ตอนที่ 95-5
สิ่งที่ติดค้างข้า ได้เวลาเอาคืนแล้ว!
องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงโห่ร้อง พุ่งเข้ามาในขบวนด้วยรังสีสังหาร รวดเร็วจนไม่มีใครทันได้ ระวังตัว
“ศัตรูโจมตี!”
ขบวนที่ตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เพียงรีบตั้งรับกับสงครามที่กำลังจะเกิด
แต่ว่า คนพวกนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ขององครักษ์เขี้ยวมังกรได้อย่างไร?
องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เพียงแค่เป็นสายเขียว สายคราม แต่ละคนยังดูเหมือนจะฆ่าไม่ตาย อีกประการหนึ่งอย่าลืมว่าพวกเขาคือกองทหารลึกลับที่ลอบสังหารโจรป่า และโจรขโมยม้าที่อยู่บริเวณชายแดนแคว้นฉินและแคว้นถูกนั้นเอง
เฮ่อเหลียนป๋าถูกการโจมตีของข้าศึกอย่างกะทันหันทำ ให้เกิดความงงงัน เขาต้องจัดการกับขบวนที่แตกกระจาย ในขณะเดียวกันก็ต้องนำทัพทำสงคราม
แต่ทว่า พอเห็นวิธีการสังหารอันโหดเหี้ยมขององครักษ์เขี้ยวมังกร เป็นเพราะความขี้ขลาดในใจทำให้เขาคิดหาโอกาสที่จะหลบหนีไป
คนพวกนั้นช่างน่ากลัวเสียจริง ลงมือเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้ร่างไร้วิญญาณนับไม่ถ้วนร่วงลงสู่พื้นพสุธา ว่องไวจนไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว
“พวกเขา….พวกเขาเป็นคนจากแคว้นฉิน ตระกูลมู่…มู่ชิงเกอ!”เฮ่อเหลียนป๋าจำเสื้อเกราะอันมีเอกลักษณ์และกองทหารที่อยู่บนหลังของอาชาเพลิงได้ดี
เขาเดาถูกแล้ว แต่ทว่ากลับไม่กระจ่างว่าเหตุใดคนของ มู่ชิงเกอจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้
ภายในรถม้า เหล่านางกำนัลต่างก็นั่งกอดกันแน่นหลบอยู่ข้างๆ ฉินอี้เหยาด้วยหวาดกลัว แต่ละคนต่างก็ตัวสั่นไม่หยุด ผ้าสีแดงที่พันอยู่รอบรถม้า เต็มไปด้วยโลหิต แม้พวกนางจะไม่ได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นข้างนอกด้วยตาต เอง แต่พวกนางก็สามารถจินตนาการได้ถึงภาพความโหดเหี้ยมนั้น
“องค์หญิง พวกเราควรทำอย่างไรดีเพคะ” นางกำนัลมองฉินอี้เหยาอย่างขอความช่วยเหลือ
ฉินอี้เหยาลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ในแววตาไร้ซึ่งความตื่นตระหนก “เอากระบี่ของข้ามา”
นางกำนัลใจกล้าคนหนึ่งรีบเอากระบี่ที่แขวนอยู่ในรถม้าลงมาในทันที พลันยื่นให้กับฉินอี้เหยา
แสงอันเยือกเย็นส่องประกายเผยให้เห็นกระบี่ที่ถูกดึงออกมา
ฉินอี้เหยามองนางกำนัลที่กำลังนั่งเบียดกันเพราะความกลัวด้วยสายตาอันเย็นเยียบ “พวกเจ้าอยู่กับข้ามานานหลายปี อย่างน้อยก็คงได้เรียนวิชาป้องกันตัวเบื้องต้นมาแล้วบ้าง แม้จะไม่เคยสู้กับผู้ใด แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ ก็จำเป็นต้องมีความสามารถที่จะตอบโต้ วันนี้พวกเจ้าคงต้องร่วมสู้ไปพร้อมกับข้า ไม่จำเป็นต้องสู้สุดชีวิต แต่หากหาโอกาสหนีได้ก็จงหนีไปเลย ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
“ไม่ องค์หญิงเราจะทิ้งพระองค์ไว้ที่นี่ได้อย่างไร หากจะหนี องค์หญิงก็ด้องหนีไปด้วยกัน พวกข้าจะคอยปกป้องพระองค์อยู่ข้างหลัง” นางกำนัลพูด
ฉินอี้เหยากลับส่ายหน้า “หากยังเห็นว่าข้าเป็นเจ้านายของพวกเจ้า ก็จงฟังคำสั่งของข้า”
ในสายตาของเหล่านางกำนัลเผยให้เห็นความไม่จำยอม
ในตอนนี้เสียงหนึ่งดังขึ้นนอกรถม้า “องค์หญิง กระหม่อมคือหัวหน้าองครักษ์เขี้ยวมังกรทหารองครักษ์ของคุณชายชื่อมั่วหยาง ได้รับคำสั่งให้มารับองค์หญิง กลับแคว้น ขอให้องค์หญิงมิต้องทรงกังวลพระทัยและไม่ต้องกลัว ขอให้ทรงรออยู่บนรถม้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เขา! เขามาแล้ว!
