ตอนที่ 98-3
หนุ่มน้อยผู้งดงามผู้นี้เป็นใครกัน
“หืม ? ได้ยินมาว่าในแคว้นฉินของเรา มีเพียงท่านแม่ทัพมู่ซงแห่งตระกูลมู่ผู้เดียวที่มีอาชาเพลิงไว้ขี่!” คนพูด ถือว่ารู้ข่าวไวมาก
“ใช่ๆๆ! เจ้าพูดถูกแล้ว ตอนที่คุณชายตระกูลมู่กลับจากเมืองอี้นั้นเขาได้ขี่อาชาเพลิงกลับมา ภาพนั้น! เหอๆ ช่างหล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ตอนนั้นข้าอยู่ที่ลั่วตูและเห็นทุกอย่างกับตา” มีคนพูดเสริมขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็ตาเป็นประกายและหลุดปากพูดออกมาว่า “คนที่ผ่านไปเมื่อครู่นี้ ราวกับจะเป็นคุณชายแห่งตระกูลมู่ !”
“ห๊ะ! เขาคือคุณชายตระกูลมู่หรือ? คุณชายตระกูลมู่ที่สังหารพระมาตุลาผู้ที่ฆ่ากองทหารตระกูลมู่ไปจำนวนมหาศาลกลางถนนด้วยความแค้นผู้นั้นน่ะหรือ?” มีคน พูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
นํ้าเสียงที่แฝงความตื่นตระหนกนั้น ทำให้เขาพูดจาผิดๆ ถูกๆ ไปบ้าง
“ใช่ เขานี่แหละ! ข้าเห็นเขาตอนกลับลั่วตูกับตาของตนเอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่เกราะ แต่ข้าจำไม่ผิดแน่นอน” ผู้ที่จำมู่ชิงเกอได้พูดเพื่อยืนยัน
“คุณชายมาเยือนเมืองลั่วรื่อหรือนี่?!” เสียงฮือฮาดังขึ้นจากทั่วสารทิศ ในแววตาของทุกคนต่างก็ฉายแววตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
ในตอนนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะอันธพาลแล้ว แต่กล่าวได้ว่าเป็นที่รู้จักในทางที่ดีงาม เพราะว่าภาพที่นางฆ่าพระอนุชาของฮองเฮามันช่างเป็นการระบาย ความโกรธให้กับทุกคนและน่าตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก!
รวมทั้ง การที่นางสังหารยอดฝีมือสายครามในคราเดียว และลบล้างความหยิ่งยโสของแคว้นถูได้สำเร็จ
หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับแคว้นฉิน ล้วนมีนางปรากฏตัวอยู่ในทุกเหตุการณ์
ทำให้นางสามารถลบล้างชื่อเสียงความเป็นจอมเสเพลได้อย่างหมดสิ้น
และไม่นานมานี้ มีข่าวการสู้รบที่เกิดขึ้นในที่ราบลั่วรื่อ แคว้นฉินชนะแคว้นถูอย่างขาดลอย จนฮ่องเต้แคว้นถูต้องวิ่งหนีกลับแคว้นถูไปด้วยความหวาดกลัว เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะมู่ชิงเกอ
หลายปีที่แคว้นฉินถูกสถาปนาขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่แคว้นถูส่งจดหมายมาแสดงความพ่ายแพ้และยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นฉิน
เรื่องราวแต่ละเรื่องของมู่ชิงเกอกระจายไปทั่วไม่เพียงแค่แคว้นฉิน แต่รวมไปถึงแคว้นถูก็ยังคงรํ่าลือกันอย่างต่อเนื่อง! สิ่งที่ต่างกันคือ สำหรับแคว้นฉินนางเป็นที่เคารพและนับถือของประชาชนยุคใหม่ แต่ทว่า สำหรับแคว้นถู นางเป็นดั่งปีศาจร้ายที่น่าหวาดผวา!
“คุณชายจริงๆ ด้วย!”
“คุณชายมาเมืองลั่วรื่อ!”
