Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 199

ตอนที่ 199

ศึกครั้งนี้ใครจะชนะ

“ลู่เจี้ย ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วรึ เก็บไว้ในใจมามากกว่ายี่สิบปี เจ้าคงลำบากมาก สินะ”

ในตอนที่คำกล่าวประณามมาถึงจวนหรง หรงจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มกับตัวเอง เหมือนเหตุการณ์ในวันนี้ เขารอคอยมานานแล้ว

อาเฉวียนเข้ามา ยืนอยู่ห่างๆ แล้วโค้งคำนับ พูดว่า “องค์ชาย นายท่านเรียนเชิญขอรับ”

ดวงตาที่ใสแจ๋วของหรงจิ่ง ปรวนแปรนิดหน่อย ส่ายหัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ได้ขยับ เพียงแต่พูดกับอาเฉวียนว่า “เจ้าไปบอกนายท่าน ศึกครั้งนี้เป็นศึกระหว่างตระกูลลู่และ ราชสำนัก ตระกูลที่มีอำนาจตระกูลใดเข้าไปยุ่ง ก็จะมีแต่ต้องแหลกเป็นผุยผง ข้ามี ทางเลือกเพียงสองทาง ทางเลือกแรกก็คือจงรักภักดีต่อราชสำนัก ถ้าหากราชสำนักชนะ ตระกูลหรงก็จะสูงขึ้นไปอีก แต่ท้ายที่สุดก็เป็นชะตากรรมที่ตระกูลลู่ยากจะหลีกเลี่ยง ทางเลือกที่สองคือสนับสนุนตระกูลลู่ ถ้าตระกูลลู่ชนะ ตระกูลหรงก็เป็นขุนนางที่ร่วม สถาปนาแคว้น มีอำนาจและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่”

“ถ้าหากว่าตระกูลหรงของข้าไม่อยากอยู่ข้างใครเลยล่ะ” ทันใดนั้น นอกประตูก็มีเสียงที่ น่าเกรงขามดังขึ้น

อาเฉวียนได้ยินเสียงของคนๆ นี้ ก็ตกใจขึ้นมา โค้งคำนับมากกว่าเดิม แล้วถอยหลังไป สองก้าวอย่างเงียบๆ

หรงจิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด เขาสบตากับชายวัยกลางคนที่อยู่ในสวนผ่านหน้าต่าง แล้ว ก้มหน้าช้าๆ “ท่านพ่อ”

“เหอะ เจ้าก็เป็นคนตระกูลหรง แต่กลับไม่คำนึงถึงผลได้ผลเสียของตระกูลหรงเลยรึ” ในนํ้าเสียงของหรงเทียนเผิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

หรงจิ่งอมยิ้มเล็กน้อย โดนท่านพ่อต่อว่าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด หลังจากรอให้หรง เทียนเผิงพูดจบ เขาถึงจะเปิดปากพูด “ก็เพราะว่าข้าเป็นคนตระกูลหรง ถึงได้ไม่แกว่ง เท้าหาเสี้ยน”

คำพูดนี้ ทำให้หรงเทียนเผิงแววตาดุดันขึ้นมา พูดอย่างไม่ยอมว่า “ถึงแม้ว่าตระกูลลู่จะมี รากฐานมั่นคง แต่ก็ไม่ต่างกันกับตระกูลหรงของพวกเรา เป็นตระกูลเก่าแก่ เพราะเหตุนี้ ตระกูลลู่ตอบโต้ได้ แล้วตระกูลหรงของข้าตอบโต้ไม่ได้รึ”

หรงจิ่งมองต่ำ “ศึกครั้งนี้ตระกูลลู่ได้เตรียมการไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจังหวะโอกาสที่ เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสม และความสมัครสมานสามัคคีของคน ได้โอกาสแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะตอบโต้ได้”

“เช่นนั้นตามที่เจ้าพูด ตระกูลหรงของข้าก็ต้องเก็บตัวต่อไป อดทนไว้อย่างนั้นหรือ” ใน คำพูดประโยคนี้ของหรงเทียนเผิงเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

ตำแหน่งฮ่องเต้ในใต้หล้านั้น ใครบ้างจะไม่อยากได้

“อย่างน้อยในตอนที่ลู่เจี้ยยังอยู่ ก็ตอบโต้ไม่ได้” หรงจิ่งพูดอย่างเย็นชา

“ลู่เจี้ยรึ คนที่เจ็บป่วยและอ่อนแอคนนั้นน่ะหรือ” ในนํ้าเสียงของหรงเทียนเผิงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

หรงจิ่งยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายอะไรอีก

แต่ว่าหรงเทียนเผิงพูดอย่างไม่ตัดใจว่า “เจ้าถูกยกย่องว่าเป็นองค์ชายอันดับที่หนึ่งในใต้หล้า แล้วยังจะกลัวคนป่วยที่อ่อนแออย่างนั้นหรือ”

“ท่านพ่อก็รู้ ข้าไม่ได้มีจุดประสงค์เช่นนั้น” หรงจิ่งกลับไม่ยอมรับวิธีการยั่วยุนี้

หรงเทียนเผิงโกรธมาก ถกแขนเสื้อแล้วด่า “ไม่รู้ว่าข้าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้จริงๆ ถึง ได้มีลูกที่เย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้! อย่าลืมล่ะว่าเจ้าก็แซ่หรง!”