ฉินอี้เหยาตกใจเหมือนดังถูกฟ้าผ่า นั่งนิ่งไม่ขยับตัว มือที่กำกระบี่แน่นหล่นลงบนพื้นของรถม้าจนส่งเสียงดังออกมา
ความเย็นชาในดวงตาอันงดงาม ละลายกลายเป็นหยดนํ้าและไหลรินลงมา
คำพูดของมั่วหยางทำให้ทุกคนภายในรถม้าเงียบลง และไม่กลัวอีกต่อไป
ไม่นาน ข้างนอกก็ค่อยๆ เงียบลง เสียงสังหารอันน่าสยองขวัญได้หายไป เหลือไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดที่วนเวียนอยู่รอบๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ทันใดนั้นผ้าม่านสีแดงบนประตูรถม้าพลันถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่เย็นเยียบแต่ไม่คุ้นเคยของชายหนุ่มหลายคน
เหล่านางกำนัลต่างก็ตกใจ แต่ฉินอี้เหยากลับรีบมองหาใบหน้าของคนที่นางรอคอย เมื่อไม่พบ สายตาก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า…………
องครักษ์เขี้ยวมังกรแบ่งเป็นสองฝั่ง จึงเผยให้เห็นมั่วหยาง
เขายืนอยู่นอกรถม้า พลันพูดกับฉินอี้เหยาว่า “องค์หญิง ทุกอย่างจบลงแล้ว เชิญองค์หญิงลงจากรถม้า คุณชายกำลังรอพระองค์อยู่พะย่ะค่ะ” คำพูดนี้ได้จุดประกายความหวังในใจของฉินอี้เหยา
นางหลุดออกจากความเงียบที่สะสมมาหลายวัน กระโดดลงจากรถม้าอย่างรวดเร็วและเดินตามมั่วหยางไปหามู่ชิงเกออย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
และนางกำนัลที่เดินตามหลังนางมา เมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ โลหิตที่ย้อมผืนแผ่นดินจนเป็นสีแดงก็รู้สึกคลื่นไส้ แล้วรีบเอามืออุดปากเอาไว้
ทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรหลายนายเผยสายตาที่แฝงการดูถูก
ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว………………..
เงาร่างอันสง่าผ่าเผยและสูงโปร่ง ทำให้ฉินอี้เหยาหยุดชะงักฝีเท้า
นางเดาไม่ออกว่า มู่ชิงเกอมาอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด รู้เพียงว่า เมื่อเห็นเงาร่างอันไร้หนทางใดที่จะลืมเขาได้ หัวใจของนางก็พลันเต้นแรงดั่งรัวกลอง
ในที่สุดนางก็เดินเข้ามาใกล้ จนเห็นร่างไร้วิญญาณของเฮ่อเหลียนป๋าที่ตอนนี้ถูกมู่ชิงเกอเหยียบอยู่
ในขณะนี้นางจึงสังเกตเห็นว่ารอบๆ นอกจากขบวนส่งตัวของนางแล้ว คณะทูตของแคว้นถู ไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างตายอยู่ที่นี่ ส่วนสภาพการตายนั้นเลวร้ายเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอหรือองครักษ์เขี้ยวมังกรชอบวิธีการสังหารเช่นนี้ แต่ทว่าพวกเขา มักจะใช้วิธีที่ง่ายและสะดวกรวดเร็วที่สุดในการสังหาร เพราะฉะนั้นจึงลงมือ บนอวัยวะสำคัญ เมื่อมือกวาดผ่านที่ใด หากไม่ใช่หัวที่หลุดออกจากบ่าก็คือร่างกายที่แบ่งออกเป็นสองท่อน สรุปก็คือเมื่อออกกระบวนท่าก็จะต้องมีชีวิตที่ปลิดปลิวไป วิธีการอันง่ายดายพวกนี้ มู่ชิงเกอเป็นคนสอนองครักษ์เขี้ยวมังกรจนชำนาญด้วยตัวนางเอง ฉินอี้เหยายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองเงาร่างอันสง่าผ่าเผย คำพูดนับพันหมื่นที่มี แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในใจของนางมีคำถามมากมายแต่กลับ ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามอย่างไรดี
