามตรง เพียงแต่พูดอย่างลึกลับว่า “อืม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็จงตั้งใจฝึกพลังอยู่ที่จวนเถิด”

“ลึกลับถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เจ้าอ้วนเช่าพลันรู้สึกหมดกำลังใจ

“หืม ที่แท้ที่นี่ก็สามารถมองเห็นถนนสายที่ออกจากเมืองด้วย” ทันใดนั้น ตาเล็กๆ ของเจ้าอ้วนเช่าก็เป็นประกาย ราวกับได้ด้นพบดินแดนใหม่อย่างนั้น

รูปร่างอย่างเขา สำหรับการปีนเขาแล้ว เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย

ในวันนี้หากไม่ใช่มู่ชิงเกอที่เป็นคนชวน เขาก็คงจะไม่ยอมขยับเท้าของตนเองเลยแม้แต่ก้าวเดียว

เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ทราบว่าศาลาหลังคาแปดเหลี่ยมบนภูเขานี้ สามารถมองเห็นถนนสายที่ใช้ออกจากเมืองที่อยู่ตรงตีนเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ และในขณะนี้ ก็มีคนและม้าจำนวนหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนขบวนผ่านดั่งงูที่ยาวคดเคี้ยว

“นั้นมันขบวนของแคว้นถูใช่หรือไม่” เจ้าอ้วนเช่าสามารถเดาได้ว่าคนพวกนั้นเป็นใครอย่างง่ายดาย

เขาพูดเองเออเองโดยไม่ได้สังเกตว่ามู่ชิงเกอที่อยู่ข้างๆ ได้หยุดสายตาบนขบวน แต่ที่แตกต่าง นั้นก็คือ นางมองตรงไปที่รถม้าซึ่งใช้ม้าจำนวนถึงแปดตัวในการลากตัวรถประดับประดาไปด้วยผ้าสีทองและสีแดง

นั่นมัน ขบวนเสด็จขององค์หญิง

ในวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นวันที่คณะทูตแคว้นถูจะเสด็จกลับแคว้น แต่ยังเป็นวันที่องค์หญิงฉางเล่อแห่งแคว้นฉินจะออกเรือนด้วย

สำหรับฉินอี้เหยาแล้ว ตอนนี้จิตใจของนางคงกำลังสับสนวุ่นวาย

ในตอนนี้ การมาส่งนางที่นี่บางทีอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ตนเองสามารถทำให้นางได้

เมื่อส่งฉินอี้เหยาเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่นางจะต้องลงมือจัดการเรื่องของตนเองเสียที

นางเสียเวลากับการอยู่ในแคว้นฉินมากเกินไปแล้ว ยิ่งกระจ่างถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของหลินชวน นางก็ยิ่งอยากจะออกไป อยากจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่แตก ต่างกันไปและประวัติศาตรของแต่ละแคว้น

แต่ว่า ก่อนอื่นนางจะต้องทำให้ตระกูลมู่หมดสิ้นความกังวลเสียก่อน

“ลูกพี่ หากท่านทำใจไม่ได้ เราไปชิงตัวองค์หญิงกลับมา !” ทันใดนั้น คำพูดอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าอ้วนเช่า ก็ตัดบทความคิดของมู่ชิงเกอ

นางหันกลับมาสบกับสายตาอันแน่วแน่ของเจ้าอ้วนเช่า นางเข้าใจในทันทีว่า เจ้าอ้วนเช่ากำลังเข้าใจผิด เป็นความจริงที่ว่านางมาส่งฉินอี้เหยา แต่ว่านางไม่ได้คิด เช่นนั้น แต่ที่ทำให้นางคาดไม่ถึงคือ เจ้าอ้วนเช่าดูออกว่านางมาเพื่อส่งฉินอี้เหยา

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอเงียบไป เจ้าอ้วนเช่าจึงคิดว่าตนเองเดาถูก จึงพูดต่อไปว่า “ลูกพี่ เป็นลูกผู้ชายจะลังเลอะไรอยู่อีก องค์หญิงเป็นคนดี หากท่านชอบก็ไปแย่งนางกลับมา ยังไงนางเป็นของท่านตั้งแต่แรก หากแคว้นถูไม่พอใจก็ทำสงครามกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด แคว้นฉินของเราไม่มีอะไรต้องกลัว ให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งแบกรับสันติสุขของคนทั้งแคว้นเอาไว้ มันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายพึงกระทำ อย่างไรก็ตามหากรบกับแคว้นถู ข้า ไอ้อ้วนเช่าผู้นี้จะเป็นคนแนวหน้าบุกทะลวงเอง”

มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าอ้วน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีสติปัญญาดีเช่นนี้ แต่ว่า ที่ข้ามาส่งองค์หญิง เพียงแค่ระลึกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันที่ผ่านมา ข้าไม่ได้คิด กับนางอย่างที่เจ้าคิด”

“ลูกพี่ไม่ต้องมาปิดบังข้า” แต่ทว่า เจ้าอ้วนเช่ากลับไม่เชื่อ เมื่ออธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจ มู่ชิงเกอเองก็ไม่อยากจะเปลืองน้ำลายต่อไป

นางมองทางที่อยู่ตีนเขา ขบวนยาวเหลือเพียงแค่หางขบวน ฉินอี้เหยาที่อยู่หน้าสุดไม่เหลือแม้เพียงเงาตั้งนานแล้ว

“ใคร!”

