บทที่ 1266 เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…
ต่อมาเจ้านายถูกสลับร่าง ถึงแม้เจ้ากำไลคู่บุพเพผีสางวงนั้นจะไม่ได้ติดตามนางมาด้วย แต่ตัวมันก็ไร้หนทางสื่อสารกับเจ้านายเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้มันฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
ยามนี้เมื่อชายหนุ่มคนนั้นมอบกำไลให้กู้ซีจิ่วด้วยสีหน้าประหนึ่งมอบสมบัติลํ้าค่าให้ กู้ซีจิ่วโบกมือไม่ยอมรับ ทว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวรั้นยิ่งนัก ยืนยันจะมอบให้กู้ซีจิ่วให้ได้ แถมยังยัดใส่มือเธออย่างเอาเป็นเอาตายด้วย
นี่ทำให้หยกนภาฉุนเฉียวอย่างยิ่ง มันเปล่งแสงออกมาแวบหนึ่งทันที ลำแสงสีรุ้งพุ่งตรงไปที่กำไลหยกมันแพะวงนั้น!
ด้วยเหตุนี้ กำไลที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษวงนั้นจึงแตกเป็นเสี่ยงๆ…
ชายหนุ่มคนนั้นตกตะลึง
กู้ซีจิ่วก็นิ่งงัน
ชายหนุ่มคนนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ กู้ซีจิ่วรู้สึกผิด ด้วยหลักการที่ว่าทำของผู้อื่นเสียหายก็ต้องชดใช้ เธอจึงหยิบกำไลแก้วเคลือบสีวงหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของแล้วมอบให้ผู้อื่น
กำไลวงนั้นเธอซื้อมาเองจากเมืองบาดาลของชาวเงือก ที่เมืองบาดาลไม่นับว่ามีราคาอะไร แต่หลังจากนำขึ้นมาบนบกก็กลายเป็นของล้ำค่าหายาก ราคาสูงกว่ากำไลหยกมันแพะวงนั้นนิดหน่อย
เดิมทีชายหนุ่มคนนั้นไม่อยากรับไว้ แต่ต่อมาไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ ยื่นมือมารับไว้ กล่าวอย่างปราโมชย์ “ของขวัญที่แม่นางกู้มอบให้ผู้แซ่หยางย่อมต้องรับไว้ เป็นดั่ง…เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย เธอเอากำไลคืนมาได้ไหมนะ?
กำไลประเภทนี้ที่เมืองบาดาลราคาวงละห้าไข่มุก ในถุงเก็บของของกู้ซีจิ่วบรรจุไว้ถึงสี่สิบห้าสิบวง เดิมทีวางแผนว่าจะซื้อกลับมาให้เหล่าสหายของตน และได้ส่งมอบออกไปแล้วสองสามวง ในถุงยังเหลืออีกกว่าสี่สิบวง ดังนั้นเธอจึงนำส่วนหนึ่งมาแบ่งปันที่นี่
หลังจากกู้ซีจิ่วมอบกำไลให้ชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นเก็บไว้อย่างดีหนึ่งวัน สุดท้ายก็อดไม่ไหวจริงๆ สวมไปโอ้อวดจนทั่วอย่าง
ปรีดา ผลคือทุกคนต่างสวมกำไลที่คล้ายคลึงกับเขากันคนละวง…
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มคนนั้นจึงห่อเหี่ยว
ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาไปบ้าง แต่ขอเพียงไม่ล่วงเกินเธอ คนอย่างเธอก็ค่อนข้างอยู่ร่วมด้วยง่าย ผ่านไปถึงสามวัน เธอก็เข้ากับผู้คนที่นี่ได้แล้ว กลมกลืนไปกับพวกเขา
เนื่องจากกู้ซีจิ่วสงสัยว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นั้นจะเป็น กู้เทียนนั่ว พี่ชายของเธอ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามเรื่องราวของเขาให้มากหน่อย
จากการพูดคุยกับคนเหล่านั้น เธอจึงทราบว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้นามว่าหลัวจั่นอวี่ ทุกคนที่นี่ล้วนเรียกขานเขาอย่างเคารพว่าคุณชายจั่นอวี่
เขามาที่นี่เมื่อสิบห้าปีก่อน ตอนที่มาเป็นเด็กน้อยอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าตนชื่อแซ่อะไร และจำไม่ได้ว่าตัวเขามาที่นี่ได้อย่างไร เงียบขรึม ไม่พูดไม่จา ถามไปสิบประโยคไม่ตอบเลยสักประโยค
ทุกคนย่อมเอื้ออาทรต่อเด็กน้อย และเนื่องจากเด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญญาณ ทุกคนจึงสอนวรยุทธ์ให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากเขาเงียบขรึม พูดน้อย ยามนั้นทุกคนจึง เรียกเขาว่าอาโม่(เจ้าเงียบ)
ต่อมาไม่รู้ ว่าเพราะอะไรจู่ๆ เขาก็สดใสขึ้น บอกว่าตัวเองชื่อหลัวจั่นอวี่ ทุกคนต่างยินดียิ่งนักที่ในที่สุดเขาก็นึกเรื่องในอดีตออกแล้ว
ผลคือเขาเพียงเอ่ยนามนี้ออกมาเท่านั้น เรื่องอย่างอื่นยังคงถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ท่าเดียวเช่นเดิม เพียงแต่วรยุทธ์ของเขาดั่งมีทวยเทพคอยเกื้อหนุน ซํ้ายังเรียนรู้วิชาแพทย์ได้เองโดยไร้อาจารย์ แถมยังทราบการจัดกระบวนทัพด้วย
ทุกคนรู้สึกว่าบางทีนี่สิถึงจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ตัวจริง เพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น วรยุทธ์ของเขาสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพาทุกคนต่อสู้ขับไล่สัตว์ร้ายให้ล่าถอยอยู่หลายครั้ง ทุกคนจึงค่อยๆ ยกให้เขาเป็นผู้นำ
….
เสียความทรงจำสิบห้าปีก่อน อายุประมาณสิบขวบ…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบๆ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกู้เทียนนั่ว ตอนที่กู้เทียนนั่วหนีเข้าป่าทมิฬ อายุสิบเอ็ดขวบพอดี และหายสาบสูญไปเมื่อสิบห้าปีก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะรูปโฉมของเขาที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับร่างเดิมของเธอจริงๆ…