มู่ชิงเกอหันกลับไป นัยน์ตาคู่สว่างไสวมีความลึกซึ้งแฝงอยู่ นางไม่ได้มีความรู้สึกอันใดจากการสังหารที่เพิ่งผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ฉินอี้เหยาหลงใหล เพราะแววตาน่าเย้ายวนคู่นั้น ทันใดนั้นนางก็ได้ลืมเรื่องราวทั้งหมด ราวกับตกอยู่ในภวังค์
เงาร่างที่งดงามดั่งดวงสุริยา ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาหาตนเอง แต่ทว่าฉินอี้เหยากลับรู้สึกว่า ตนเองไม่สามารถขยับตัวได้ราวกับถูกแสงสาดส่องประกายนั้นสะกดเอาไว้
“ตามกระหม่อมมา” ทันใดนั้นเสียงอันเย็นเยียบดั่งนํ้าแข็งก็ได้ดังขึ้น ดึงสติของฉินอี้เหยาที่ตกอยู่ในภวังค์กลับมา
นางเดินตามมู่ชิงเกออย่างไม่รู้ตัว เดินผ่านหน้าทุกคนไป เดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนถึงป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และกิ่งไม้มากมายแห่งหนึ่ง แล้วจึงหยุดลง
จนถึงตอนนี้ นางจึงได้เอ่ยถามคำถามที่อยากรู้ที่สุดท่ามกลางคำถามนับพันหมื่นคำถามของตนเอง “เพราะเหตุใด?”
“เฮ่อเหลียนจ้านไม่เหมาะสมกับพระองได้’ มู่ชิงเกอมองนางและนางเองก็มองมู่ชิงเกอ ราวกับจะสามารถเห็นถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในแววตาอันนิ่งสงบของนาง
แต่ทว่าสุดท้ายกลับต้องผิดหวัง
ในแววตาของฉินอี้เหยามีความผิดหวังเล็กน้อยเกิดขึ้น นางก้มหน้าลงพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นชา “ การอภิเษกได้ กำหนดแล้วเหตุใดจึงไม่เหมาะสม”
“กระหม่อมมารับพระองค์กลับไปพะย่ะค่ะ” มู่ชิงเกอพูดขึ้นอีกครั้ง
ฉินอี้เหยาเงยขึ้นในทันที นัยน์ตาส่องแสงประกายแวววับออกมา
มู่ชิงเกอเม้มปากทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดเสริมว่า “พระองค์ สามารถเสด็จไปในที่ที่ทรงต้องการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทรงเป็นอิสระแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร?” ฉินอี้เหยารู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาในทันที ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของมู่ชิงเกอไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
นางพยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดในดวงตาเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่สามารถหนีสายตาของมู่ชิงเกอได้ มู่ชิงเกอแอบถอนหายใจทีหนึ่ง พลันพูดว่า “ภายในวังหลวงได้ เกิดเรื่องขึ้น รัชทายาทและฮองเฮาถูกเจียงกุ้ยเฟยและรุ่ยอ๋องสังหาร จากนั้นรุ่ยอ๋องก็สังหารฮ่องเต้…”
“อะไรนะ! เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ฉินอี้เหยาเบิกตาโตในทันที พลันมองนางอย่างไม่เชื่อ
มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชาว่า “และกระหม่อมก็ฆ่ารุ่ยอ๋องกับเจียงกุ้ยเฟย”
ไม่! เป็นไปไม่ได้!
