Skip to content

พลิกปฐพี 95-3

ตอนที่ 95-3

สิ่งที่ติดค้างข้า ได้เวลาเอาคืนแล้ว!

มู่ชิงเกอรับปากรับเขาว่าจะร่วมมือกับเขาและอยู่ข้างเขามิใช่รึ แล้วเหตุใดการกระทำจึงตรงข้ามกับคำพูดเช่นนี้

“เพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอพึมพำ พร้อมช้อนสายตาอันเย็นเยียบราวกับนํ้าแข็งขึ้นมา พูดกับเขาโดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ว่า “ตระกูลมู่ของเรา ซื่อสัตย์มาโดยตลอด ไม่เคยคิดที่จะทรยศหักหลังบ้านเมือง แต่กลับถูกราชวงศ์คิดร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไร้ซึ่งสาเหตุ ข้าเองก็อยากจะถามว่าเพราะเหตุใด เมื่อรู้ว่า อย่างไรก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ตระกูลมู่ของเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวและอดทนอะไรอีกต่อไป สิ่งที่ราชวงศ์ทำกับตระกูลมู่และสิ่งที่เจ้าทำกับข้า วันนี้จะต้องชดใช้ทั้งหมด”

เรื่องที่เกิดขึ้นที่ที่ราบลั่วรื่อ มู่ชิงเกอไม่ต้องการคำตอบจากฉินจิ่นห้าวแล้ว

เพียงเรื่องเลวๆ ที่เขาทำกับตระกูลมู่ก็เพียงพอต่อการตายของเขาในวันนี้อีกประการหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นในที่ราบลั่วรื่อ นอกจากเขาแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นใครไปได้อีก

เหอเฉิง ตระกูลเหออย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะมีความกล้ามากเท่าไหร่ หากไม่มีคนคอยหนุนหลัง ให้ตายอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้ามีปัญหากับตระกูลมู่!

“มู่ชิงเกอ เจ้าสมควรตาย เจ้าสมควรตายตั้งแต่ในที่ราบลั่วรื่อแล้ว! เพราะไอ้เหอเฉิงไอ้คนไร้ประโยชน์แม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ ก่อนตายยังคิดจะแว้งกัดข้า และเจ้ามันก็แค่โชคเข้าข้าง เจ้ารอดูวันที่โชคดีของเจ้าหมดไป จุดจบของเจ้าก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่านี้หรอก!” ฉินจิ่นห้าวพูดอย่างบ้าคลั่ง

“หุบปาก!” มู่เหลียนหรงยกมือขึ้นสะบัด แสงสีคราม กระจายออกจากมือของนางและกระทบกับใบหน้าของเขา จนเลือดกลบปาก

สายคราม! มู่เหลียนหรงทะลวงสู่สายครามแล้วหรือ!

ยังมีมู่ชิงเกอที่เขายังไม่สามารถประเมินความสามารถได้ แต่เขามีคนเดียว

ฉินจิ่นห้าวโกรธตนเองที่หลงเชื่อมู่ชิงเกอ จึงได้มาที่นี่กับนางโดยลำพัง เขากลับคิดไม่ถึงว่า แม้จะพาคนมามากสักเพียงไหนมันก็ไร้ประโยชน์

มู่ชิงเกอยกมือขึ้น ระหว่างปลายนิ้วของนางหนีบยาอยู่เม็ดหนึ่ง “ฆ่าเจ้า เปลืองแรงข้ามากเกินไป ให้มันส่งเจ้าไปก็แล้วกัน”

“นั้นมันอะไร” ฉินจิ่นห้าวเอามือหุบปากและถอยหลัง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังและตึงเครียด

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก รอยยิ้มนั้นดูโหดเหี้ยมยิ่งนัก “แค่ของเล่นสนุกๆ ก็เท่านั้น”

แสงสีรัตติกาลแสงหนึ่งสาดความสว่างออกจากมือของนางและพุ่งเข้าปากของฉินจิ่นห้าวด้วยความไวเหนือแสง เมื่อยาเข้าปาก ฉินจิ่นห้าวก็ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะคายมันออกมา

“อ๊าก——— !” ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ดั่งมดนับหมื่นตัวคลานอยู่ภายในร่างกาย ความรู้สึกดั่งเส้นเลือดขาด ทำให้ฉินจิ่นห้าวร้องเลียงหลงอย่างทนไม่ได้ มือของเขาดึงผิวหนังของตนเองอย่างสุดแรงเกิด ราวกับว่า อยากจะจับมดที่อยู่ในร่างกายออกมา

