บทที่ 159
ผู้ทรงศีลฮั่วไม่ได้อาบนํ้ามาครึ่งเดือนแล้วกระมัง
ท่าทางของเขาขึงขังจริงจังอย่างยิ่ง จักรพรรดิซวนเลยเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย จึงถามกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกาย “ซีจิ่ว บนปิ่นนั้นของเจ้ามีพิษจริงหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วมองผู้ทรงศีลฮั่วแวบหนึ่ง จู่ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “ฝ่าบาท ปกติแล้วซีจิ่วมีความสามารถในการป้องกันตัวตํ่า บนปิ่เคลือบตัวยาที่ทำให้คนคันคะเยอเล็กน้อยเอาไว้จริงๆ เตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ใช่พิษนะเพคะ เพียงแค่ทำให้คนคันคะเยอเล็กน้อยเท่านั้น ผ่านไปสักครู่ก็จะหายคันกลับเป็นปกติ ไม่เป็นอะไรเพคะ”
ผู้ทรงศีลฮั่วเดือดดาล “เรียกว่าคันสักครู่ตรงไหนกัน? ตัวข้าผู้ทรงศีลคันมาระยะหนึ่งแล้ว! ยามนี้อาการคันเสียดแทงไปถึงหัวใจแล้ว! เจ้าโป้ปดชัดๆ!”
กู้ซีจิ่วย่นหัวคิ้ว มองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง พลันถามขึ้น “ท่านไม่ได้อาบนํ้ามาหลายวันแล้วใช่ไหม?”
ผู้ทรงศีลฮั่ว “…เจ้าถามเช่นนี้ทำไม?”
นี่เกี่ยวอะไรกับการที่เขาไม่ได้อาบนํ้ามาหลายวันแล้ว?
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว แล้วเพ่งพิศเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกหลายครั้ง “ผู้ทรงศีลฮั่วไม่ได้อาบนํ้ามาครึ่งเดือนแล้วกระมัง?”
ใบหน้าของผู้ทรงศีลฮั่วแดงเถือก “อ…อะไรนะ?”
นํ้าเสียงของกู้ซีจิ่วยังเยือกเย็นเรียบเฉยเหมือนเดิม “ยาที่เคลือบอยู่บนปิ่นของข้าไม่เป็นอุปสรรคต่อคนทั่วไป คันอยู่สักครู่ก็จะหยุดลงจริงๆ แต่หากเป็นคนที่ไม่ได้อาบนํ้ามานานกว่าครึ่งเดือนบังเอิญสัมผัสยานี้เข้า ยานี้จะผสานเข้ากับคราบไคลบนผิวหนัง สรรพคุณของยาจะเพิ่มขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้คันคะเยอไปทั้งวัน”
ผู้ทรงศีลฮั่วตกตะลึงนัก!
ข้าราชบริพารรวมถึงองครักษ์ที่รายล้อมอยู่รอบราชรถมังกรมองผู้ทรงศีลฮั่วด้วยแววตาแฝงความนัย…
ผู้คนในอาณาจักรเฟยซิงรักความสะอาดมาก แม้แต่ประชาชนธรรมดาก็ยังอาบนํ้าสองวันครั้ง ส่วนชนชั้นสูงผู้มากยศถาบรรดาศักดิ์จะอาบนํ้าวันละครั้ง ผู้ที่พิถีพิถันหน่อยจะอาบวันละหลายครั้ง ออกไปก็อาบครั้งหนึ่งพอกลับถึงบ้านก็อาบอีกครั้งหนึ่ง คนที่ไม่อาบนํ้านานครึ่งเดือนเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ทรงศีลที่น่าเกรงขามของสำนักเก้าดารา ท่านนี้จะซกมกเยี่ยงนี้!
เดิมทีคนเหล่านี้เห็นว่าผู้ทรงศีลท่านนี้สูงส่งยิ่งนัก สง่างามดุจมีแสงทองเรืองรองผ่องอำไพ บัดนี้..บัดนี้ภาพลักษณ์ผู้สูงส่งได้พังทลายลงแล้ว!
ผู้ทรงศีลฮั่วมีนิสัยเสียคือไม่ชอบอาบนํ้าจริงๆ แต่ปกติเขาจะแต่งกายอย่างดี ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เลยไม่มีใครสังเกตเห็นความซกมกของเขา ยามนี้กลับโดนกู้ซีจิ่วเปิดโปงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกจับเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้คน!
ใบหน้าของเขาแดงก่ำดุจมะเขือเทศ อยากจะระบายโทสะแต่ก็หาข้ออ้างไม่ได้อย่างไรเสียแม่สาวน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจจะทิ่มเขา
ภายใต้สายตาชำระล้างมากมาย ผู้ทรงศีลโพล่งออกมาประโยคเดียว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขออำลา!”
เหินกายจากไป หายลับไปในชั่วพริบตา
เขาไม่มีหน้าจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ได้แต่กัดฟันทนไปก่อนหนึ่งวัน หากหนึ่งวันให้หลังยังคันอยู่เขาค่อยกลับมาเอาเรื่องแม่สาวน้อยคนนี้ก็ยังไม่สาย
จักรพรรดิซวนมองดูเงาร่างผู้ทรงศีลฮวหายลับไป ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ซีจิ่ว นึกไม่ถึงว่า เจ้าจะมียาประหลาดเช่นนี้! น่าสนใจ! น่าสนใจ!”
กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปาก “ซีจิ่วแค่เอาไว้ป้องกันตัวเท่านั้นเพคะ”
“ยานี้มีชื่อหรือไม่?”
“ยาเรื้อนหมาป่าเพคะ”
“ฮ่าๆๆ ยาเรื้อนหมาป่า! ไม่เลวๆ! เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าช่างมีความสามารถเสียจริง!”ใบหน้าจักรพรรดิซวนอิ่มเอิบเปี่ยมสุข “ไปเถอะ ไปตำหนักสราญทรัพย์กับเรา เราจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้เจ้า”
ตำหนักสราญทรัพย์ในวังหลวงของอาณาจักรเฟยซิงเป็นสถานที่ที่องค์จักรพรรดิใช้เป็นสนามสอบรับสมัครขุนนาง และใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงสำหรับขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ภายในตำหนักมีขุนนางใหญ่สิบกว่าท่านรออยู่ที่นั่น พอเห็นจักรพรรดิซวนจูงกู้ซีจิ่วเข้ามา ทุกคนต่างตะลึงกันถ้วนหน้า
องค์จักรพรรดิถือเป็นมังกรเดียวดาย ไหนเลยจะเคยเห็นเขาจูงมือผู้อื่นอย่างชิดเชื้อเล่า?
ต่อให้เป็นธิดาของเขาเองเขาก็ยังไม่เคยจูงมือเดินด้วย!
จักรพรรดิซวนจูงมือกู้ซีจิ่วเดินขึ้นไปถึงบัลลังก์บนตำหนัก เดิมทีบนแท่นนี้มีบัลลังก์อยู่เพียงหลังเดียว แสดงถึงอำนาจสูงสุดขององค์จักรพรรดิ ยามนี้จักรพรรดิซวนกลับสั่งให้คนเพิ่มโต๊ะตัวหนึ่ง บริเวณด้านข้างถัดจากบัลลังก์ของเขา “ซีจิ่ว เจ้านั่งตรงนั้นนะ”