บทที่ 124
น่าจะตั้งแต่กำเนิด
กู่ซีซีชะงักงัน ตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพนางจับชีพจรตรวจอาการให้กู้ซีจิ่วเป็นเพราะสงสัยฐานะของอีกฝ่าย อยากทดสอบว่าบนร่างนางมีพลังวิญญาณหรือไม่ ดังนั้น สาเหตุของโรคที่ตรวจพบจึงเป็นเพียงข้ออ้างของนางเท่านั้น ที่จริงแล้วนางไม่ได้ตั้งใจตรวจเลย เห็นเพียงว่ารอยแดงบนหน้าอีกฝ่ายมีลักษณะเหมือนรอยปาน ดังนั้นจึงด่วนสรุปว่าเป็นเช่นนี้ ตอนนี้พอได้ยินกู้ซีจิ่วหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา หัวใจนางจึงเต้นรัวแวบหนึ่ง ลอบมองใบหน้าของกู้ซีจิ่วอย่างอดไม่ได้ เป็นรอยปานแน่ๆ!
นางเชิดศีรษะขึ้น “จริงอยู่แล้ว รอยนี้ของเจ้าได้รับมาตั้งแต่ยามที่อยู่ในครรภ์!”
กู้ซีจิ่วยิ้มเยาะ “เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่ารอยนี้ของข้าปรากฏขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว?”
กู่ซีซีตกตะลึง นางรู้จักกู้ซีจิ่วน้อยยิ่งนัก ด้วยฐานะของนาง บุตรสาวแม่ทัพคนหนึ่งย่อมไม่มีค่าพอให้นางรู้จัก ยิ่งกว่านั้นคืออีกฝ่ายยังเป็นแค่สวะอีกด้วยมิใช่หรือ?
สิ่งที่นางรู้แค่ว่ากู้ซีจิ่วหน้าตาอัปลักษณ์และเป็นสวะไร้ค่าสองข้อนี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่ทราบเลย
นางได้แต่อ้างอิงจากกฎเกณฑ์แล้วคาดคะเนเอา “น่าจะตั้งแต่กำเนิด”
เมื่อนางตอบเช่นนี้ออกมา ก็เห็นว่ามีคนส่ายหน้า แถมคนที่ส่ายหน้าก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ…
หัวใจนางเต้นแรงทันที กล่าวเพิ่มเติมอีก “รอยปานทั่วไปจะมีมาตั้งแต่กำเนิด แต่ก็มีรอยปานที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภายหลัง เพียงแต่ในตอนแรกนั้นจะจางมาก แทบจะมองไม่เห็น ภายหลังถึงค่อยๆ เข้มขึ้นมา”
นางอธิบายได้ลื่นไหลอย่างยิ่ง เหลือหนทางรอดไว้ให้ตนเอง
“เช่นนั้นแบบข้านี้เป็นอย่างไหน?” กู่ซีจิ่วถาม
“น่าจะ…น่าจะเป็นอย่างหลัง” กู่ซีซีตอบ
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม “อย่างหลังหรือ? ความหมายของสตรีศักดิ์สิทธิ์กู่คือ รอยปานนี้ของข้ามีมาตั้งแต่ยามอยู่ในครรภ์เพียงแต่เจือจางมากมาโดยตลอด ภายหลังเข้มขึ้น
เลยค่อยๆ ปรากฏออกมา?”
“ใช่แล้ว! ”
“ถ้าอย่างนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์กู่ทราบหรือไม่ว่ารอยปานนี้ปรากฏออกมาให้ผู้คนเห็นเมื่อใด?”
กู่ซีซีกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ นางจะไปรู้ได้ยังไงกัน?!