ครู่หนึ่ง ใบหน้าอันงดงามที่เคยทำให้มู่ชิงเกอคนเดิมหลงใหลก็กลับกลายเป็นไม่เหลือสภาพ ผิวหนังก็ไม่เหลือชิ้นดี

ม่เหลียนหรงดูแล้วรู้สึกตื่นตระหนก มู่ชิงเกอกลับใบหน้านิ่งสงบและเดินออกจากห้องทรงอักษรไป

ท่ามกลางความดิ้นรน ฉินจิ่นห้าวมองตราประทับที่อยู่บนโต๊ะอย่างไม่จำยอม ความทรมานในร่างกาย เทียบไม่ได้กับความฝันที่แตกสลาย อีกก้าวเดียว เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ตอนนี้เขากลับโดนถีบลงเหวเช่นนี้

“มู่ชิงเกอ เจ้ามันจิตใจอำมหิต!” ในปากของฉินจิ่นห้าว ได้พ่นคำพูดอันโหดเหี้ยมออกมามากมาย

ภายนอกห้องทรงพระอักษร กองทหารตระกูลมู่กำลังล้างทำความสะอาดคราบเลือดที่ติดอยู่บนบันได แสงแรกของวันได้สาดฉายบนพื้นแผ่นดิน กลบความมืดในยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ผู้ที่เดินตามออกมาคือ มู่เหลียนหรง : “ท่านอา หลังจากที่เขาสิ้นใจ ก็ทำให้หัวของเขาหลุดออกจากบ่าเสีย ข้าจะไปหา เสียนอ๋อง”

มู่เหลียนหรงพยักหน้า มองมู่ชิงเกอที่เดินลับตาไป

ณ ตำหนักหว่านเสีย ความเงียบสงบของที่นี่ กลายเป็นพื้นที่ที่บริสุทธิ์ที่เดียวภายในวังหลวง

เมื่อมู่ชิงเกอมาอยู่ที่นี่ ภายในตำหนักไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเงาร่างในชุดสีเหลืองอันสูงโปร่ง เขายืนเอามือประสาน รับลมเย็นและมองพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ที่หน้าประตู

แสงสีเหลืองทองสาดแสงสว่างลงบนกระเบื้อง ส่งความอบอุ่น แต่ก็มิอาจกลบความเงียบเหงาและความสงบในตัวของเขาได้ จนกระทั่ง แสงสีส้มนั้นได้ปกคลุมตัวของเขาเอาไว้จึงทำให้นัยน์ตาที่ตาขาวและดำแยกออกจากกันอย่างชัดเจนคู่นั้นอบอุ่นขึ้นบ้าง

งดงามราวกับภาพวาด มู่ชิงเกอไม่เคยปฏิเสธความงามของฉินจิ่นเฉิน

แต่ทว่า กลับไม่ชอบความเย็นชาในตัวของเขา

นางเดินเข้ามา ทำให้เสื้อเกราะที่สวมอยู่กระทบกัน ทำลายความเงียบสงบ จนฉินจิ่นเฉินที่ยืนอยู่บนระเบียงรู้สึกตัว เขาค่อยๆ หันหน้ากลับไป สายตาอันแน่วนิ่งจับจ้องบนร่างของมู่ชิงเกอ โดยไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร

“อวิ๋นเฟยเป็นอย่างไรบ้าง’’มู่ชิงเกอเดินขึ้นบนระเบียงไป ยืนอยู่เคียงข้างเขา

เมื่อพูดถึงบุคคลที่มีความสำคัญกับชีวิตเช่นนี้ในที่สุด แววตาของฉินจิ่นเฉินก็เหมือนถูกสะกิด เขาค่อยๆ หันหน้ากลับไป ขนตาบดบังความรู้สึกจนมู่ชิงเกอไม่อาจประเมินความรู้สึกของเขาได้: “เสด็จแม่เสียพระทัยมาก เรื่องที่สูญเสียเหลียนเหลียน ไม่อาจทำใจได้ในทันที แต่ว่า ข้ายังอยู่ ข้าจะอยู่เคียงข้างพระองค์เอง”

มู่ชิงเกอมองเขาครู่หนึ่ง พลันหันไปมองพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่ท้องฟ้า “พระองค์ช่างแปลกนัก ท่าทางเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งเช่นนี้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า หากมิอาจปล่อยวางได้ เหตุใดจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจ?”