หรงจิ่งเงยหน้ากลอกตาที่ใสแจ๋วมองมา

อยู่ดีๆ หรงเทียนเผิงก็รู้สึกหนาวเหน็บในใจจากการที่เขามอง เหมือนกับโดนน้ำเย็นสาด ใส่อย่างไรอย่างนั้น “จิ่งเอ๋อร์ ทำเพื่อพ่อ ”

เหมือนว่าเขาจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง แต่เห็นหรงจิ่งหันตัวไปอย่างไม่สนใจ เขา พูดออกมาด้วยความโกรธ “ศึกครั้งนี้ เจ้าคิดว่าใครจะชนะ”

หรงจิ่งหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ว่า “ตระกูลลู่” แล้วก็หายไปจากตรงข้างหน้าหน้าต่าง

ตระกูลลู่….

หรงเทียนเผิงมองส่งลูกขายด้วยสีหน้าสับสน สุดท้ายก็ทำได้แค่จากไปด้วยความโกรธ

………………………………

ในราชวงศ์โฮ่วจิ้น ไฟสงครามเกิดขึ้นทุกด้าน แม่ทัพและเหล่าทหารก่อกบฏแบบไม่ทัน ให้ตั้งตัว เหล่าทหารทั้งหมดตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก

ในช่วงเวลาที่ข่าวสงครามภายได้แพร่ไปถึงแคว้นต่างๆ ในขณะที่แคว้นต่างๆ เร่ง เตรียมการ เพื่อรอโอกาสผสมโรงฉกฉวยผลประโยชน์ไปด้วย ก็ได้มีคำสั่งจากเมืองซู หนานมาถึงแนวป้องกันเขตชายแดนโฮ่วจิ้นทั้งสี่ด้านอย่างรวดเร็ว

โดยคำสั่งของนายน้อยลู่บอกว่าทหารที่ประจำการอยู่ที่แนวป้องกันเขตชายแดนทุกด้าน ไม่อนุญาตให้ออกจากแนวป้องกันโดยพลการ ประจำการที่เขตขายแดนอย่างเหนียว แน่น ป้องกันศัตรูบุกรุก

การกระทำนี้ ได้รับการชื่นชมจากใต้หล้า และได้ใจของใครหลายๆ คน

จนกระทั้ง ระหว่างทางที่ตระกูลลู่สั่งทหารเดินหน้าสู่ซั่งตู กำแพงเมืองจำนวนสองในสาม ก็เปิดต้อนรับเอง ทำให้ตระกูลลู่ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ก็เข้าใกล้ซั่งตูเร็วขึ้น!

ใครๆ ก็รู้ว่าในตอนที่ทหารของตระกูลลู่เข้ามาถึงซั่งตู ก็คือวันจบสิ้นของราชวงศ์โฮ่วจิ้น

ในขณะเดียวกัน มู่เจิ้นเฟิงฮ่องเต้แห่งโฮ่วจิ้นออกคำสั่งว่าให้ไปเฝ้าประตูเมืองซั่งตูไว้ทั้งสี่ด้าน ปิดประตูเมือง ห้ามใครเข้าออก นอกจากนี้ยังสั่งคนสนิทของเขาให้เอาจดหมายที่ เขียนด้วยลายมือของเขาเอง นำอำนาจสั่งการทหารไปที่ชานเมืองซั่งตู แล้วให้นายทหารชั้นสูงสั่งทหารคุ้มกัน

แต่ทว่าคนสนิทที่ส่งออกไป ยังไม่กลับมาเสียที ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว

ค่ายทหารที่ประจำการอยู่ห่างออกไป 20 ลี้จากซั่งตูก็เงียบ ไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัด

ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน เส้นผมของมู่เจิ้นเฟิงขาวไปหลายเส้นแล้ว บนบัลลังก์มังกรนั้น เหมือนมีไฟเผาอยู่ ทำให้เขานั่งแล้วไม่เป็นสุข

“มีรายงานมาขอรับ ว่าทหารกบฏของตระกูลลู่มาถึงเฮ่อเฉิงแล้ว ยังห่างจากซั่งตู 200 กว่าลี้ ทหารที่ประจำการอยู่ที่เฮ่อเฉิงยอมจำนนโดยไม่ได้มีการต่อสู้ แล้วเปิดประตู ต้อนรับทหารกบฏของตระกูลลู่เข้าเมือง…”