เสียงของมู่ชิงเกอดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงกลางใจของฉินอี้เหยา
เสด็จแม่และเสด็จพี่ของนางคิดไม่ซื่อกับแคว้นฉินมาโดยตลอด สำหรับเรื่องนี้นางกระจ่างเป็นอย่างดี รวมทั้งนางยังรู้ว่า สำหรับพวกท่านแล้ว ตนเองเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่ง แต่ทว่า นางกลับคิดไม่ถึงว่า พวกท่านจะฆ่าฮองเฮาและรัชทายาทอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังไม่เว้น รวมทั้งสิ่งหนึ่งที่นางไม่เคยคิดฝันเลยก็คือ คนที่นางรักที่สุดกลับกลายเป็นศัตรูที่ฆ่าเสด็จแม่และเสด็จพี่ของนาง!
เหตุใดโชคชะตาจึงโหดร้ายกับนางเช่นนี้ !
ใบหน้าของฉินอี้เหยาขาวซีด ราวกับปราศจากโลหิต
ร่างกายสั่นไปมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้พลันเดินถอยหลังไปหลายก้าว
นํ้าตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เสี้ยววินาทีที่แล้ว นางยังตกอยู่ในความดีใจกับการปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทว่าตอนนี้กลับถูกคำพูดอันโหดร้ายของนางพังทลายลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี ความทุกข์ของฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอล้วนรับรู้ทั้งหมด
นางพูดว่า “หากพระองค์คิดจะแก้แค้น ก็มาหากระหม่อมได้ทุกเมื่อ พระองค์ยังคงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นฉิน แต่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อแคว้นฉินอีกต่อไป ชีวิต หลังจากนี้ของพระองค์จะต้องทรงเป็นผู้กำหนดเอง”
“แก้แค้นอย่างนั้นหรือ?” ฉินอี้เหยาพยายามประคับประคองร่างกายของตนเอง รอยยิ้มแวววับไปด้วยความเจ็บปวด นางมองมู่ชิงเกอด้วยความรู้สึกที่สับสนวุ่นวาย พลันถามว่า “ข้าควรจะแก้แค้นอย่างไร เสด็จพ่อของข้าถูกเสด็จพี่ของข้าสังหารและเจ้าก็สังหารพวกเขา เจ้าเป็นผู้มีพระคุณหรือศัตรูของข้ากันแน่”
มู่ชิงเกอนางครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ทรงเห็นว่ากระหม่อมเป็นศัตรูก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอี้เหยาสะดุ้งทีหนึ่ง พลันกระตุกรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เจ้ายอมให้ข้าเห็นเจ้าเป็นศัตรูเชียว”
“เสด็จแม่และเสด็จพี่ของพระองค์ต้องตายเพราะกระหม่อม พระองค์สมควรจะเกลียดกระหม่อม แต่ว่าสำหรับเสด็จพ่อของพระองค์กระหม่อมเองก็ไม่ได้อยาก ให้เขามีชีวิตอยู่” มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชา
ฉินอี้เหยาจับต้นไม้ข้างหลัง เพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้มลง หัวใจของนางตอนนี้ ราวกับถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ “เพราะเหตุใด ? เพราะเหตุใด?” เหตุใดเจ้าถึงได้อำมหิตเช่นนี้ ฆ่าญาติสนิททุกคนของข้า แต่กลับมาช่วยข้า!
มู่ชิงเกอหันหลังกลับไป โดยไม่ได้ให้คำตอบ นางเดินออกจากป่าอย่างรวดเร็วสั่งมั่วหยางที่อยู่ไกลๆ ว่า “เหลือคนและม้าไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อส่งเสด็จองค์หญิงไปในที่ที่ทรงต้องการ” พูดจบ นางก็ขึ้นหลังเพลิงรัตติกาลและจากไป
ฉินอี้เหยามองแผ่นหลังของนางที่ค่อยๆ ลับสายตาไป และไม่สามารถต้านทานทุกอย่างได้อีกต่อไป พลันล้มนั่งลงใต้ต้นไม้
มู่ชิงเกอขี่เพลิงรัตติกาลออกไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมาข้างหลังคือองครักษ์เขี้ยวมังกร
ท้องฟ้าที่ไกลสุดสายตา ดวงตะวันกำลังเคลื่อนตัวลง แสงอันงดงามตกกระทบลงบนร่างกายของทุกคน ราวกับสีโลหิตที่เพิ่มเข้ามา
“หยุด— !” เชือกม้าหยุดลง เกือกม้ายกขึ้นสูง
มู่ชิงเกอกำเชือกไว้แน่น มองดวงตะวันคล้อยที่กำลังจะลับสายตา พลันถอนหายใจ เพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ พร้อมพึมพำว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”