ทันใดนั้น ทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ภายในศาลาได้ส่งเสียงเตือน

มู่ชิงเกอและเจ้าอ้วนเช่าหันกลับไปมอง เห็นเพียงแค่ร่างอันสูงโปร่ง กำลังเดินมุ่งหน้ามาหาพวกเขา

ส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ออกไป มู่ชิงเกอพาผู้มาเยือนเดินเข้าศาลาหลังคาแปดเหลี่ยม

“เจ้าอ้วน เจ้าออกไปรอข้าข้างนอกก่อน” มู่ชิงเกอมองผู้มาเยือน พลางสั่งเจ้าอ้วนเช่า

ไม่ได้พูดอะไรมาก เจ้าอ้วนเช่าก็ถอยออกไป

ภายในศาลา เหลือเพียงมู่ชิงเกอและเขา

นางผุดรอยยิ้มและพูดว่า “วันนี้เป็นวันดีอะไร ถึงได้ทำให้ผู้เก็บเนี้อเก็บตัวและร่างกายอ่อนแออย่างเสียนอ๋องเสด็จมาเที่ยวป่าปีนเขาเช่นนี้ได้”

“ข้ามาส่งคน” ฉินจิ่นเฉินพูดอย่างเย็นชา ในส่วนลึกของนัยน์ตาขาวและดำที่ตัดกันอย่างชัดเจน ยังคงไม่เผยความรู้สึกอื่นใด คนที่เขาพูดถึงเป็นใครไม่ต้องถาม มู่ชิงเกอเองก็รู้

นางยิ้มจางๆ พลันก้มหน้าลงและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น กระหม่อมไม่รบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบ นางก็เตรียมจะออกจากศาลา

แต่ทว่า ทันทีที่นางจะออกไป ฉินจิ่นเฉินก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เจ้าเตรียมจะลงมือแล้วหรือ” มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้า ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางพูดว่า “ไม่ใช่กระหม่อมที่จะลงมือ เพียงแต่มีคนอดทนรอไม่ไหว กระหม่อมเพียงแค่ยืดมั่นในอุดมการณ์ของตระกูลมู่ นั่นคือซื่อสัตย์และรักชาติ”

“ข้าจะไม่มีทางนั่งบนบัลลังก์จอมปลอมนั่น” ฉินจิ่นเฉินเผยความในใจของตนเองออกมา

มู่ชิงเกอหันกลับไป มองเขาอย่างไม่ใส่ใจ “พระองค์จะเลือกทางเดินอย่างไร ก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์ กระหม่อมเพียงแค่ทำลายสิ่งที่มาทำให้ตระกูลมู่ไม่มั่นคง บัลลังก์นั่นใครจะนั่งก็ได้ แต่ต้องไม่ทำให้ตระกูลมู่ต้องเดือดร้อน”

“เคยมีใครบอกว่าเจ้าบ้าบิ่นหรือไม่” ฉินจิ่นเฉินมองหน้านางแล้วพูด

มู่ชิงเกอกระตุกปากอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วจะทำไม”

คำตอบที่หยิ่งยโส สายตาที่บ้าคลั่ง…

ฉินจิ่นเฉินก้มหน้าลง พูดอย่างเย็นชาว่า “หากข้าไม่ลงมือ…”

“แผนการของกระหม่อม ไม่เคยมีพระองค์อยู่พ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง ความเย็นเยียบที่แฝงอยู่ในแววตาขัดจังหวะคำพูดของฉินจิ่นเฉิน

ฉินจิ่นเฉินยิ้มขื่น ราวกับว่า เขาได้กระจ่างในจุดประสงค์ของมู่ชิงเกอแล้ว

ทั้งรุ่ยอ๋องและรัชทายาท ต่างก็ไม่มีทางเมตตาต่อตระกูลมู่เป็นแน่ เพราะฉะนั้นนางจะทำให้พวกเขากัดกันและเดินเข้าหาจุดจบของชีวิตไปพร้อมๆ กัน จากนั้นใครจะนั่งบนบัลลังก์นั่น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับนาง

อย่างที่นางได้กล่าวเอาไว้ใครก็ได้ที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลมู่ก็เพียงพอแล้ว

เพราะฉะนั้น สำหรับนางแล้ว เขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดงั้นหรือ? ฉินจิ่นเฉินไม่รู้ว่าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือไม่ แต่ว่า เขากลับรู้ดีว่า สำหรับเรื่องนี้เขาจะทำให้นางผิดหวัง

เพราะว่า เขาได้รับปากอวิ๋นเฟย พระมารดาเลี้ยงของตนเองไว้ว่า เขาจะไม่มีวันแย่งชิงบัลลังก์นั้นเด็ดขาดและจะไม่มีทางขึ้นไปนั่งบนนั้นแน่ๆ

ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตรงหน้าฉินจิ่นเฉินว่างเปล่าไม่เหลือใครเลย

ก้อนเมฆสีแดงอันเย้ายวนนั้นได้จากไปไกลโดยไม่เห็นแม้เพียงเงา

แววตาของเขาดูคลุมเครือ เม้มปาก จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version