อดจะหันไปมององค์ชายหรงฉู่ไม่ได้ อยากให้เขาช่วยบอกใบ้
ยามนี้ถึงอย่างไรองค์ชายหรงฉู่และนางก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงบอกใบ้ให้นางจริงๆ เขายื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว อย่างเงียบเชียบ
เดิมทีเขาอยากใช้วิธีส่งเสียงด้วยกำลังภายในเพื่อบอกใบ้ให้กู่ซีซี ผลคือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยผู้นั้นได้จัดวางค่ายกลห้ามมิให้มีการใช้วิชาใดๆ ที่นี่ วรยุทธ์ใดที่เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณล้วนไม่สามารถใช้ได้
“สามเดือนให้หลัง!” กู่ซีซีตอบ ตามที่นางทราบปกติแล้ว รอยปานที่ซ่อนเร้นอยู่ยามแรกเกิดภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนก็จะเริ่มปรากฏขึ้น
องค์ชายหรงฉู่ตกตะลึง ในหมู่ฝูงชนที่ทราบเรื่องราวดีก็ตกตะลึง
องค์ชายหรงฉู่เหลืออดแล้ว จึงกระแอมไอขึ้นพลางกล่าว “จะปรากฏออกมาเมื่อใดมันเกี่ยวข้องกับอาการป่วยด้วยหรือ? ถึงอย่างไรปานนี้ของเจ้าก็อยู่ตรงนั้นมานานแล้ว จะปรากฏตอนสามขวบหรือจะปรากฏตอนสามเดือนแล้วมันต่างกันตรงไหน?”
วาจานี้ของเขาเห็นได้ว่าเป็นการพูดแบบคนนอก สีหน้าของกู่ซีซีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย หรือว่าตนจะพลาดอีกแล้ว รอยแดงที่ปรากฏขึ้นกะทันหันตอนสามขวบโดยทั่วไปแล้วไม่น่าใช่รอยปาน…
กู้ซีจิ่วหัวเราะเสียงแผ่ว ไม่ใส่ใจทั้งสองคนนี้ แต่หันไปถามหมอหลวงท่านหนึ่ง “ใต้เท้าสิง รอยแดงบนใบหน้าที่ปรากฏตอนสามขวบกับที่ปรากฏตอนสามเดือนมีความแตกต่างกันหรือไม่?”
ใต้เท้าสิงผู้นั้นก็ซื่อตรงเปิดเผย “ย่อมแตกต่างกัน ผู้ที่ปรากฏขึ้นยามอายุสามขวบขึ้นไปเกินกว่าครึ่งเกิดจากปัจจัยที่ได้รับในภายหลัง ส่วนใหญ่แล้วที่ปรากฏขึ้นใน ช่วงสามเดือนแรกถึงจะเป็นปาน ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันได้ แต่ปัจจุบันแม่นางกู้อายุ 13 ปีแล้ว ไม่ว่าหมอคนใดก็มองไม่ออกว่าปรากฏขึ้นมานานแค่ไหน จะต้องสอบถามผู้ป่วยถึงจะสามารถวินิจฉัยได้แน่นอน”
“ถูกต้อง สตรีศักดิ์สิทธิ์กู่มองระยะเวลาที่แน่นอนไม่ออก ก็ไม่เห็นจะแปลกใช่ไหม? จะบอกว่าวิชาแพทย์ของนางไร้ประโยชน์ด้วยเหตุนี้ได้อย่างไร?” องค์ชายหรงฉู่รีบสอดปากขึ้นทันที
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงแววเย้ยหยันที่บรรยายไม่ได้ไว้ด้วย “หมอที่ดียามตรวจอาการจะต้อง ดู ฟัง ถาม จับ[1]เป็นความรู้พื้นฐานทั่วไป แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กู่ท่านนี้ ไม่แม้แต่จะถามสักประโยค! ก็วินิจฉัยเอาเองแล้ว ถ้าไม่ไร้ประโยชน์แล้วจะเป็นอะไร?”
ผู้คนต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า
………………………
[1] ดู ฟัง ถาม จับ เป็นขั้นตอนการวินิจฉัยโรค 4 ขั้นตอน อ้างอิงตามแบบฉบับแพทย์แผนจีน ดู คือ ตรวจดูอาการผู้ป่วย ฟัง คือ ฟังเสียงผู้ป่วยว่าปกติ หรือไม่ ถาม คือ สอบถามอาการเบื้องต้น จับ คือ การจับชีพจร