“มีรายงานมาขอรับ ว่าทหารกบฏของตระกูลลู่มาถึงต๋าผิงโหยวเฉิงแล้ว อยู่ห่างจากซั่งตู อีก 120 กว่าลี้…”

“อะไรกัน ทำไมถึงได้รวดเร็วเพียงนี้!” มู่เจิ้นเฟิงได้ฟังรายงานสถานการณ์ของทหาร ตกใจจนลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร

คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นสีหน้าดูไม่ได้ พูดว่า “เพราะ เพราะว่า…ทุกที่ๆ ทหารกบฎของ

ตระกูลลู่ผ่าน คนเฝ้าเมืองส่วนมากก็จะเปิดประตูต้อนรับพวกเขาเอง มีคนบางกลุ่มที่ต่อต้าน แต่กลับถูกประชาชนใช้หินทุบจนตาย แล้วเปิดประตูเมือง…”

ตูม!

มู่เจิ้งเฟิงล้มลงนั่งกับพื้น ราวกับถูกฟ้าผ่าอย่างแรง

สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ท่าทางราวกับคิดไม่ออกว่าทำไมราชวงศ์โฮ่วจิ้น ของเขาถึงได้อ่อนแอจนไม่อาจทนแรงกระทบใดๆ ได้

“ฉีเฉิง ฉีเฉิงเป็นทางที่พวกกบฏต้องผ่านเพื่อเข้ามาสู่ซั่งตู สื่อไท่ที่เฝ้าเมืองนั้นเป็นคนสนิทของข้า ไม่มีทางเปิดประตูให้ตระกูลลู่อย่างแน่นอน!” มู่เจิ้นเฟิงพูดพึมพำ

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยิ้มมุมปาก อดไม่ได้ที่จะเตือน “ฝ่าบาท สื่อไท่จงรักภักดีก็จริง แต่ฉีเฉิง มีทหารป้องกันเพียงสามพันนาย จะสู้ทหารกบฏของตระกูลลู่แสนกว่านายได้อย่างไรพะ ย่ะค่ะ”

“สามพันนาย! ทำไมถึงมีแค่สามพันนาย!”มู่เจิ้นเฟิงไม่เข้าใจ

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนนั้นก็พูดอย่างใจดีสู้เสือว่า “ฝ่าบาท เมื่อตอนต้นปีท่านได้รวบรวม เหล่านายพลที่มีกองกำลังทหารมากมายเพื่อมาป้องกันภายในหมดแล้ว จึงทำให้กำลัง ทหารทุกเมืองที่อยู่ใกล้ๆ ซั่งตูจากหนึ่งหมื่นนายเหลือเพียงสามพันนายเท่านั่น ฉีเฉิงก็ เป็นหนึ่งในนั้นด้วย”

ครู่เดียวสีหน้าของมู่เจิ้นเฟิงก็ดูหวาดกลัวและซีดขาว นี่เป็นคำสั่งของเขาจริงๆ แต่ว่าเขา ต้องได้รับผลกรรมที่เขาก่อไว้วันนี้หรือ

“เจ้าอย่ามาพูดจามั่วๆ! ข้าเคยออกคำสั่งนี้ตอนไหนกัน” มู่เจิ้งเฟิงหลอกทั้งตัวเองและผู้อื่น แล้วพูดต่อว่า “มาลากตัวคนที่พูดเรื่องเท็จออกไปประหาร!”

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เปิดปากพูดนั้น เหมือนคิดไม่ถึงว่าจะเจอกับโชคร้ายเช่นนี้ ในตอนที่เขาถูกทหารองครักษ์ลากออกไป เสียงแหลมๆ ดังมาจากด้านนอกพระราชวัง “ทรราชไร้คุณธรรม ทรราชไร้คุณธรรม ราชวงศ์โฮ่วจิ้นต้องล่มสลาย!”

มู่เจิ้นเฟิงสีหน้าหวาดกลัว แส้วก็ออกคำสั่งว่า “จับตัดตัวให้ขาดเป็นสองท่อน ชายหญิง คนแก่เด็กในจวนลดให้เป็นทาสทั้งหมด”

ในตอนนั้น ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เหลือที่อยู่ในพระราขวังต่างก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร ทุกคน ต่างหวาดกลัว

…………………………….

ระยะห่างจากด้านนอกฉีเฉิงสิบลี้ กองทัพของตระกูลลู่ปักหลักอยู่ตรงนี้ เผชิญหน้ากับ ประตูเมืองฉีเฉิงที่ปิดอยู่

ลู่เจี้ยที่เป็นผู้นำทัพในเวลานี้ ได้รับแจ้งว่าคุณหนูใหญ่เรียก…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version