บทที่ 1062 รักจนปรารถนาจะให้เธอตายงั้นหรือ?
“มะ…ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าเชื่อท่าน!” กู้ซีจิ่วไม่รอให้เขากล่าวจบก็เอ่ยขัดเขา
แววตาตี้ฝูอีสว่างไสวดั่งแสงจันทร์ เขายิ้มอย่างปลาบปลื้ม จุมพิตมุมปากนางอย่าห้ามตัวเองไม่ได้ “เชื่อก็ดีแล้ว!”
โชคดีที่นางยังคงเชื่อใจเขาอยู่ มิเช่นนั้นต่อให้เข้าไปในฝันร้ายนั้นได้ก็พานางออกมาไม่ได้
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง หลุบตาลง “ต่อให้…ต่อให้ท่านจงใจเอาเปรียบจริงๆ ข้าก็ไม่ว่า”
ชีวิตนี้เธอตกลงปลงใจยอมรับเขาแล้ว ถึงแม้ทั้งสองจะยังไม่ได้เข้าพิธีกัน แม้กระทั่งเรื่องหมั้นหมายของพวกเขาก็ยังไม่มีผู้ใดทราบ แต่เธอรู้ว่าตนรัก เขารักอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่ผิวกายคนทั้งสองจะแนบชิดเลย ต่อให้เขาปรารถนาเธอ เธอก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ
แน่นอน ถึงแม้ในใจจะยอมรับเขาแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังเด็กสาวที่ไม่เคยมีความรักอย่างแท้จริงมาก่อน ในเวลาเช่นนี้จึงยังคงหน้าบางอยู่บ้าง เอ่ยประโยคนี้ด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับยุง แต่กลับเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก
ตี้ฝูอีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แววตาลุ่มลึกเล็กน้อย จุมพิตมุมปากเธออีกครา “เด็กน้อย การที่เจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้นับเป็นคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับข้า แล้ว!”
ถึงแม้ฉากนี้จะหวานซึ้งไร้ใดเทียม แต่นางบาดเจ็บหนักเกินไป แทบจะนับได้ว่าเป็นการฝืนยื้อชีวิตกลับมา หากขยับเขยื้อนมากไปเพียงน้อยอาจทำให้หัวใจที่เกือบฉีกขาดของนางปริแยกอีกครั้งได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงจึงไม่กล้ามีความคิดอันใด ต่อให้ยามนี้จะโอบกอดร่างอรชรไว้ในอ้อมแขน ต่อให้เป็นการโอบกอดคนที่ชอบที่สุดในชีวิตนี้เอาไว้ เขาก็ไม่กล้าปล่อยให้จิตใจตนเตลิดฟุ้งซ่าน
เพียงแต่ท่าทางเช่นนี้ช่างเป็นการทดสอบเขามากเกินไป เขารู้สึกว่าความสามารถในการความคุมตัวเองของเขามีไม่มากพอ เมื่อพิจารณาถึงความปอดภัยแล้ว เขายังคงไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตน เขาพลิกตัวลงมา สวมเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง แทบจะทันทีที่ถึงพื้น เขาก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
จวบจนยามนี้กู้ซีจิ่วถึงได้พบว่าตนนอนอยู่ในถํ้าบนเขาแห่งหนึ่ง แถมยังเป็นถํ้าแก้วผลึกอีกด้วย รอบข้างล้วนรายล้อมด้วยเสาแก้วผลึก บนเสาแก้ว ผลึกต้นหนึ่งในบรรดานั้นแขวนมุกราตรีเม็ดหนึ่งไว้ แสงของมุกราตรีส่องสะท้อนแก้วผลึก ส่องแสงพร่าวพราวดั่งตำหนักแก้วผลึกมิปาน
และเธอก็นอนอยู่บนแก้วผลึกชิ้นหนึ่งที่ราบเรียบเสมือนเตียงนอน ใต้ร่างปูผ้านวมขนสัตว์ที่สะอาดะอ้านหนาแน่นไว้ บนร่างก็มีผ้าห่มที่อ่อนนุ่มผืนหนึ่งคลุมอยู่ สายตาของกู้ซีจิ่วกวาดมองไปรอบๆ จนวกกลับมาที่ร่างของตี้ฝูอี ตี้ฝูอีในยามนี้ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของอิงเหยียนนั่ว เพียงแต่รูปร่างสูงโปร่งกว่าแต่ก่อนมาก ยามที่เขาเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ความสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ยามนี้กลับดูสูงกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรแล้ว บนร่างสวมเสื้อคลุมสีขาวพราวระยับตัวหนึ่ง ตรงชายเสื้อปักลวดลายเอาไว้ ลวดลายเหล่านั้นหมุนวนดั่งระลอกคลื่นล่องลอยอยู่ระหว่างอาภรณ์ ได้เห็นว่าในที่สุดเขาก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว!
หากทราบเช่นนี้แต่แรก เธอคงไม่พาเขามารักษากับหลงซือเย่หรอก…
เมื่อนึกถึงหลงซือเย่ นิ้วมือเธอพลันกำแน่นนิดๆ!
แววตาก็มืดมนลงทันที!
ตรงหัวใจเสมือนมีกองไฟแผดเผาอยู่!
เธอถามตัวเองดูแล้ว นอกเหนือจากไม่อาจตอบรับความรู้สึกของหลงซือเย่ได้ อย่างอื่นล้วนไม่มีจุดไหนที่ผิดต่อเขาเลย แต่เขากลับรวมหัวกับเย่หงเฟิงมาลอบทำร้ายเธอ!
หากว่าครั้งนี้มิใช่ตี้ฝูอีตามไปช่วยเธอออกมาได้ทันกาล ศีรษะกับร่างกายเธอคงจะแยกกัน ไปคนละทิศละทางจริงๆ เสียแล้ว!
ไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย!
รักจนแค้นหรือ?
รักจนปรารถนาจะให้เธอตายงั้นหรือ?
เธอไม่มีทางให้อภัยตรรกะเช่นนี้ได้!
และเธอกก็ไม่อยากคิดอีกแล้ว ว่าสุดท้ายแล้วเป็นเพราะอะไร เธอค่อยๆ ขยับเล็กน้อย พลันสูดหายใจเพราะสะเทือนถึงบาดแผลอีกแล้ว
ตี้ฝูอีนั่งลงข้างกายเธอ มือข้างหนึ่งจับแขนเธอไว้ “เป็นเด็กดีหน่อย ข้าบอกแล้วไงว่าตอนนี้ยังขยับไม่ได้”
เธอบาดเจ็บจากบาดแผลแทงทะลุ ซํ้ายังได้รับบาดเจ็บที่หัวใจด้วย ถึงแม้จะได้รับความช่วยเหลือจากโอสถล้ำค่าของเขา แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสามสี่วันถึงจะดีขึ้นอย่างแท้จริง