ตอนที่ 98-2
หนุ่มน้อยผู้งดงามผู้นี้เป็นใครกัน
ณ เมืองลั่วรื่อ ซึ่งก็คือเมืองบริเวณชายแดนของแคว้นฉิน แต่ก็เป็นเมืองขึ้นชื่อเพราะว่าอยู่ใกล้กับที่ราบลั่วรื่อและป่าลั่วรื่อ
ณ ที่ราบลั่วรื่อนั้นเป็นพื้นที่รกร้าง เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณที่กองเป็นภูเขา ผืนป่าลั่วรื่อที่อยู่ใกล้กับที่ราบลั่วรื่อเพียงแค่เอื้อมมือ เป็นเส้นแบ่งธรรมชาติระหว่างแคว้นฉินและแคว้นลี่ ภาย ในผืนป่าลั่วรื่อมีเส้นทางที่ทั้งสองแคว้นได้ร่วมกันสร้างขึ้นสายหนึ่ง ทำให้ง่ายต่อการค้าขายและเชื่อมสัมพันธไมตรี
ในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอยู่มากมาย และยังมีสัตว์วิญญาณระดับตํ่าอยู่ด้วย จึงกลายเป็นแดนผจญภัยของคนจำนวนไม่น้อย
และนี่ก็เป็นอีกเหตุหผลหนึ่งที่เมืองลั่วรื่อถูกสร้างขึ้นที่นี่ เป็นที่พักและเสริมกำลังให้กับผู้คนที่เข้ามาผจญภัย
และแน่นอนว่า คนที่อาศัยในที่แห่งนี้ส่วนมากมาจากแคว้นฉิน หลังจากที่เข้าสู่ผืนป่าลั่วรื่อจึงจะมีโอกาสได้ พบปะนักผจญภัยจากแคว้นอื่นๆ
หากมู่ชิงเกอจะเดินทางไปยังแคว้นอวี๋ จะต้องผ่านที่ราบลั่วรื่อเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็ต้องผ่านผืนป่าลั่วรื่อก่อนที่จะ เข้าสู่แคว้นลี่แล้วจึงสามารถเข้าสู่แคว้นอวี๋ได้
โรงโอสถที่แยกออกมา อยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นอวี๋ และใกล้กับผืนป่าหมีเมิ่ง
หากจะไปยังที่แห่งนั้น จะต้องผ่านแคว้นอวี๋ก่อน
เส้นทางนี้ยาวมาก หากเป็นคนธรรมดาอาจจะต้องใช้เวลานับปี แต่สำหรับมู่ชิงเกอและทุกคนที่มีอาชาเพลิง ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่ของคนปกติ ก็สามารถถึงที่หมายได้
สำหรับที่ราบลั่วรื่อ มู่ชิงเกอนั้นไม่ได้สนใจ จะมาผจญภัยทั้งที แน่นอนว่านางจะต้องเลือกเส้นทางอันยาวไกล และรื่นรมย์เส้นนี้
รวมถึงโรงโอสถย่อยของแคว้นอวี๋ ก็คือที่หมายในการผจญภัยครั้งนี้ของนาง
ใครใช้ให้โรงโอสถที่แยกออกมาในหลินชวนแห่งนี้ มีเพียงแค่ที่แคว้นอวี๋ที่เดียว
ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่โรงโอสถหลักสร้างโรงโอสถขนาดย่อยในแคว้นอวี๋ ประการที่หนึ่ง เป็นเพราะจำนวนประชาชนที่มีความสามารถด้านการปรุงยาในแคว้นอวี๋มีมากเป็นอันดับสองรองจากอาณาจักรเซิ่งหยวน ประการที่สอง เพราะในผืนป่าหมีเมิ่งมีสมุนไพรอันอุดมสมบูรณ์และหายากจำนวนมาก จุดประสงค์ของการสร้างโรงโอสถขนาดย่อย ไม่เพียงแค่ดึงดูดผู้มีความสามารถ แต่เพื่อเหล่านักปรุงยาที่ละโมบในสมุนไพรพวกนั้น
เพิ่งออกจากลั่วตูมาเป็นเวลา 7 วัน ตอนนี้ขบวนของมู่ชิงเกอได้เดินทางเข้าสู่บริเวณเมืองลั่วรื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้างถนนที่เต็มไปแล้วหญ้าอันอุดมสมบูรณ์เพราะฝนเพิ่งตก จึงทำให้ถนนเปียกแฉะ
รถม้าที่ลากด้วยอาชาเพลิงค่อยๆ หยุดลง มั่วหยางขี่อาชาเพลิงมาหยุดอยู่ข้างหน้าขบวน พลันพูดด้วยนํ้าเสียงโทนต่ำว่า “คุณชาย ข้างหน้าคือเมืองลั่วรื่อ”
ไม่นานผ้าม่านหน้ารถม้าก็ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามละเอียดลออของโย่วเหอ
นางส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับมั่วหยาง แล้วมั่วหยางก็ถอยห่างออกมา
ในสายตาของมั่วหยาง มีความรุ่มร้อนสายหนึ่งที่คล้ายมีคล้ายไม่มีปรากฏขึ้น แววตาของมั่วหยางดำมืดลงและถอยหลังไปหลายก้าว คนที่อยู่ในรถม้าจับกรอบประตู เพื่อพยุงตนเองให้ลงมาจากรถม้า แล้วร่างในชุดสีแดงเพลิงทั้งร่างก็ปรากฏตรงหน้าเขา