ทันใดนั้น เรื่องการมาเยือนเมืองลั่วรื่อของมู่ชิงเกอ ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองลั่วรื่อดั่งติดปีก
หญิงสาวนักผจญภัยที่มีวิสัยทัศน์ดั่งผู้ชาย ต่างก็ตื่นตาตื่นใจและพากันไปแอบมองมู่ชิงเกออยู่ตรงหน้าโรงเตี๊ยมที่นางพักอยู่ โรงเตี๊ยมไม้ที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรเหมาเอาไว้ทั้งหลัง
ได้ยินมาว่า เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วและมีเสน่ห์และน่าหลงใหลคนหนึ่ง เมื่อ 10 ปี ก่อน สามีของนางเข้าไปผจญภัยภายในผืนป่าลั่วรื่อ
และไม่กลับมาอีกเลย นางจึงมาเปิดโรงเตี๊ยมนี้ เพื่อรอคอยการกลับมาของสามี แขกทุกคนที่จะเข้าไปภายใน ผืนป่าลั่วรื่อนางล้วนให้เข้าพักโรงเตี้ยมฟรี และขอให้เขาช่วยหาเบาะแสสามีของนาง
น่าเสียดายที่เวลาผ่านไป 10 ปี แต่นางก็ยังไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับสามีของนาง แต่ทว่า นางยังคงไม่ยอมแพ้
เวลาผ่านไป หญิงสาวนางนี้ก็ได้รับความเคารพจากประชาชนจำนวนไม่น้อยของเมืองลั่วรื่อ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคนมาก่อความเดือดร้อนให้แก่นาง
ภายในห้องพักที่ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไปรอบๆ การตกแต่งที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เตียงนอนที่ดูสะอาดสะอ้าน ข้างหน้าต่างมีแจกันที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดวางนิ่งอยู่ใบหนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและละเอียดอ่อนของเจ้าของโรงเตี๊ยม
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ภายในห้องอย่างผ่อนคลาย
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยกำลังยุ่งอยู่กับการขนสัมภาระบางชิ้นของมู่ชิงเกอลงมาและจัดให้เข้าที่ตามความเคยชินของนาง ทำให้ห้องนอนน่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม มั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรสำรวจจนกระจ่างสภาพและที่ตั้งโดยรวมของเมืองลั่วรื่อภายในเวลาอันสั้น พร้อมจัดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยของมู่ชิงเกอในทุกๆ เพลา
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ห้ามการกระทำของพวกเขา
ปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่เกียจคร้านไม่ว่าจะเวลาใด นี่เป็นความต้องการที่นางมีต่อองครักษ์เขี้ยวมังกร
ไม่นาน มั่วหยางก็กลับมารายงานข่าวให้กับนาง หลังจากที่ฟังรายงานจากมั่วหยางจนจบแล้ว มู่ชิงเกอมิได้แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับฐานะของตนเองที่ถูกเปิดเผย มากนัก เพียงถามว่า “แล้วคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
คำพูดนี้ของนางไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่มั่วหยางกลับกระจ่างในความหมายที่นางต้องการจะสื่อ เขาจึงตอบว่า “สำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรนอกจากกลุ่มที่ตามขบวนของคุณชายแล้ว นอกนั้นต่างก็กระจายตัวไปรวมกับกลุ่มต่างๆ ของกองทัพพันเพลิง ตามคำสั่งของคุณชาย”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่นางต้องการไม่ใช่เสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ แต่ทว่านางต้องการมีดดาบที่รักษาความแหลมคมอยู่ตลอดเวลา
