บทที่ 1143 ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า
จู่ๆ หลงฟั่นก็สาวเท้าก้าวเข้ามา “ซีจิ่ว เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ตามข้าออกไป”
เขายื่นมือจะดึงมือของกู้ซีจิ่วมา กู้ซีจิ่วผงะถอยหลังทันที “อย่าเข้ามาใกล้ข้า ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นศพเหม็นเน่า!”
หลงฟั่นนิ่งอึ้ง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ได้ ข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้า แต่กู้ซีจิ่วเจ้าต้องรีบออกไปจากที่นี่ มิเช่นนั้นหากพี่โม่ของเจ้ามาเห็น เขาจะไม่พอใจ
และจะลงโทษเจ้าได้”
กู้ซีจิ่วเชิดคางเรียวงามขึ้น “ไม่มีทาง พี่โม่รักข้าออกปานนั้น เขาไม่มีทางพูดไม่ดีกับข้าแม้แต่คำเดียว”
หลงฟั่นข่มขู่นาง “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้ก้าวล้ำเส้นของเขา เมื่อใดที่ก้าวล่วงเข้าไปเขาจะดุร้ายนัก! สามารถโยนเจ้าทิ้งลงในสระลาวาได้เลยทีเดียว…”
ใบหน้ากู้ซีจิ่วซีดเผือด ผงะถอยหลังไปอีก “ไม่…ไม่มีทาง”
เธอไม่มีความมั่นใจมากพอจึงกระทืบเท้า “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว! ข้าจะไปหาพี่โม่!”
และพลันหันกายวิ่งออกไป
“หลงฟั่น นี่เป็นผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการอย่างนั้นรึ?” ตี้ฝูอีกล่าว หยุดฝีเท้าของหลงฟั่นที่กำลังคิดจะเดินจากไปได้สำเร็จ
“ไม่ว่าอย่างไรนางก็นับว่าถือกำเนิดมาด้วยมือของเจ้า เจ้าควรจะเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของนาง เจ้าทำให้แม่นางน้อยที่เดิมทีเป็นคนเฉลียวฉลาด
เยือกเย็นมีสติปัญญาเยี่ยงเด็กน้อย บนโลกใบนี้ ไม่มีพ่อคนไหนทำเช่นนี้หรอก!”
หลงฟั่นชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ยต่ออย่างเยือกเย็น “นั่นมันก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า!”
จากกนั้นหันกายเดินจากไป
ตี้ฝูอีหลุบตาลงอีกครั้งหนึ่ง ผ่านไปสักครู่ เขาเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ลืมตาเหลือบมองไปที่มุมหนึ่ง “เจ้าเสพติดการถํ้ามองแล้วรึ? ในฐานลับ ของตัวเองยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ถึงเพียงนี้้”
ในมุมนั้นปรากฏให้เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่ง อาภรณ์สีดำหมึก เส้นผมสีเงิน รูปโฉมหล่อเหลา นั่นก็คือท่านเจ้า โม่เจ้าผู้นั้น เขายกยิ้มมุมปากหลังจากปรากฏกาย “สมกับที่เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ถูกตรึงจนอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชยังมีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สัมผัสได้ถึงตัวข้าที่หลบซ่อนอยู่ ข้าเกือบตั้งข้อกังขาเรื่องฐานะของเจ้า ว่าไม่เพียงแต่เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเสียแล้ว…”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ สายตาทั้งคู่คมปลาบดังปลายมีด ไม่ยอมปล่อยให้ท่าทีใดๆ ของตี้ฝูอีเล็ดลอดสายตาไปแม้แต่น้อย
ตี้ฝูอีมีท่าทีสนใจยิ่งนัก “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้ายังมีฐานะใดอีก?”
โม่เจ้ายิ้ม “เทพศักดิ์สิทธิ์”
ตี้ฝูอีก็ยิ้มเช่นกัน “เช่นนั้นต้องขอบคุณเจ้าที่ให้เกียรติข้าถึงเพียงนี้”
โม่เจ้าดูอากัปกริยาของเขาไม่ออกจริงๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้าทันใด และเอ่ยถึงตรวนสลายวิญญาณบนตัวของตี้ฝูอีเหล่านั้นในบัดดล
นี่คือการทรมานที่โหดร้ายชนิดหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ตี้ฝูอีเหงื่อโซมทั่วศีรษะ สีหน้าซีดขาวลงไปอีกระดับหนึ่ง ทว่ามุมปากยังคงเผยให้เห็นรอยยิ้ม “โม่เจ้า ดูเหมือนว่าเจ้ายังมีอะไรค้างคาใจถึงได้มาหาเรื่องข้า?”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง!
ราวกับถูกเหยียบยํ่าซํ้าเติมรอยแผล เขาแค่นเสียงเย็นชา “ข้ามีอะไรค้างคาใจเช่นนั้นหรือ? ซีจิ่วมาอยู่ข้างกายข้า นั่นก็เป็นความปรารถนาของข้า แต่เจ้า…ถึงจะชอบพอนางมากแค่ไหนแล้วอย่างไร? เจ้าก็เป็นเช่นสุนัขที่ถูกล่ามโซ่ไว้ตรงนี้ ได้แค่มองนางกับข้า…ขยับตัวไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
เสียงของเขาพลันแผ่วเบาลง เป็นเสียงที่ไม่ชัดเจนและแหบแห้ง “ความหลงใหลที่นางมีต่อข้าไม่ใช่ธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องอย่างว่า…”
เขาหงุดหงิดใจมากเมื่อพบว่าเทวดาตกสวรรค์อย่างตี้ฝูอียังวางมาดที่ปกปิดไว้อีก ดังนั้นทันทีที่มีโอกาสจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อโจมตีอีกฝ่าย หมายจะกระชากหน้ากากสงบเยือกเย็นนั้นออก ให้ถูกความโกรธครอบงำจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้…
น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวัง คำพูดนี้ของเขาไม่มีผลกระทบใดต่อตี้ฝูอีเลย ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง พลันยิ้มอย่างสบายใจ และไม่ออกความคิด เห็นใด “เช่นนั้นหรือ? เหตุใดข้าจึงเห็นเจ้า…เหมือนจะมีลักษณะของโรคแอบแฝง?”