ฉินจิ่นเฉินกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากเบาๆ “ชินเสียแล้ว”

ชินแล้วอย่างนั้นหรือ คำพูดเพียงคำเดียว กลับทำให้มู่ชิงเกอคิดอะไรได้มากมาย

บางที อาจจะเป็นเพราะฐานะของฉินจิ่นเฉินและวัยเด็กของเขาจึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้ บางทีนางควรจะดีใจ ที่ฉินจิ่นเฉินไม่ได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต จึงทำให้ในวันนี้ ศัตรูของนางน้อยลงไปอีกคนหนึ่ง

“ฉินจิ่นห้าวตายแล้ว ตราประทับอยู่ในห้องทรงอักษร” มู่ชิงเกอพูด

ฉินจิ่นเฉินมิได้แสดงความตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เพียงกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่า ข้าจะไม่รับช่วงต่อบัลลังก์นั่น”

“แล้วแต่พระองค์ อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นสิทธิ์ของตระกูลฉินของพระองค์” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจ นางมองฉินจิ่นเฉิน พลันพูดอย่างจริงจังว่า “แต่ว่า คนที่กระหม่อมเชื่อใจ มีเพียงพระองค์”

ความหมายก็คือ บัลลังก์นั่นใครนั่งก็ได้ แต่ทว่า นางเชื่อใจเขา หากเขาไม่สามารถควบคุมคนที่จะมารับช่วงต่อได้ จะทำให้ตระกูลมู่ตกอยู่ในอันตราย เรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อคืนนี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงความนัยที่แฝงอยู่ ฉินจิ่นเฉินก็พลันยิ้มอย่างทุกข์ใจ “เจ้ากำลังบีบบังคับข้าหรือ”

มู่ชิงเกอมิได้ปฏิเสธและมิได้ยอมรับ

ครู่หนึ่ง เขาจึงถอนหายใจและยอมแพ้ “ช่างเถอะ ข้ายัง มีน้องชายคนที่ จ็ดอีกคน บัลลังก์นี้ก็ให้เขานั่งเถอะ”

“องค์ชายเจ็ด ฉินจิ่นหยาง” ในหัวของมู่ชิงเกอพลันคิดถึงข่าวเกี่ยวกับองค์ชายผู้ยังไม่เจริญวัยองค์นี้ในทันที ข่างกรองบอกว่าเสด็จแม่ขององค์ชายเจ็ด เป็นเพียงแค่ นางกำนัลในวังหลวง หลังจากที่ให้กำเนิดพระองค์ก็ถูกเจียงกุ้ยเฟยตีตายด้วยโทษที่นางไม่ได้ก่อ หลังจากนั้นได้ยกองค์ชายเจ็ดให้กับฮองเฮา

แต่ทว่า ฮองเฮาใส่ใจเพียงโอรสของตนเอง ไหนเลยจะมีเวลาใดมาสนใจองค์ชายเจ็ดองค์นี้

ดังนั้น ฐานะขององค์ชายเจ็ด ในวังหลวงแห่งนี้ ก็เหมือนกับฉินจิ่นเฉินในตอนแรก ที่เป็นดั่งอากาศธาตุ เพราะอายุยังน้อย แต่ไม่มีคนคอยหนุนหลัง การแย่งชิงจึงไม่มีทางตกมาถึงตัวเขาได้

“เจ้าก็รู้จักเขา แล้วเจ้าคิดว่าเขาเป็นอย่างไร” ฉินจิ่นเฉินถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอได้สติจากห้วงความคิด พลันพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากพระองค์คิดว่าได้ก็แสดงว่าได้อย่างไรก็ตาม เรื่องของข้าก็สำเร็จแล้ว ที่เหลือก็ให้พระองค์เป็นผู้ จัดการ”

“เจ้าช่างทิ้งทุกอย่างไปได้เด็ดขาดเสียจริง” ฉินจิ่นเฉินถอนหายใจอย่างเหลือทน

“จะพูดอย่างไรก็สุดแล้วแต่พระองค์” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจ เรื่องทุกอย่างได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วและนางก็เตรียมพร้อมที่จะจากไป

แต่ทว่า ในขณะที่นางกำลังจะจากไป ฉินจิ่นเฉินก็ได้พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เจ้าจะให้ฉางเล่อออกเรือนไปกับรัชทายาทแคว้นถูจริงๆ หรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version