Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 10

บทที่ 10

เด็กเหลือขอ…

ประหลาดนัก! ยามที่เขาเข้ามาฝึกวิชา ก็ได้จัดวางค่ายกลไว้ทั้งด้านในและด้านนอกของถํ้าเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครล่วงลํ้าเข้ามาได้ แล้วคนผู้นั้นเข้ามาได้อย่างไรและออกไปได้อย่างไร?

เขาผายมือทั้งสองข้างออก แขนเสื้อสีขาวหิมะสะบัดพลิ้วไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลม เศษซากต่างๆ ในถํ้าก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา แล้วลอยมาอยู่เบื้องหน้าเขา

เดิมทีแล้วภายในถํ้านี้สะอาดเป็นอย่างยิ่ง มีเศษซากต่างๆ อยู่น้อยมาก สิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขาจึงมีเพียงเศษผ้าขาดรุ่งริ่งไม่กี่ชิ้น นี่เป็นเพราะกู้ซีจิ่วกระทำการอย่างรอบคอบยิ่ง เธอกลัวว่าโจรที่นำของมาซ่อนไว้จะกลับมาพบร่องรอยของเธอเข้า ดังนั้นจึงหยิบเอาผ้าม่านที่ขาดตอนตนเองกลิ้งหลุนๆ ลงมาติดมือไปด้วย หลงเหลือไว้เพียงเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไม่กี่ชิ้นตกค้างอยู่ในซอกหลืบที่มองไม่เห็น จึงถูกพลังวิญญาณของชายหนุ่มดูดออกมา

สายตาของชายผู้นั้นจ้องมองเศษผ้าไม่กี่ชิ้นนั้นอยู่สักพัก

สิ่งนี้เหมือนไม่ใช่วัสดุที่ใช้ทำอาภรณ์ แต่เหมือนจะเป็นผ้าไหมเงินที่เอาไว้ทำผ้าม่านเตียงโดยเฉพาะ…

‘หรือว่าคนผู้นั้นห่อกายด้วยผ้าม่านผืนหนึ่ง?’

เพราะว่าเขาเหลือไว้เพียงการรับรู้ผ่านสัมผัส ดังนั้นจึงมองไม่เห็นลักษณะของคนผู้นั้น ไม่ได้ยินเสียงของคนผู้นั้นแม้กระทั่งกลิ่นอายของคนผู้นั้นเขาก็ไม่ได้กลิ่น เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงหรือชาย แก่ชราหรือเยาว์วัย…

แต่ยามนั้นเขาสัมผัสได้ว่ามือที่ลูบคลำเขาเป็นมือเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่ ฝ่ามือหยาบกร้าน น่าจะเป็นเด็กที่ทำงานหนักอยู่เสมอ

เขาหลุบสายตามองร่างกายตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึน บนร่างเขาสวมไว้เพียงเสื้อตัวในและกางเกงตัวในชุดหนึ่ง… ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงบัดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้มาก่อน!

เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากซอกหลืบมุมใด…

เมื่อเขาชูมือขึ้นก็มีเสื้อคลุมที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนสวมลงบนร่างกาย เมื่อใช้มือสัมผัสใบหน้า บนใบหน้าก็ปรากฏหน้ากากปีศาจที่เปล่งประกายระยิบระยับบดบังใบหน้าเขาเอาไว้หน้ากากนั้นมีหน้าตาดุร้าย ทำให้ผู้ที่เห็นในครั้งแรกย่อมไม่กล้ามองอีกเป็นครั้งที่สอง

เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว เขาจึงขยับร่างกายเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวก็ยืนอยู่นอกถํ้า เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้า แล้วชี้นิ้วขึ้นไป ที่ปลายนิ้วพลันมีลำแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนฟ้า…

ไม่นานนักก็มีเงาร่างสี่ร่างเหินมาจากสี่ทิศทาง ก้มศีรษะคารวะ “ขอแสดงความยินดีที่นายท่านออกจากการกักตน!”

นายท่านผู้นั้นมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าจะหัวเราะอยู่ เอ่ยถามพวกเขาประโยคหนึ่งอย่างช้าๆ

“ยามที่ข้ากักตนฝึกวิชาอยู่ หลายวันมานี้พวกเจ้ามัวไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ใดกัน?”

นํ้าเสียงของเขาสุภาพและอ่อนโยน แต่ทั้งสี่คนนั้นกลับสั่นเทา พากันคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง

“ข้าน้อยไม่กล้า! พวกข้าน้อยคอยอารักขาอยู่รอบๆ ภูเขา หนิงอู่ในระยะห้าสิบลี้ไม่กล้าหละหลวม…”

“อ้อ…” นายท่านผู้นั้นขยับนิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นได้พบยอดฝีมือคนใดที่เข้ามาในภูเขานี้บ้างหรือไม่?”

“ไม่มีขอรับ”

พวกเขามีประสาทสัมผัสที่ไวต่อเหล่ายอดยุทธ์เป็นพิเศษ หากมียอดยุทธ์คนไหนเข้าใกล้ภูเขาลูกนี้พวกเขาย่อมรับรู้และสามารถสกัดกั้นได้ทันที โดยใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้คนผู้นั้นจากไป นายท่านผู้นั้นมองดูพวกเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร

ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา ทำให้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีใบไม้ร่วงหล่นเต็มพื้น แต่อากาศรอบกายกลับระอุขึ้น คล้ายกับว่าอยู่ในฤดูใบไม้ผลิแล้ว

‘นายท่านโกรธแล้ว!’

ทั้งสี่คนที่หมอบอยู่บนพื้นตัวสั่นกว่าเดิม เพราะนายท่านของพวกเขาแตกต่างกับผู้อื่น ยอดยุทธ์ท่านอื่นเมื่อโมโห จะทำให้บริเวณรอบข้างเย็นลง 8 องศา แต่นายท่านของพวกเขากลับทำให้บริเวณรอบข้างร้อนระอุขึ้น 8 องศา! เขายิ่งโกรธมากเท่าไหร่ บริเวณรอบข้างก็ยิ่งคล้ายจะกลายเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกไม้เบ่งบาน…

บนโลกใบนี้มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่จะทำให้นายท่านโกรธได้ในใจของทั้งสี่เต็มไปด้วยด้วยความสับสน หนึ่งในสี่คนนั้นทำใจกล้าแล้วถามขึ้นว่า “นายท่าน หระ…หรือว่ามีคนบุกรุกเข้าไปในถํ้า?”

………………………….

[1]ชั่วยาม คือหน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

[2]มุทรา หรือมุทระ (Mudras) คือการทำมือเป็นท่าสัญลักษณ์ต่างๆ ทางจิตวิญญาณ มาจากความเชื่อทางศาสนาในอินเดียทั้งฮินดูและพุทธ มักทำขณะฝึกจิต

[3]จั้ง เป็นหน่วยวัดแบบโบราณของจีน เทียบกับปัจจุบันคือประมาณ 3.3 เมตร

[4]พลิกฟ้า มาจากสำนวนจีนที่ว่า พลิกฟ้ากลบดิน หมายถึงกระทำการเหนือความคาดหมาย หรือกระทำ เรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version