ใบหน้าอันงดงามร้อนแรงดั่งดวงตะวัน ท่าทางอันสง่าผ่าเผย เมื่ออยู่ท่ามกลางองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้ว โดดเด่นราวกับเทพอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่ควรมีความคิดเช่นนี้
มั่วหยางก้มหน้าลงช้าๆ พยายามเก็บอาการอันไม่คุ้นเคยที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
เพศที่แท้จริงของคุณชาย ทั้งกองทหารเขี้ยวมังกร รวมถึงสาวใช้อย่างโย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างรับรู้พร้อมๆ กัน ในตอนแรก พวกเขาต่างก็ทั้งตกใจและตื่นตระหนก แต่ก็สามารถยอมรับความจริงประการนี้ได้อย่างไม่มีข้อข้องใจ ความเคารพนับถือที่มีต่อมู่ชิงเกอก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
กระทั่งนางสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้สำเร็จในฐานะที่เป็นหญิง จึงยิ่งทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรเคารพและนับถือตัวนางเป็นอย่างมาก
แต่ทว่า สำหรับตัวเขา…ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน ที่ในใจมีความคิดหนึ่งที่ไม่ควรเกิด บางครั้งเขาอยากจะเก็บความงามทั้งหมดของเจ้านายตนเองเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ให้ใครได้เห็น
“เมืองลั่วรื่ออยู่ข้างหน้าแล้วหรือ?” มู่ชิงเกอมิได้สังเกตอาการของมั่วหยางที่ดูแปลกไปจากเดิม เพียงเงยหน้าขึ้นมองซุ้มประตูทางเข้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
นํ้าเสียงอันเย็นเยียบและเป็นกันเองเหมือนดั่งนํ้าเย็นที่สาดหน้ามั่วหยางจนได้สติกลับคืนมา
เขาก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมและตอบกลับว่า “ขอรับ”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ พลันเอามือไพล่หลังพูดกับเขาว่า “ไปกันเถอะ วันนี้เราจะพักที่เมืองลั่วรื่อ” หลังจากที่สั่งการเสร็จเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอมิได้กลับเข้าไปภายในรถม้า แต่กลับไปนั่งบนหลังเพลิงรัตติกาล แล้วเข้าเมืองลั่วรื่อไปพร้อมกับมั่วหยางและคนอื่นๆ
เพิ่งจะเข้าสู่ประตูซุ้มประจำเมืองที่ทำจากไม้และเข้าสู่อาณาเขตเมืองลั่วรื่อ ภาพบรรยากาศที่แตกต่างก็ได้สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของมู่ชิงเกอ
เมืองลั่วรื่อ ช่างเป็นเมืองที่คึกคักเป็นอย่างมาก
มิได้เปล่าเปลี่ยวเหมือนระหว่างทางที่ผ่านมา ในเมืองแห่งนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวง ที่มีกระดูกและหนังสัตว์รวมไปถึงของอื่นๆ อีกมากมายวางขายอยู่
บ้านเรือนทำจากไม้ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางร้านค้า มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ บางแห่งมีป้ายเขียนว่าโรงเตี๊ยม บางแห่งเขียนว่าร้านอาหาร และนานๆ ทีจะเห็นที่ที่มีป้ายที่เขียนว่าโรงหมอแขวนอยู่
และยังมีร้านค้าอีกจำนวนหนึ่ง ที่เป็นร้านค้าจัดหาสินค้าและเป็นร้านค้าที่ทำรายได้มากที่สุด
ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองลั่วรื่อ ส่วนมากเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นและจะมีหญิงสาวจำนวนน้อยมาก แต่ทว่าหญิงสาวในเมืองลั่วรื่อ ต่างก็เป็นหญิงสาวที่มีท่าทางห้าวหาญ หญิงสาวที่อ่อนแออ่อนหวานนั้นที่นี่ไม่มีอยู่เลย
มู่ชิงเกอเข้าสู่เมืองลั่วรื่อ พร้อมกับรถม้าที่ลากด้วยอาชาเพลิงและรถม้าที่สร้างจากไม้ชั้นดี รวมทั้งขบวนองครักษ์อีกจำนวนยี่สิบคน จนกลายเป็นจุดสังเกตของผู้คนในเมืองลั่วรื่อในทันที
ราวกับว่า ขบวนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก
ในขณะที่พวกเขากวาดสายตาผ่านมู่ชิงเกอไป ต่างก็แอบถอนหายใจ และอุทานในใจว่า “นี่มันคุณชายตระกูลไหนกัน เหตุใดจึงงดงามมีเสน่ห์ได้มากถึงเพียงนี้ หากเทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเขาช่างเหมือนกบที่แปดเปื้อนดินโคลน แต่ชายหนุ่มกลับเป็นดั่งเมฆขาวบนท้องฟ้า”
ใบหน้าอันน่าตกตะลึง ท่าทางอันเย็นชา ทำให้ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในผืนป่าลั่วรื่อรู้สึกทั้งละอายใจและน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก
แต่ทว่า สิ่งที่ต่างจากชายหนุ่มในเมืองนั้นก็คือ การปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในเมืองต่างแสดงอาการตกตะลึงและเขินอายในขณะเดียวกัน หญิงสาวเหล่านี้ที่ปกติแล้วไม่ได้ต่างอะไรกับผู้ชาย แต่ในตอนนี้กลับแสดงความเป็นหญิงของตนเองออกมา ความอ่อนโยนที่แสร้งทำขึ้นนั้น ไม่เพียงแค่ไม่ทำให้มู่ชิงเกอหันไปสนใจ แต่ยังทำให้นางขนลุกอย่างทนไม่ได้ พลันแอบถอยหลังหลายก้าวไปพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้
เมืองลั่วรื่อที่คึกคัก เงียบลงอย่างกะทันหันเพราะการ ปรากฏตัวของคนเพียงคนเดียว
แต่ทว่า มู่ชิงเกอที่เป็นคนสร้างบรรยากาศเหล่านี้ขึ้นมา กลับไม่รู้ตัวและกำลังพิจารณาภาพรวมของเมืองลั่วรื่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
ที่นี่ไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่กลับมีทุกอย่างที่ควรมี
องครักษ์เขี้ยวมังกรที่สั่งให้เข้าไปตระเวนหาที่พักภายในเมืองได้กลับมาและเดินมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอ พลันพูดด้วยนํ้าเสียงอันเคร่งขรึมว่า “คุณชาย ที่พักได้จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากที่นี่”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ และดึงเชือกเพลิงรัตติกาลตามไป ทันทีที่นางเคลื่อนไหว จึงได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโดยรอบ
สายตาอันเย็นเยียบกวาดมองบนร่างกายของคนในเมือง ดั่งมีนํ้าแข็งปกคลุม นางขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงทำให้ผู้คนในเมืองได้สติพลันเดินถอยหลังหลายก้าว เพื่อหลีกทางให้กับนาง
ถนนที่ถูกเว้นว่างอย่างอัตโนมัติ เป็นทางเดียวกับทางที่เข้าสู่ภายในของเมืองลั่วรื่อ
ผู้นำทางขององครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่หน้าขบวน นำมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ มุ่งไปยังที่พัก
หลังจากที่คนกลุ่มนี้ได้เคลื่อนตัวออกจากสายตาแล้ว ทุกคนจึงได้สติราวกับตื่นจากฝันดี
พวกเขาเองก็ไม่กระจ่างว่าเหตุใดตนเองจึงได้หลีกทางให้อย่างไม่มีสาเหตุ สิ่งเดียวที่จำได้มีเพียงคุณชายชุดสีแดง ที่ทำให้คนที่มองเห็นไม่อาจกล้าทำร้ายเขาลงได้ ราวกับว่า เขาเป็นดั่งเทพผู้สูงส่ง
“เขาเป็นใครกัน” มีคนเอ่ยถามขึ้น
คนที่ถูกถามส่ายหน้าพลางขมวดคิ้วเบาๆ “ไม่รู้จัก ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นคุณชายที่รูปร่างหน้าตาเช่นนี้เข้ามาภายในเมืองลั่วรื่อเลย”
“พวกเจ้าไม่สังเกตหรือ พวกเขาดูเหมือนขี่อยู่บนอาชาเพลิง” ในที่สุดก็มีคนเห็นถึงความแตกต่าง
ขี่อาชาเพลิงเชียวหรือ!
ทันทีที่เขาเอ่ยขึ้น ทุกคนก็ยิ่งตื่นตระหนก
ไม่มีใครไม่รู้ว่าอาชาเพลิงเป็นสัตว์วิญญาณ และหากเป็นสัตว์วิญญาณ ต่างก็มีความสามารถและความสูงส่ง ยากนักที่จะทำให้เชื่องได้หากจะทำให้เชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์ง่ายๆ อย่างม้าธรรมดาๆ ที่ถูกเลี้ยงอยู่ในคอก ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเป็นที่สุด