การไปเยือนแคว้นอวี๋ในครานี้ นางไม่จำเป็นต้องพาองครักษ์เขี้ยวมังกรไปทั้งหมด จึงแบ่งพวกเขาออกไปฝึกทักษะสงครามกับกองทัพพันเพลิงกลุ่มหนึ่งและกลุ่มที่ตามขบวนนางมีเพียง 20 คน รวมทั้งมั่วหยาง และจะไม่ตามนางทุกที่ทุกเวลา หากนางถึงที่หมายแล้ว จะให้พวกเขากระจายตัวกันออกไป ค้นหาวิธีการฝึกที่เหมาะสมกับตนเอง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ก็มีเงาหนึ่งปรากฏขึ้นหน้า ท่าทางนั้นไม่เหมือนการแอบฟัง แต่ราวกับกำลังลังเลว่าจะเข้ามาหรือไม่
มั่วหยางมองมู่ชิงเกอ เพื่อรอฟังคำสั่งจากนาง
มู่ชิงเกอหรี่ตาและส่ายหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ มั่วหยางจึงนิ่งและยืนประสานมืออยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอนั่งพิงเก้าอี้อยู่ นิ้วโป้งลูบปลอกนิ้วที่สวมอยู่เบาๆ หรี่ตาทั้งคู่ลง นัยน์ตาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ครู่หนึ่ง ในที่สุดคนที่ยืนอยู่นอกประตูก็ตัดสินใจเคาะประตูห้องของมู่ชิงเกอ
“เข้ามา” เสียงอันเย็นชาดังออกจากปากของมู่ชิงเกอ
ประตูถูกเปิดออก
หญิงสาวอายุราว 30 ปีนางหนึ่งเดินเข้ามา เรือนร่างนางบางดงกิ่งหลิว ท่าทางการเดินงดงาม ยิ้มน้อยๆ ดูน่าเย้ายวน ชุดสีขาวสะอาดที่สวมอยู่บนร่างของนาง แผ่กลิ่นไอบางอย่างที่ดูคลุมเครือ
นางหลุบตาเดินเข้ามา ปิดประตูลงเบาๆ และเดินมาข้างหน้าหลายก้าว พลันคุกเข่าลงบนพื้น
การกระทำของนาง ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง เม้มริมฝีปากแน่น และไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
มั่วหยางเดินเข้ามากระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “นางเป็น เจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ นามว่าฟ่งเหนียง”
มู่ชิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็กระจ่างในทันที แทบจะในทันทีที่รู้ว่านางเป็นใคร มู่ชิงเกอก็รู้ว่านางปรากฏตัวในห้องของตนเองเพื่อการใด
“เจ้าจะให้ข้าช่วยตามหาสามีของเจ้าหรือ” มู่ชิงเกอมองนางอย่างไม่แสดงอาการมากนัก
ฟ่งเหนียงเงยหน้าขึ้น กัดริมฝีปากแน่นจนแดงกํ่าดูน่าดึงดูด นางมองมู่ชิงเกอด้วยความจริงใจ และตอบอย่างหนักแน่นว่า “ใช่”
“ข้าไม่ได้ต้องการห้องพักฟรีจากเจ้า” มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก พูดอย่างขบขัน
ฟ่งเหนียงยังคงไม่ย่อท้อ แต่กลับพูดว่า “ข้ารู้จึงได้มาขอร้องถึงที่นี่”
ดวงตาทั้งคู่ของนางแน่วนิ่งไร้ซึ่งความกลัว อย่างไรก็ตาม หว่างคิ้วของนางแฝงความสูงศักดิ์ แต่นางจงใจแอบซ่อนมันเอาไว้
‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดา’ มู่ชิงเกอแอบประเมิน “เจ้าจะเอาอะไรมาแลก” มู่ชิงเกอเก็บความรู้สึกทั้งหมดที่แสดงออกมาทางสายตาเอาไว้ และจึงมองนาง
แน่นอนว่าฟ่งเหนียงนั้นมีการเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว ราวกับว่านางเดาออกว่ามู่ชิงเกอจะถามคำถามนี้กับนาง หลังจากที่สิ้นเสียงของมู่ชิงเกอ นางก็พลันหยิบ อะไรบางอย่างออกจากอกอย่างไม่ลังเล สละความเสียดายที่แฝงในสายตา แล้วจึงยื่นสิ่งนั้นตรงหน้ามู่ชิงเกอด้วยสองมือ
มู่ชิงเกอก้มสายตาลง มองวัตถุที่วางอยู่บนฝ่ามือของนาง
ของสิ่งนั้นเป็นกริชที่เจียระไนขึ้นอย่างละเอียดอ่อน ฝังเพชรนิลจินดานานาชนิด ส่องแสงระยิบระยับไปทั่ว
“เจ้านาย! สิ่งนี้เป็นอาวุธกึ่งเทพ!” เสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้นจากจิตใต้สำนึกของมู่ชิงเกอ
อาวุธกึ่งเทพอย่างนั้นหรือ?